ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 886 แก้แค้น (2)
ลู่เซิ่งยืนอยู่บนถนนเพียงลำพัง รอคอยอย่างสงบ ในฐานะผู้ปกครอง เขายังไม่เคยต่อสู้กับยอดฝีมือระดับเดียวกันจริงๆ มาก่อน
เทพนอกรีตนั้นไม่นับ พลังของพวกเขากระจัดกระจายและยิ่งใหญ่เกินไป จึงไม่อาจทำการโจมตีอย่างมีประสิทธิภาพได้
ผู้ปกครองมีพลังระดับไหนกันแน่ ใช้ความสามารถอะไรในการโจมตีป้องกัน เป็นสิ่งที่ลู่เซิ่งไม่ทราบทั้งสิ้น
ซู่…
ขณะที่กำลังไตร่ตรองเรื่องเหล่านี้ ด้านหน้าลู่เซิ่งก็แยกออกเป็นช่องมิติสีแดงเข้มสายหนึ่งอย่างฉับพลัน
สองคนเดินออกมาจากด้านใน
คนหนึ่งเป็นสตรีร่างสูงโปร่งสวมผ้าคลุมสีแดงก่ำ มีปีกเล็กสีดำอยู่บนหลังสองข้าง กระจิดริดยิ่ง
อีกคนผมสีม่วง จันทร์เสี้ยวสีม่วงปรากฏด้านหลังอย่างเลือนราง บนตัวมีโลหะอำพรางส่วนสำคัญไว้เท่านั้น ส่วนอื่นเปิดเปลือยอล่างฉ่าง เผยทรวดทรงสมบูรณ์แบบ
“ในที่สุดก็ได้เจอกันอีกแล้ว ลู่เซิ่ง” สตรีผมสีม่วงยิ้มพลางมองมาทางเขา
“ท่านคือใคร” ลู่เซิ่งจำอีกฝ่ายไม่ได้ แต่ได้ยินมาว่าเจ้านครของนครตราชั่งเป็นผู้ปกครองชื่อจันทราม่วง อีกฝ่ายน่าจะเป็นจันทราม่วงที่ว่านั้น
“ข้าคือเจ้านครจันทราม่วง คนผู้นี้คือผู้ปกครองจันทราแดง ดีใจมากที่ท่านมาเที่ยวที่นครตราชั่ง ถูจินอาจารย์ของท่าน ข้าให้การดูแลอย่างดีมาโดยตลอดเลยนะ” จันทราม่วงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ลู่เซิ่งเผยสีหน้าสงบ
“เช่นนั้น ตอนนี้ทั้งสองท่านมาหาข้ามีธุระอะไรหรือ”
จันทราม่วงยิ้ม
“ได้ยินมาว่าท่านเปิดศึกกับสำนักนทีครามแล้ว เช่นนั้นสนใจเข้าร่วมกับนครตราชั่งหรือไม่ เป็นอย่างที่ท่านเห็น ทางข้ามีผู้ปกครองสองคน บวกกับมีขุมกำลังของมิตรประเทศคอยสนับสนุน ต่อให้เป็นสามสำนักก็ไม่กล้าทำตัวโอหังเหิมเกริม”
ลู่เซิ่งเข้าใจในความมั่นใจของนาง อย่างไรสามสำนักก็เป็นสำนักเล็กๆ ที่ชายขอบทางช้างเผือก ต่อให้สามสำนักจะร่วมมือกัน ก็มีความสำคัญส่วนหนึ่งเท่านั้น
ในสายตาขุมกำลังของนครตราชั่ง ไม่ถือว่าตึงมือมาก อย่างไรนครตราชั่งก็มีประวัติยาวนานกว่าสามสำนัก ไพ่ตายที่เก็บงำไว้จะต้องเหนือกว่าสามสำนักแน่
“ข้านึกว่าพวกท่านจะลงมือรุมสังหารข้าเสียอีก” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างประหลาดใจ
“เหตุใดจึงคิดเช่นนั้นเล่า ตอนท่านยังอ่อนแอ ย่อมไม่มีคุณสมบัติเข้าร่วมกลุ่มเรา ตอนนี้ท่านมีคุณสมบัติแล้ว พวกเราย่อมให้ความเคารพที่คู่ควรแก่ท่าน” จันทราม่วงเอ่ยอย่างแปลกใจ
“เป็นอย่างไร ต้องการเข้าร่วมกับพวกเราหรือไม่” นางคิดว่าขอแค่ดึงลู่เซิ่งมาเข้าร่วมได้ แล้วค่อยคิดหาวิธีล้วงความลับที่เขาซ่อนไว้ ย่อมต้องง่ายดายกว่าเดิมแน่นอน
