ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 888 ศึกจริง (2)
“กระโดดข้ามมิติหรือ?!” ลู่เซิ่งหนังตากระตุก ทราบว่านี่เป็นการฟันข้ามมิติ เกิดขึ้นเพราะมิติฉีกขาดจากการที่พลังแข็งแกร่งเกินไป
เขารีบหุบอัคคีอนธการทั่วร่าง จากนั้นก็ระเบิดออกไป
ตูม!
อัคคีอนธการระเบิดออกไปโดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง มิติโดยรอบพลันปั่นป่วน
รอยดาบเก้าสายที่เพิ่งจะหายไปถูกรบกวน ไปปรากฏขึ้นห่างจากลู่เซิ่งไปมากกว่าพันหมี่
สำหรับผู้เข้มแข็งอนธการ ระยะห่างพันหมี่เท่ากับเพียงดีดนิ้วเดียว
ลู่เซิ่งหลบไม่ทัน ถูกประกายดาบสายแรกฟันใส่ทรวงอก
พรึ่บ!
คมดาบสีทองขาวเหมือนทะลุร่างล่องหน หายเข้าไปในตัวลู่เซิ่ง แต่กลับไม่ทิ้งบาดแผลใดๆ ไว้
แต่ยามนี้ลู่เซิ่งกลับหยุดนิ่งไปทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ ไม่อาจขยับเขยื้อนได้
ถัดจากนั้นตามมาด้วยสายที่สอง สายที่สาม สายที่สี่…
จนกระทั่งถึงสายที่เก้า
ประกายดาบเก้าสายฟันเข้าไปในร่างลู่เซิ่ง
เขาขยับเขยื้อนไม่ได้
หลายวินาทีต่อมา
ตูม!
ร่างลู่เซิ่งระเบิด กลายเป็นเปลวเพลิงสีทองนับไม่ถ้วนพุ่งออกไป
ทุกสิ่งทุกอย่างของเขา ร่างกายและจิตวิญญาณ ทุกๆ อย่าง ถูกทำลายหมดสิ้น
ผ่านไปเกือบสองสามนาที
เปลวเพลิงสีทองนับไม่ถ้วนกลางอวกาศรวมตัวเป็นกลุ่มอย่างรวดเร็ว ทะเลเพลิงหดตัวลง รวมกันเป็นร่างของจงอวิ๋น
นี่คือบัณฑิตดูทรงภูมิวัยกลางคน เขาสวมเสื้อคลุมสีขาว บนใบหน้ามีลวดลายสีทอง เพียงแต่สีหน้าเขาในตอนนี้ดูไม่ดียิ่ง
แค่กๆๆ…
เขาเอามือปิดปาก เลือดสีทองสายหนึ่งไหลออกมาจากร่องนิ้วอย่างเงียบเชียบ
“เหอะๆ…เป็นแค่คนรุ่นหลัง…ถึงกับกล้าดูถูกข้า…ราคาของการดูถูกข้าคือความตาย!” เขามองร่างลู่เซิ่งที่กระจัดกระจายหายไป อดหัวเราะเสียงแผ่วเบาไม่ได้
เพราะไม่ทันได้ตั้งตัว ต่อให้เป็นมารสวรรค์มายาพิศวง เมื่อโดนท่าไม้ตายที่ส่งผลต่อจิตวิญญาณนี้ไป ก็มีแต่ต้องตายเท่านั้น
“ผู้ปกครองจันทราแดง เห็นหรือยัง นี่คือจุดจบของอัจฉริยะ เด็กน้อยที่ไร้ศักยภาพ ถึงกับกล้าเอาพลังฝึกปรือแค่ไม่กี่ร้อยปีมาเทียบเคียงกับข้าหรือ น่าขันโดยแท้!”
ผู้ปกครองจันทราแดงมองเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ไม่พูดอะไรสักคำ ดวงตาฉายแววเวทนา
“เจ้า…เจ้ากำลังมองอะไร เหตุใด เหตุใดจึงมองข้าเช่นนี้!?” จงอวิ๋นถอยหลังไปสองก้าว เหลียวมองรอบๆ ศพของลู่เซิ่งถูกเผาเป็นจุณ ไม่เหลือแม้แต่เศษธุลีแล้ว
ในเมื่อไม่มีคู่ต่อสู้เหลือ แล้วนางมองอะไร สายตาแบบนั้นหมายความว่าอะไร
เขารู้สึกคันยุบยิบที่ใบหน้า จึงอดเอื้อมมือไปลูบไม่ได้
แต่สิ่งที่ลูบเจอ กลับเป็นของเรียบลื่นขยับยุกยิก
เขาตกใจ รีบออกแรงกระชากมันออกมาดู
สิ่งที่ดึงออกมา ดูเหมือนหนวดสีม่วงกลุ่มหนึ่ง ต่อให้จะอยู่ในมือเขา ไอ้สิ่งนี้ก็ขยับขยุกขยิกเหมือนสิ่งมีชีวิต ปากที่มีฟันเหมือนเลื่อยงอกติดบนหนวด กำลังขย้ำมือของเขาอย่างสุดชีวิต
จงอวิ๋นสีหน้าบิดเบี้ยว เขาเอื้อมมือไปลูบดวงตากับรูจมูกของตัวเอง สองตำแหน่งนี้มีหนวดสีม่วงจำนวนมากมุดออกมาไม่หยุดหย่อน
“ข้า…ข้า…!”
“ตอนนี้เจ้าคิดว่าตัวเองยังชนะอยู่อีกหรือไม่” ผู้ปกครองจันทราแดงถอยหลังไปหลายก้าวอย่างรังเกียจ เสกพัดกลมเล่มหนึ่งขึ้นในมือแล้วนำมาปิดจมูก
“ข้า…ฆ่ามันไปแล้ว…ทั้งๆ ที่…” ขณะที่จงอวิ๋นพูด บนตัวก็มีหนวดจำนวนมากงอกออกมาเรื่อยๆ
หนวดสีม่วงที่เรียบลื่นและเหนียวเหนอะนับไม่ถ้วนตกลงมา ขยับดุกดิกด้านหลังเขาแล้วรวมตัวเป็นร่างคนที่มีเลือดเนื้อพร่ามัว
หน้าที่พร่ามัวไม่ชัดเจนของร่างมนุษย์ค่อยๆ ปรากฏเค้าโครงของลู่เซิ่ง
“จงรวม…เป็นหนึ่ง…กับข้าเถอะ…” เสียงพึมพำขมุกขมัวดังมาจากด้านหลังจงอวิ๋น
ร่างของเขาแข็งทื่อและเริ่มเปล่งแสงเพลิงสีทองขาวจำนวนมากอย่างบ้าคลั่งเพราะอารมณ์พลุ่งพล่าน
แต่ว่าแสงเพลิงพวกนี้โดนหนวดกัดกินอย่างง่ายดาย ก่อนจะพากันมอดดับในพริบตา
“ข้า….” จงอวิ๋นอ้าปากคิดพูดอะไร แต่ก็สายไปเสียแล้ว
หนวดสีม่วงกลุ่มใหญ่ทะลักออกมาจากปากเขา หนวดนับไม่ถ้วนเริ่มมุดออกมาจากตา หู จมูกของเขา ก่อนจะเข้าปกคลุมผิวทุกส่วนเอาไว้
พริบตาเดียวเขาก็กลายเป็นมนุษย์หนวดสีม่วงโดยสิ้นเชิง
ผู้ปกครองจันทราแดงรับชมอยู่ไกลๆ แค่เห็นเหตุการณ์นี้ก็รู้สึกขยะแขยงแล้ว แม้เจ้าสำนักแปลงวายุจะเป็นผู้เข้มแข็งอนธการของสำนักชายขอบ ไม่ได้มีไพ่ตายที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง
แต่อย่างไรก็เป็นอนธการศักดิ์อาวุโส
กลับนึกไม่ถึงว่าจะตายในถิ่นของตัวเอง
“โดนมุดช่องโหว่เพราะผลาญพลังมากไปหรือ พลังแบบนี้ ช่าง…” เจิ้งเจวี๋ยซวินขมวดคิ้ว เอ่ยอย่างกริ่งเกรงอยู่บ้าง
“หนำซ้ำขนาดถูกฟันจิตวิญญาณไปแล้วก็ยังไม่ตาย…มารสวรรค์มายาพิศวงทั่วไปอย่างไรก็ต้องรับบาดเจ็บ…”
นางเพ่งมองมนุษย์หนวดม่วงที่อยู่ไกลออกไป เห็นสีผิวอีกฝ่ายค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ หนวดทั้งหมดมุดหายเข้าใต้ผิวหนัง
ไม่นานนัก บุรุษร่างกำยำคุ้นเคยคนหนึ่งก็โผล่ขึ้นตรงหน้านาง เป็นลู่เซิ่งที่มากับนางนั่นเอง
“อันตรายจริงๆ…เกือบตายเสียแล้ว” ลู่เซิ่งเลียริมฝีปากและยิ้มแปลกประหลาด
เขาเห็นความกริ่งเกรงของเจิ้งเจวี๋ยซวิน แต่นี่ไม่เป็นอุปสรรคไม่ให้ลู่เซิ่งยืนยันตำแหน่งของพลังต่อสู้ในตอนนี้ของตัวเอง
ดูเหมือนเราจะสู้จงอวิ๋นไม่ไหวจริงๆ แต่แม้เราจะสู้มันไม่ได้ เมื่อสู้กับเรา คนที่ตายก็ยังเป็นมัน
อนธการมากประสบการณ์เหล่านี้มีพลังต่อสู้แข็งแกร่งถึงขีดสุด แต่พวกเขาไม่มีวิธีรับมือพลังของเทพนอกรีต
พลังของพวกเขาเป็นสิ่งสมมติสำหรับพลังเทพนอกรีต เหมือนกับที่เขาไปถึงโลกเทพนอกรีตครั้งแรก ที่ปราณปฐพีถึงขั้นสัมผัสพลังเทพไม่ได้
เขาใช้กระเรียนยักษ์พันเทวะกับเทพปีศาจแห่งสายลม ปลูกถ่ายหนวดของตัวเองเข้าไปในอากาศรอบตัวจงอวิ๋นตั้งแต่แรกแล้ว
ในตอนที่อีกฝ่ายอ่อนแอลงเพราะใช้กระบวนท่าไม้ตายออกไป หนวดระดับอณูเหล่านี้จะฉวยโอกาสมุดเข้าไปแพร่พันธุ์ในร่างกายทันที
ส่วนความปลอดภัยของเขา
ในฐานะมารสวรรค์มายาพิศวง ทั้งยังมีพลังเทพนอกรีตกับกายอมตะพันเทวะอยู่กับตัว ต่อให้จิตวิญญาณถูกทำลาย เขาก็ฟื้นคืนชีพได้อย่างง่ายดาย
แต่ด้วยระดับของเขาในตอนนี้ ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีวันตายโดยสิ้นเชิง ขอแค่มีคนฆ่าเขาเจ็ดแสนสองหมื่นครั้งได้ในเวลาหนึ่งชั่วโมง จะสามารถทำลายโครงสร้างระบบคืนชีพอมตะของกายอมตะพันเทวะและพลังเทพนอกรีตได้อย่างสมบูรณ์
ดังนั้นลู่เซิ่งจึงคิดว่าตัวเองควรระมัดระวังขึ้นเล็กน้อย เหมือนอย่างวันนี้ สุดท้ายตนถูกท่าไม้ตายของจงอวิ๋นเข้าไปโดยไม่ทันระวัง จนตายไปหนึ่งครั้ง เป็นสิ่งที่ไม่สมควรเลย
