ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 887 ศึกจริง (1)
วิญญาณดาวฤกษ์หรือ
ไม่เหมือน...แต่จะสนใจทำไม ฟันก่อนค่อยว่ากัน!
ลู่เซิ่งแสยะยิ้ม ถือดาบพุ่งเข้าใส่
ร่างของเขาขยายใหญ่ขึ้นด้วยความเร็วสูงสุดตามการเคลื่อนที่อันรวดเร็ว เปลี่ยนจากมนุษย์ธรรมดา จนกลายเป็นสัตว์ประหลาดยักษ์สามใบหน้าและมีหางยาว เกราะเกล็ดเหมือนกับผิวกระจกงอกขึ้นเต็มตัว
แต่แค่นี้ยังไม่อาจเทียบเคียงกับดาวฤกษ์ดวงหนึ่งได้
“สายลม! จงฟังคำสั่งข้า!”
ลู่เซิ่งชูมือขึ้น
อนุภาคพลังงานนับไม่ถ้วนกลางอวกาศรวมตัวบนร่างเขาด้วยความเร็วสูง และถูกเขาหลอมรวมเข้ากับร่างในพริบตา
นอกจากนี้แล้วอัคคีอนธการสีดำอมม่วงสายหนึ่งก็พลันกระจายออกมารอบตัวเขา ห่อหุ้มร่างเขาไว้ทั้งหมด แล้วค่แปรเปลี่ยนกลายเป็นวัตถุจับต้องได้ รวมเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายของเขา
เปรี้ยง!
ตอนนี้กระเรียนยักษ์พันเทวะกับเทพปีศาจแห่งสายลมเข้าปะทะกับยักษ์จากดาวฤกษ์ของสำนักแปลงวายุอย่างหนักหน่วง
แม้สัตว์ยักษ์สองตัวจะใหญ่โตมโหฬาร แต่ยังคงเป็นแมลงตัวเล็กจ้อยตัวหนึ่งเมื่อเทียบกับดาวฤกษ์ ขนาดต่างกันอย่างใหญ่หลวง
ต่อให้เป็นดาวเคราะห์อื่นที่อยู่รอบๆ เมื่อเทียบกับยักษ์จากดาวฤกษ์แล้ว ก็เป็นเพียงเมล็ดงาเท่านั้น
ทว่าเปลวเพลิงสีม่วงอมดำที่พ่นออกมาจากตัวสัตว์ประหลาดทั้งสองตัวตลอดเวลา ก็ทำให้วิญญาณดาวฤกษ์คิดขว้างมุสิกกริ่งเกรงภาชนะเสียหาย
เขาเพิ่งจะต้านรับหมัด บนแขนก็มีอัคคีอนธการสีดำอมม่วงลุกไหม้ทันที เปลวเพลิงนี้มีอุณหภูมิมากกว่าพันองศาเขาไม่อาจดับลงได้ในทันที
เวลานี้เปลวเพลิงรอบตัวลู่เซิ่งสลายไป เผยให้เห็นร่างหลักด้านใน
นั่นคือร่างสูงใหญ่ทั้งตัวเป็นสีดำสนิท กล้ามเนื้อกำยำบึกบึน
ใบหน้าสามใบในตอนแรกของเขา มีสองใบหดเล็กลง เกาะติดกับจอนผมสองข้างเหมือนเครื่องประดับ เขาโค้งงอมหึมาสีดำดุร้ายคู่หนึ่งบนศีรษะ ยาวไปด้านหลัง จรดถึงส้นเท้า
นอกจากนี้ ก็คือเทวลักษณ์เรืองแสงสีม่วงกะพริบกลางทรวงอก เทวลักษณ์นั้นเหมือนกับอักขระแสงลวดลายธรรมดาอย่างหนึ่ง
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ร่างกายของลู่เซิ่งในเวลานี้ก็มีขนาดใหญ่ทะลุหนึ่งหมื่นหมี่แล้ว
ร่างกายส่วนใหญ่ของเขาให้ความรู้สึกโปร่งแสงที่จับต้องได้เพียงครึ่งหนึ่ง ดูเหมือนประกอบจากอัคคีอนธการสีดำอมม่วง
แต่แค่นี้ก็ร้ายกาจมากแล้ว
แม้ว่าสำหรับยักษ์จากดาวฤกษ์ ขนาดแค่นี้ยังไม่นับเป็นมดได้ด้วยซ้ำ แต่ลู่เซิ่งไม่คิดจะเข้าไปสู้ระยะประชิดกับอีกฝ่าย นั่นเท่ากับไปตายเปล่า
“ลองดูก่อน” ลู่เซิ่งมองยักษ์อยู่ห่างๆ ดาบยาวเปลวเพลิงสีดำอมม่วงเล่มหนึ่งรวมตัวบนมืออย่างฉับพลัน
“รวมตัว!”