แต่จันทราม่วงมองโลกตามความเป็นจริงก็คือ นางมีประสบการณ์มากมาย เคยพบเห็นสมบัติน่ากลัวที่ยกระดับพลังด้วยความเร็วสูงแบบนี้มาก่อน แต่คนส่วนใหญ่มักจะใช้สมบัติแบบนี้ไม่ได้ ดังนั้นนางจึงไม่ได้มีความหวังในการขุดค้นความลับของลู่เซิ่งมากนัก
“จริงสิ ลืมแนะนำไป ท่านนี้คือผู้ปกครองจันทราแดงเจิ้งเจวี๋ยซวิน ครั้งกระโน้นนางเคยมีความขัดแย้งกับท่าน แต่เป็นเรื่องเล็กน้อย สหายเจิ้งเจวี๋ยนำของชดเชยมาชดเชยความผิดที่นางเคยทำไว้กับท่านด้วย” จันทราม่วงยิ้ม แล้วหลีกทางให้สตรีสวมเสื้อคลุมแดงที่อยู่ด้านข้างก้าวขึ้นมา
สตรีสวมอาภรณ์แดงตาเป็นประกาย พิจารณาลู่เซิ่งด้วยความชื่นชม
“เหมือนในถ้ำนภาสวรรค์ตอนนั้นเลย…กำยำจริงๆ…เพื่อขอโทษ ข้าให้ท่านทำอะไรข้าก็ได้หนึ่งวัน เป็นอย่างไร”
“หา?!” ลู่เซิ่งอึ้งไป ไม่เข้าใจความหมาย
“โถ่ สหายลู่ท่านอย่าโลภเกินไป มีคนมากมายคิดจะร่วมหลับนอนกับสหายเจวี่ยกันทั้งนั้น พึงทราบว่า หากได้ร่วมสำราญกับผู้ปกครองจันทราแดงเจิ้งเจวี๋ยซวิน จะได้รับวารีแห่งอัคคีสีชาดมาหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณ! นี่เป็นสุดยอดสมบัติที่มีส่วนช่วยเหลือต่ออนธการอย่างเราไม่น้อยทีเดียวนะ” จันทราม่วงที่อยู่ด้านข้างหัวเราะคิกขณะอธิบาย
“พอดีเชียว ข้าไม่ได้ร่วมสำราญกับใครมาสามวันแล้ว…ถ้ากับท่านล่ะก็ จะต้องกระสันซ่านมากแน่นอน...” ใบหน้ายั่วยวนของเจิ้งเจวี๋ยซินเข้าใกล้ลู่เซิ่ง นางช้อนตามองหน้าเขา พร้อมกับยื่นมือไปจับส่วนสำคัญของลู่เซิ่ง
“ขออภัยอย่างยิ่ง เปลี่ยนเป็นของชดเชยอย่างอื่นได้หรือไม่”
ลู่เซิ่งถอยหลังก้าวหนึ่งเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเข้าใกล้โดยไม่แสดงสีหน้า เขาไม่สนใจใคร่มีความสัมพันธ์กับสตรีที่มีหมื่นคนขี่โดยไม่ได้รักใคร่ด้วย
“เปลี่ยนหรือ…” ผู้ปกครองจันทราแดงหัวเราะ “อย่างนั้น…ช่วยท่านสะกดทัพเป็นอย่างไร”
ระหว่างนครตราชั่งกับลู่เซิ่งไม่มีความแค้นเป็นตายอะไร เพียงแต่เคยมีความขัดแย้งเล็กๆ เท่านั้น ตอนนี้หลังจากลู่เซิ่งผงาดขึ้น นครตราชั่งที่ได้รับข่าวคราวก็เปลี่ยนท่าทีไปอย่างเห็นได้ชัด
“ท่านรู้หรือว่าข้าอยากทำอะไร” ลู่เซิ่งถามอย่างฉงน
“แน่นอน ดาวเงาพริบตาของท่านถูกทำลาย สิ่งที่ท่านอยากทำมากที่สุดในตอนนี้น่าจะมีแค่เรื่องเดียว” จันทราม่วงหัวเราะขึ้นด้านข้าง
…
การปฏิบัติการบนนครตราชั่งง่ายดายกว่าที่ลู่เซิ่งคาดไว้
เจ้านครตราชั่งจันทราม่วงให้ความร่วมมือกับการปฏิบัติการทุกอย่างของลู่เซิ่งเป็นอย่างดี ทางผู้ปกครองจันทราแดงก็ร่วมมือสุดกำลังเช่นกัน