ถ้าจงอวิ๋นคว้าโอกาสฆ่าเขาหลายร้อยรอบได้ในทีเดียว อย่างนั้นเขาคงจะเกิดอันตรายจริงๆ แล้ว
อย่างไรเขาก็คืนชีพได้ทั้งหมดเจ็ดแสนสองหมื่นครั้งเท่านั้น
ลู่เซิ่งไม่เคยดูถูกพลังของสัตว์ประหลาดเฒ่าพวกนี้
เขาที่คิดแบบนี้ ให้ความสำคัญกับผู้เข้มแข็งอธนการมากประสบการณ์ของสามสำนักจริงๆ
“ดูเหมือนยังเหลืออีกสองศึก ตึงมือกันทั้งนั้น…”
“ตอนนี้เจ้าคิดจะทำอะไร” ผู้ปกครองจันทราแดงเข้ามาใกล้เล็กน้อย ก่อนส่งกระแสเสียงถาม
“ถึงข้าจะตายไปครั้งหนึ่ง แต่กลืนกินร่างของจงอวิ๋นไป จึงพอจะนับได้ว่าได้รับการชดเชยบางส่วน” ลู่เซิ่งมองดาวเคราะห์ทรุดโทรมสองดวงที่เหลืออยู่
ดาวเคราะห์ดวงอื่นถูกทำลายไปในการต่อสู้ของเขาและจงอวิ๋นแล้ว
สองดวงที่เหลือนี้ค่อนข้างสมบูรณ์ เพียงแต่บนผิวดาวดวงหนึ่งมีรูปขนาดมหึมา ที่ดูเหมือนมันฝรั่งถูกขย้ำไปคำหนึ่ง
“บนนั้นยังมีสิ่งมีชีวิตมีสติปัญญาอีก อย่างน้อยมากกว่าหมื่นล้าน เอาอย่างไร ขายให้ลัทธิจันทราแดงของข้าดีไหม” เจิ้งเจวี๋ยซวินเสนอด้วยรอยยิ้ม
“พูดถึงข้อแลกเปลี่ยน ข้อเสนอที่ท่านจะให้ข้าหลับนอนด้วยก่อนหน้านี้ ตอนนี้ยัง…” ลู่เซิ่งเสนอ
“…ก่อนหน้านี้ข้าพูดเล่นน่ะ ความจริงความคิดของข้าคือการสะกดทัพให้เจ้า อย่างไรการมีอนธการอยู่ด้วยสักคนก็เพิ่มปัจจัยความปลอดภัยของเจ้าได้ไม่ใช่หรือ แบบนี้พวกเขาจะไม่ถึงกับมารุมโจมตีทั้งสองคน” มุมปากผู้ปกครองจันทราแดงกระตุก รีบตัดบทเขาทันที
ลู่เซิ่งพ่นลมหายใจและจ้องมองนาง
“เอาเถอะ…” หลังการต่อสู้เมื่อครู่ เขาก็รู้สึกว่าพลังของตนต่ำกว่าอนธการมากประสบการณ์พวกนี้ไปบ้าง เดิมทีคิดจะหาความสำราญกับเจิ้งเจวี๋ยซวินสักหน่อย เพื่อดูว่าวารีอะไรนั่นจะเพิ่มพลังฝึกปรือของตนได้จริงๆ หรือไม่
แต่ดูเหมือนตอนนี้จะไม่มีทางเป็นจริงแล้ว
“ดาวเคราะห์สองดวง ข้าจ่ายด้วยเหมืองผลึกปฐมพลังธรรมดาสองแห่ง เป็นอย่างไร” เจิ้งเจวี๋ยซวินรีบเสนอ
“ได้สิ” ลู่เซิ่งไม่รู้ว่าราคาเป็นอย่างไร แต่ถ้าถูกหลอกค่อยชิงกลับมาก็แล้วกัน ถ้าสู้ไหวค่อยกำจัดอีกฝ่ายทิ้ง ถึงเวลานั้นหากขายอีกรอบต้องมีคนยินดีให้ราคาดีๆ แน่