เขาสั่งความคิด อัคคีอนธการมหาศาลทะลักออกมาจากในร่าง นอกจากนี้แล้ว ยังมีพลังของเทพปีศาจแห่งสายลม อวัยวะที่หกซึ่งเขาได้มาจากโลกเทพนอกรีตด้วย
พลังทั้งสองชนิดเกี่ยวกระหวัดกันบนดาบยาวที่อยู่กลางฝ่ามือของเขาอย่างรวดเร็ว
ครืน!
ทันใดนั้นด้านหลังลู่เซิ่งพลันปรากฏจานกลมสีขาวนวล เทวลักษณ์ทั้งหมดเก้าสายบนนั้นสว่างขึ้นแปดสาย
แปดสายนี้คือสัญญะเทพหรือกฎเกณฑ์ที่เป็นตัวแทนพลัง
“ขอดูหน่อยเถอะว่าพลังแปดส่วนของเราจะไปถึงขั้นไหน” ลู่เซิ่งยกดาบยาวขึ้น
ขณะสัมผัสพลังอันน่ากลัวพรั่งพรูออกมาจากในร่างกาย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาใช้ร่างหลักและพลังส่วนใหญ่จากโลกรูปจิตพร้อมกัน
ความแข็งแกร่งของพลังสายนี้ ต่อให้เป็นตัวเขาก็ไม่ทราบว่าจะทำได้ถึงขั้นไหน
“มรรคายุทธ์ทำลายล้างในพริบตา…วายุฉีกกระชาก”
เป็นเพียงแค่กระบวนท่าเล็กๆ ในวิชามวยทั่วไป ลู่เซิ่งฟันดาบออกไป
แคว่ก!
มิติฉีกออกเป็นร่องแยกสีเทา จากนั้นก็สมานตัวอย่างรวดเร็ว
ประกายดาบสีดำอมม่วงสายหนึ่งทะลวงมิติ กระโดดข้ามหายไป
ยักษ์จากดาวฤกษ์ต่อยหมัดใส่กระเรียนยักษ์พันเทวะจนมันกระเด็นออกไปด้านหลัง มันไม่สนใจเพลิงสีม่วงที่กระทบมือ หากแต่หมุนตัวไปชกใส่เทพปีศาจแห่งสายลมที่เพิ่งจะรวมร่าง
ทันใดนั้นร่างมันก็หยุดชะงัก
“อะไรกัน…” ฟ้าว!
ปลายดาบสีดำอมม่วงขนาดมหึมาสายหนึ่งปรากฏขึ้นด้านหน้าทรวงอกของเขาอย่างฉับพลัน
“นี่มัน?!” ยักษ์จากดาวฤกษ์โซเซถอยหลังไปสาวก้าว ก้มมองปลายดาบที่หน้าอกของตัวเองอย่างไม่น่าเชื่อ
จากนั้นก็เกิดเสียงระเบิดดังกึกก้อง ปลายดาบระเบิดกลายเป็นเปลวเพลิงประหลาดจำนวนมาก หลั่งไหลเข้าไปในตัว
“แค่ลอบโจมตีธรรมดา…รนหาที่ตาย!” ยักษ์เงยหน้าขึ้นคำราม สองตามีแสงสีทองสองกลุ่มพุ่งออกมาอย่างสะเทือนเลื่อนลั่น
แสงสีทองสาดลงล่างกลายเป็นอีกาสีทองที่มีสามขาสองตัว เข้าประหัตประหารกับเทพปีศาจแห่งสายลม
“เผาไหม้ฟ้าทลายพิภพ!” ยักษ์พลันปักสองมือใส่ท้องน้อยตัวเอง
ตูม!