ภายใต้ความช่วยเหลือจากผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งเป็นอนธการสองคน ไม่นานลู่เซิ่งก็จัดการเรื่องราวหยุมหยิมทั้งหมดในนครหลวงเรียบร้อย ทั้งยังส่งคนเข้าไปอยู่ในช่องป้องกันแกนกลางใต้นครตราชั่งได้อย่างราบรื่น
นั่นคือถ้ำใต้ดินที่นครตราชั่งสร้างขึ้นเพื่อป้องกันผู้เข้มแข็งมายาพิศวงคนอื่นๆ
เมื่อไม่มีอะไรเหลือให้ห่วงหน้าพะวงหลัง ลู่เซิ่งก็ขอแผนที่อาณาเขตในปัจจุบันของสามสำนักจากเจ้านครตราชั่งจันทราม่วง
เป็นเพราะศึกใหญ่ระหว่างพันธมิตรดวงดาวกับสัตว์โบราณ ทำให้อาณาเขตของสามสำนักที่อยู่ใกล้ๆ หดเล็กลงอย่างใหญ่หลวง ตอนนี้เหลือดวงดาวไม่กี่ดวงเป็นฐานที่มั่นสุดท้ายเท่านั้น
หลายวันต่อมา เรือเหาะสีฟ้าอมม่วงลำหนึ่งก็พุ่งออกจากนครตราชั่งอย่างเงียบเชียบ บินเข้าไปในท่าอากาศยานดวงดาวใกล้ๆ แล้วมุ่งหน้าไปยังชายขอบของสามสำนักที่อยู่ไกลแสนไกลผ่านการกระโดดข้ามนภาดาว
จุดหมายแรกคืออาณาเขตของสำนักแปลงวายุ
สำนักแปลงวายุเหลือดาวเคราะห์ทั้งหมดห้าดวง ดาวเคราะห์ทั้งหมดเรียงตัวกันเป็นเส้นตรง ค่อยๆ โคจรไปตามแรงดึงดูดของดาวฤกษ์ขนาดมหึมา ราวกับปีกที่งอกขึ้นด้านข้างดาวฤกษ์
“ที่นี่หรือ”
ด้านในเรือเหาะ ลู่เซิ่งมองระบบดาวขนาดมหึมาที่กำลังโคจรอย่างเชื่องช้า ผ่านผลึกโปร่งแสง พลางถามเสียงแผ่ว
“เป็นที่นี่” ผู้ปกครองจันทราแดงเจิ้งเจวี๋ยซวินพยักหน้าตอบ ครั้งนี้เป็นเพราะนครตราชั่งไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ จึงให้ผู้ปกครองจันทราแดงมากับลู่เซิ่งด้วยตัวเอง เพื่อคุมเชิงให้เขา เป็นการไถ่โทษที่เคยกระทำผิดต่อเขาในครั้งนั้น
“ท่านคิดจะทำอย่างไร สามสำนักฉวยโอกาสที่ท่านไม่อยู่ทำลายดาวเคราะห์ของท่าน และไล่ล่าบริวารของท่านอย่างโจ่งแจ้ง หากเป็นสาวกจันทราแดง ย่อมต้องใช้วิธีตาต่อตาฟันต่อฟัน ทว่าสิ่งที่น่าเสียดายก็คือ พวกเขามีผู้ปกครองสามคน พวกเราเป็นฝ่ายท้าสู้ ต่อให้จะร่วมกับจันทราม่วงแล้ว ก็แค่เสมอกันเท่านั้น” เจิ้งเจวี๋ยซวินถามยิ้มๆ
ลู่เซิ่งเลียริมฝีปาก
“ทำอย่างไรหรือ ในใจข้ามีรายชื่อแล้ว ทุกคนที่เข้าร่วมไม่อาจหนีรอดไปได้สักคนเดียว”
“ดังนั้นท่านจึงคิดจะปะทะตรงๆ หรือ” เจิ้งเจวี๋ยซวินถามอย่างประหลาดใจเล็กน้อย
“แน่นอนว่าไม่ ข้าเป็นอารยชนนะ” ลู่เซิ่งฉีกยิ้ม ก่อนจะเลื่อนเปิดประตูเรือเหาะและลอยออกไป
เจิ้งเจวี๋ยซวินมองเงาหลังของเขา พร้อมกับลอยออกไปด้วย
ทั้งสองลอยอยู่ด้านหน้าเรือเหาะ มองดูระบบสุริยะที่หมุนวนอย่างช้าๆ
“อย่างนั้น…ส่งของขวัญพบหน้าก่อนก็แล้วกัน”
ลู่เซิ่งสะบัดมือขวา เพลิงสีม่วงอมดำนับไม่ถ้วนพลันปรากฏกลางความว่างเปล่า แล้วรวมตัวกันกลายเป็นกลุ่มกลางฝ่ามือของเขา
เปลวเพลิงกลายเป็นดาบยาว แล้วยกชูขึ้นสูง
“ไป!”