หลังจากทดลองประสิทธิผลของพลังเทพนอกรีตแล้ว มันก็เทียบได้กับดาวข่มหรืออาวุธทำลายล้างสำนักอนธการที่ไม่เคยสัมผัสพลังเทพนอกรีตมาก่อน
ก่อนที่พวกเขาจะเจอวิธีจัดการพลังเทพนอกรีต เขาก็ไม่เกรงกลัวอนธการคนใด
“ไปเถอะ ควรไปที่ต่อไปได้แล้ว” ลู่เซิ่งหมุนตัวเดินไปยังเรือเหาะที่ซ่อนอยู่ไกลออกไป
เรือเหาะได้รับการคุ้มครองด้วยพลังของผู้ปกครองจันทราแดง ยังคงเรียบร้อยไร้รอยขีดข่วน
เจิ้งเจวี๋ยซวินถอยใจ บินตามเขาไปยังเรือเหาะเช่นกัน
ตอนแรกใจนางยังมีความคิดชั่งน้ำหนัก แต่ตอนนี้สลัดทิ้งไปแล้ว
สิ่งที่นางตกลงกับจันทราม่วงในตอนแรกก็คือ ดูว่าครั้งนี้ใครจะชนะใครจะแพ้ หากลู่เซิ่งล้มเหลว พวกนางก็จะลงมือช่วยสามสำนักสะกดลู่เซิ่ง
ถ้าลู่เซิ่งชนะ ก็จะช่วยเขาสะกดทัพตามคำมั่นสัญญา
แต่นึกไม่ถึงว่าสุดท้ายจะมีผลลัพธ์แบบนี้ เดิมทีนึกว่าต่อให้จงอวิ๋นสู้ไม่ไหว อย่างน้อยก็ล่าถอยได้โดยไม่มีปัญหา
น่าเสียดาย…
การฝึกฝนหลายหมื่นปีหมดสิ้นในวันเดียว
เพียงแต่…
เจิ้งเจวี๋ยซวินมองเงาหลังของลู่เซิ่ง พอหวนนึกถึงภาพอันน่าขยะแยงที่ชั่วร้ายแปลกประหลาดเมื่อครู่ นางก็นึกขยาดเล็กน้อย
ไม่ใช่ว่านางไม่เคยเห็นวิชาลักษณะคล้ายกันนี้มาก่อน เพียงแต่วิชานั้นไม่อาจส่งผลต่ออนธการได้
ทว่าสภาพการณ์ในตอนนี้คือ อนธการมากประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่อย่างจงอวิ๋น ทั้งๆ ที่ชนะแล้ว กลับโดนลอบเล่นงานจนมอดม้วยเพราะไม่ทันระวัง
“ศึกนี้ข้าชนะอย่างผ่าเผย ศึกต่อไปย่อมต้องทำให้พวกมันแพ้อย่างยินยอมพร้อมใจ” ลู่เซิ่งยืนเอามือไพล่หลัง เหม่อมองไปอย่างบุคลิกปรมาจารย์
“ดังนั้นนะสหายเจิ้งเจวี๋ย รบกวนช่วยข้าท้าสู้หยวนชิงลี่เจ้าสำนักนทีครามที สามวันให้หลัง ข้าจะไปยังดาวหลักของสำนักนทีครามและสะสางบุญคุณความแค้นด้วยตัวเอง! ถ้านางไม่อยากมอบตัวคนร้ายมา เช่นนั้นก็ให้ความเป็นความตายตัดสินแทนก็แล้วกัน”
เจิ้งเจวี๋ยซวินหนังหน้ากระตุก ข่มกลั้นความคิดอยากเสียดสี ก่อนจะพยักหน้า
“ได้ ข้าจะช่วยส่งข้อความไปให้”
ทั้งสองมองดูระบบสุริยะที่พังทลายและตกสู่ความมืดมิด ก่อนจะหมุนตัวเข้าเรือเหาะ กระโดดข้ามมิติออกไป หายวับในชั่วกกพริบตา
……………………………………….