ทันใดนั้น ร่างกายของมันก็ระเบิดออกโดยสิ้นเชิง กลายเป็นลำเพลิงสีทองอร่ามผืนใหญ่ พุ่งปกคลุมอาณาบริเวณ
ในอาณาเขตที่สายตาไปถึง ไม่มีทิวทัศน์อื่นใดนอกจากแสงไฟสีทอง
ลู่เซิ่งรู้สึกว่าอัคคีอนธการกับพลังเทพนอกรีตที่ตนแทงเข้าไปในตัวอีกฝ่ายถูกระเบิดทำลายทิ้งไป
เปลวเพลิงสีทองทั่วฟ้ากลบฝังเทพปีศาจแห่งสายลมกับกระเรียนยักษ์พันเทวะในทันที การโจมตีด้วยมหาเพลิงได้ทำลายแกนหลักของทั้งสองสัตว์ประหลาดทิ้งไปแล้ว
ท่ามกลางทะเลเพลิง ประกายแสงสีทองขาวสายหนึ่งกะพริบสองสามที แล้วไปถึงด้านหน้าลู่เซิ่งด้วยความเร็วที่เหนือกว่าความเร็วแสง
“ธงศึกพิฆาตดาว!” ในประกายแสงสีทองขาวพลันมีแสงสีขาวเจิดจ้าสายหนึ่งพุ่งออกมา สว่างไสวแยงตาราวกับธงศึกที่กางออก ก่อนจะฟาดใส่ศีรษะลู่เซิ่ง
“บังอาจสู้ระยะประชิดกับข้าหรือ?!” ลู่เซิ่งหัวเราะร่า ยกสองแขนขึ้นป้องกัน
เคร้ง!
คลื่นกระเพื่อมจากการปะทะกันของโลหะสองสายกระจายออกมา
คลื่นกระเพื่อมกระจายตัว ทุกสิ่งที่มันพุ่งผ่าน อุกกาบาต ธุลีจักรวาล ถึงขั้นยังมีเครื่องตรวจจับที่กำลังเข้าใกล้หลายตัว ถูกบดและเผาไหม้กลายเป็นความว่างเปล่าโดยสิ้นเชิง
ทันใดนั้นอาณาเขตรอบตัวคนทั้งสองในรัศมีไร้ขอบเขต กลายเป็นสุญญากาศอย่างสัมบูรณ์
ไม่มีเสียง ไม่มีการเคลื่อนไหว มนุษย์สีทองสว่างไสวผู้หนึ่งพุ่งออกมาจากแสงสีขาว ถือดาบคู่ โรมรันกับลู่เซิ่ง
ทั้งสองปะทะกันในระยะประชิดอย่างบ้าคลั่ง
มาถึงขั้นนี้ แทบไม่มีจุดอ่อนใดๆ การโจมตีต่อจุดอ่อนทั้งหลายแหล่ไม่มีประโยชน์อีก
ส่วนใหญ่ทั้งสองใช้ทักษะกระบวนท่าที่เพิ่มพลังทำลายล้างของตัวเองได้มากกว่า
วิชาลับ วรยุทธ์ ท่าไม้ตายมากมาย หลั่งไหลออกไปจากมือของลู่เซิ่งอย่างคลุ้มคลั่ง ในชั่วขณะนั้นเขาใช้ทักษะลับที่แข็งแกร่งเป็นจำนวนหลายพันท่า
ทักษะลับพวกนี้โจมตีอีกฝ่ายจากมุมต่างๆ เช่น ร่างกาย จิตวิญญาณ กลิ่นอาย และพลังงาน โดยมีเป้าหมายคือการทำลายจังหวะและการไหลเวียนพลังงานของอีกฝ่าย เพื่อสร้างข้อได้เปรียบเล็กๆ อาการบาดเจ็บจำนวนมากเริ่มสั่งสมมากขั้นตามลำดับ สุดท้ายก็กลายเป็นพลังกดทับ ทำลายทุกอย่างด้วยการโจมตีครั้งเดียว
ยักษ์จากดาวฤกษ์ใช้วิธีการต่อสู้อีกอย่างหนึ่ง