เกิดเสียงดังฟ้าว
มิติด้านหน้าลู่เซิ่งฉีกออกเป็นช่อง ดาบเพลิงสีม่วงอมดำปล่อยดาบเพลิงยาวหลายหมี่ให้พุ่งไปก่อน
เพียงแต่ดาบเพลิงนี้เพิ่งจะพุ่งออกไป ก็ดูดซับอนุภาคพลังงานทั้งหมดรอบๆ อย่างบ้าคลั่ง เปลี่ยนพลังงานทั้งหมดให้กลายเป็นอัคคีอนธการ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ตัวเอง
ขนาดของดาบเพลิงใหญ่ยาวขึ้นเรื่อยๆ ตามระยะทางที่ผ่านไป พริบตาเดียวก็เหยียดยื่นไปหลายสิบหลายร้อยหมี่!
อนุภาคพลังงานจำนวนมากกลางความว่างเปล่า ถูกดาบเพลิงกลืนกินดูดซับ ผ่านไปไม่กี่วินาที ดาบเพลิงที่ใหญ่โตหลายพันหมี่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าคนทั้งสอง
แกว๊ก!
ในดาบเพลิงมีเสียงวิหคร้องดังมา กระเรียนเซียนขนาดมหึมาที่ประกอบจากเปลวเพลิงสีม่วงอมดำพุ่งออกมาจากด้านใน บินเข้าหาดาวเคราะห์ดวงแรกที่อยู่ใกล้ที่สุด
ตอนนี้กระเรียนเซียนเพลิงขยายใหญ่จนกลายเป็นสัตว์มหึมาขนาดหลายแสนหมี่แล้ว
มันกระพือปีกทีหนึ่ง กระแสพลังงานในความว่างเปล่ารวมตัวที่มันมากกว่าเดิม
ลู่เซิ่งชี้ดาบเพลิงลงขณะมองกระเรียนเพลิงยักษ์ ดาบนี้เป็นอิทธิฤทธิ์ที่เขาประสานกับเทพปีศาจแห่งสายลม ฟันประกายเพลิงออกไปกลุ่มหนึ่ง ขอแค่มีเวลาและพลังงานมากพอ ประกายพลิงกลุ่มนี้จะให้กำเนิดกระแสพลังงานอันน่ากลัวที่มากพอจะทำลายฟ้าดินได้
กระเรียนเพลิงสีม่วงอมดำที่สว่างไสวส่งเสียงกู่ร้อง พลางกระพือปีกโผพุ่งใส่ดาวเคราะห์
ขนาดของมันขยายเป็นหลายเท่าตัวในเวลาไม่กี่นาที ตอนนี้เกือบจะใหญ่เท่าดาวดวงนั้นแล้ว
ผู้ปกครองจันทราแดงมองกระเรียนเพลิงที่อยู่ไกลออกไปอย่างชื่นชม
“ท่านี้เรียกว่าอะไร”
ลู่เซิ่งมองกระเรียนเพลิง
“ตอนแรกชื่อคร่าวิญญาณ แต่ตอนนี้”
เขาชูดาบขึ้นอีกครั้ง
“มันชื่อผลาญดวงดาว!”
ชิ้ง ชิ้ง ชิ้ง ชิ้ง ชิ้ง!
ทันใดนั้นเขาพลันฟันออกไปอีกห้าดาบ
ดาบเพลิงห้าสายพุ่งออกไป แยกกันเล็งใส่ดวงดาวที่เหลือ
ไม่นานทั่วทั้งระบบดาวก็มีเสียงร้องกังวานของกระเรียนเพลิงดังขึ้น
กระเรียนเพลิงห้าตัวขยายใหญ่จนมีขนาดเท่ากับดวงดาว พร้อมกับพุ่งใส่ดาวเคราะห์ที่เหลือของสำนักแปลงวายุ
“จริงสิ” ผู้ปกครองจันทราแดงมองภาพอลังการนี้ ใบหน้าฉายแววสนอกสนใจ
“ท่านรู้ไหมว่าพวกเราอนธการแตกต่างจากมายาพิศวงทั่วไปมากที่สุดตรงไหน”
“ต่างกันตรงไหนหรือ” ลู่เซิ่งหันมาถาม
“นั่นก็คือ ปฐมพลังอมตะ” เจิ้งเจวี๋ยซวินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ยกมือมองกระเรียนเพลิงที่อยู่ไกลออกไป
“เหมือนกับวิหคเพลิงห้าตัวที่ท่านปล่อยออกไป ขอแค่พลังของพวกมันแตะใส่ นอกเสียจากผู้เข้มแข็งระดับเดียวกับพวกเราลงมือ ไม่อย่างนั้นเปลวเพลิงนี้จะเผาผลาญต่อไปจนไม่เหลืออะไรให้เผาอีก แน่นอนว่าพลังอย่างนี้ก็ไม่ใช่เป็นอมตะโดยสิ้นเชิง ยังมีเงื่อนไขระดับหนึ่ง” เจิ้งเจวี๋ยซวินดีดนิ้ว ดวงดาวอัคคีสีขาวลุกไหม้ขึ้นด้านหน้านาง
“นอกจากปฐมพลังระดับผู้ปกครองที่เหลือ ถ้าพลังอย่างอื่นทำลายปฐมพลังของผู้ปกครองได้หนึ่งพันครั้งโดยไม่ขาดตอน จะทำลายพลังของพวกเราได้อย่างสมบูรณ์”
“พันครั้ง…” ลู่เซิ่งตาเป็นประกาย ขณะกำลังจะถามต่อ “มาแล้ว” เขาพลันหันไปมองระบบดาวไกลออกไป
ดาวเคราะห์ที่กระเรียนเพลิงตัวแรกไปถึงลุกไหม้แล้ว กะพริบประกายดาวเป็นกลุ่มๆ คล้ายกำลังต่อสู้อยู่
ดาวที่เหลือถูกตาข่ายยักษ์สีทองป้องกันเอาไว้
“ลู่เซิ่ง! รนหาที่ตาย!” เสียงบุรุษก้องกังวานมีน้ำโหดังข้ามระยะทางไกลห่างมาจากในดวงอาทิตย์กลางระบบดาว
“อย่างนั้นเจ้าก็มาจัดการข้าสิ” บนใบหน้าของลู่เซิ่งปรากฏรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม
“แน่นอน...” เขาควงดาบยาวในมือ แล้วชี้ปลายดาบไปด้านหน้า “ถ้าฆ่าข้าไม่ได้…ข้าจะทำให้สำนักแปลงวายุทั้งหมดร่วมลงโลงไปด้วย”
ตูม!
ทิศทางซ้ายขวาและด้านหลังเขาปรากฏกระเรียนยักษ์พันเทวะกับเทพปีศาจแห่งสายลม สัตว์ยักษ์สองตัวคำรามพร้อมกับพุ่งใส่ระบบดาวสำนักแปลงวายุ ขนาดขยายขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน
“สามหาว!”
แทบจะเป็นในเวลาเดียวกัน ดาวฤกษ์ขนาดยักษ์นั้นพลันพองขยาย กลายเป็นยักษ์เพลิงขดร่างตนหนึ่ง ประจันหน้ากับสัตว์ยักษ์ทั้งสองตัว
……………………………………….