การเคลื่อนไหวของเขาสามารถก่อให้เกิดอุณหภูมิได้ร้อยเท่าพันทวี แสงที่ปล่อยออกมาบนร่าง หากคนธรรมดามองแค่แวบเดียวก็อาจตาบอดได้
อิทธิฤทธิ์นับไม่ถ้วนยิงออกมาจากร่างเขา มีวิชาอันน่ากลัวที่ทำลายล้างดวงดาวได้อย่างง่ายดายหลายวิชา รวมตัวกันรอบตัวเขาทุกวินาที
วิชามากมายหักล้างกับทักษะลับของลู่เซิ่ง
ทั้งสองโรมรันพันตูกัน พริบตาเดียวก็ประมือกันแล้วมากกว่าหมื่นครั้ง พายุอนุภาคพลังงานที่กระเด็นออกมา เริ่มบิดเบี้ยวมิติเวลา เปลี่ยนที่นี่ให้กลายเป็นแดนมรณะ
เสียงกลายเป็นการสั่นสะเทือนด้วยความถี่สูงอย่างสมบูรณ์ กระจายออกไปมากกว่าร้อยล้านกงหลี่
ลำเพลิงสีทองนับไม่ถ้วนเปลี่ยนพื้นที่หลายปีแสงให้กลายเป็นมหาสมุทรเพลิง
กลางเพลิงโหม ตำแหน่งของยักษ์จากดาวฤกษ์และลู่เซิ่งเหมือนกับก้อนสีดำก้อนหนึ่ง ที่ลอยอยู่ที่เดิมไม่กระจายไปไหน
“เจ้าสำนักแปลงวายุจงอวิ๋น หมื่นปีก่อนฝังตัวเองไว้ในดาวฤกษ์เพื่อฝึกวิชาวายุพิฆาต…ต่อให้อยู่ในอนธการของระบบดาว ก็เป็นผู้เข้มแข็งที่จัดอยู่ในลำดับแรกๆ นึกไม่ถึงว่า…”
สีหน้าของผู้ปกครองจันทราแดงเจิ้งเจวี่ยซวินที่อยู่ไม่ไกลนัก เริ่มคร่ำเคร่งโดยไม่รู้ตัว
“ไม่เลวจริงๆ…ผู้ปกครองลู่…” มุมปากของนางยกขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
ลู่เซิ่งถึงกับสู้จงอวิ๋นถึงตอนนี้ได้ นี่อยู่เหนือความคาดหมายของนางโดยสิ้นเชิง
“แต่ถ้าเจ้ามีพลังแค่ระดับนี้ คิดแก้แค้นยังไม่ง่ายนัก…” เจิ้งเจวี๋ยซวินหัวเราะพลางถอยให้ห่างออกมาอีกหน่อย ก่อนจะยื่นมือไปป้องกันเรือเหาะด้านหลัง
อาณาเขตที่โดนลูกหลงจากการเข่นฆ่ากันของคนทั้งสองแผ่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
เปลวเพลิงสีทองหลายกลุ่มห่อหุ้มทั้งสองไว้รอบด้าน รังสีอุณหภูมิที่คะเนความร้อนไม่ได้กำลังระเหยพลังกายของลู่เซิ่งอย่างต่อเนื่อง
จุดเด่นของอัคคีอนธการที่เผาไหม้จิตวิญญาณจนกว่าจะตาย และก็เผาไหม้วิญญาณของเจ้าสำนักแปลงวายุจงอวิ๋นไปอย่างไม่หยุดหย่อนเช่นกัน
การต่อสู้ของคนทั้งสองเริ่มสูสี ไม่มีใครฆ่าอีกฝ่ายได้ในทันที เมื่อมาถึงขอบเขตอนธการ การต่อสู้แบบนี้จึงถือเป็นเรื่องปกติ
การต่อสู้ระหว่างผู้เข้มแข็งอนธการสองคน สามารถทำลายระบบดาวแห่งหนึ่งได้อย่างง่ายดายเพียงยกมือ
เหมือน...เช่นนี้
เปรี้ยง!
ลู่เซิ่งถูกแสงสีทองสายหนึ่งฟาดใส่ใบหน้าด้านขวา ร่างพลิกกระแทกเปลวเพลิงสีทองจนกระจาย แล้วลอยออกไป
ความอับอายกลายเป็นโทสะ จึงฟันดาบใส่ดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่อยู่ใกล้เคียง
“ไปตายกันให้หมดซะ!”
เกิดเสียงดังฉัวะ ดาวเคราะห์พลันแยกออกเป็นสองส่วน ตรงกลางปรากฏรอยดาบสีม่วง จากนั้นก็ระเบิดดังอึงอล สิ่งมีชีวิตหลายพันล้านชีวิตบนดวงดาวดับสูญโดยสิ้นเชิง
“ลู่เซิ่ง! รนหาที่ตาย!” เจ้าสำนักแปลงวายุโมโหแล้ว
“เจ้าพูดมาสามครั้งแล้ว! ไอ้โง่!” ลู่เซิ่งโดนตบหน้าอีกครั้งโดยไม่ทันระวัง เพลิงโทสะลุกโหม เขากระทืบเท้า พายุพลังงานอันน่ากลัวกลุ่มใหญ่อาศัยปฏิกิริยาย้อนกลับ ปรากฏเป็นรูปร่าง แล้วพัดใส่ดาวเคราะห์อีกดวงจนหลุดจากวิถีโคจร
ทั้งสองพุ่งปะทะกันอีกครั้ง
ตูม!
ครั้งนี้เจ้าสำนักแปลงวายุจงอวิ๋นกระเด็นออกไปชนกับดาวเคราะห์แถวนี้
ผิวดาวเคราะห์ยุบลงเป็นหลุมลึกขนาดยักษ์ พื้นผิววงกลมที่เดิมกลมดิกพลันยุบลงไปเป็นหลุมขนาดใหญ่ เหมือนกับไข่ไก่ถูกกะเทาะเปลือก
อั่ก
จงอวิ๋นอดกระอักเปลวเพลิงเลือดออกมาไม่ได้
“ประเสริฐนัก…เจ้า…”
ฉัวะ!
ไม่รอให้เขาพูด รอยดาบสีม่วงรูปกางเขนอีกสายก็พุ่งจากท้องฟ้าลงมาใส่หลุมลึกอย่างรุนแรง
ดาวเคราะห์สั่นไหว ก่อนจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
จานกลมสีทองปรากฏขึ้นด้านหลังจงอวิ๋น เทวลักษณ์ที่มีลวดลายแตกต่างกันเก้าอันสว่างขึ้นบนนั้น
“เจ้าเป็นคนบังคับข้าเองนะ! จงดับสูญเถิด! วงจรฟ้า!”
เขาเผยสีหน้าเหี้ยมเกรียม นอนหงายกลางอวกาศ ทั่วร่างปรากฏเงาสัตว์โบราณหลายชนิด
เงากะพริบอย่างต่อเนื่อง พริบตาเดียวก็ปรากฏหลายสิบชนิด
ลู่เซิ่งฟันไปหลายพันดาบ แต่ไม่มีสักดาบที่เข้าใกล้จงอวิ๋นได้เกินร้อยหมี่เลย
“เก้าดาบวายุ! ลักษณ์กำเนิดพินาศ!”
จงอวิ๋นกางสองแขน ร่างกลายเป็นเปลวเพลิงสีทองขาว เปลวเพลิงแยกออกเป็นดาบยาวที่แตกต่างกันเก้าเล่ม สะบัดเป็นเส้นวิถีรอยดาบที่แตกต่างกันเก้าชนิด
สิ่งที่น่าประหลาดก็คือ รอยดาบเก้าสายที่เพิ่งปรากฏ ก็หายวับไปกลางอากาศทันที
……………………………………….