ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 89 แผนการ (1)
“ไม่ ส่งไปเมืองเลียบคีรีโดยตรง ข้าจะไปเอง” ลู่เซิ่งเปลี่ยนใจ
“ทราบแล้ว”
“เรื่องอื่นท่านไปจัดการเถอะ ข้าไปตำหนักใหญ่ก่อน” ลู่เซิ่งมอบหมายงานเสร็จ ก็ควบม้าไปยังเรือวาฬแดง
เขาไม่ได้หยุดระหว่างทาง รอไปถึงเรือวาฬแดง หัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอกกับผู้จัดการภารกิจภายในระดับสูงจำนวนไม่น้อยก็ได้มาถึงแล้ว
ผู้คนเคลื่อนตัวบนท่าเรือ ค่ายพรรคสำนักที่อยู่ใกล้ๆ อยู่กันครบ
ลู่เซิ่งเพิ่งควบม้ามาถึง ก็มีพลพรรคสวมเครื่องแบบพรรคสีแดงมาต้อนรับ ช่วยจูงม้านำทางให้
“วันนี้ทำไมคนมากขนาดนี้” ลู่เซิ่งขมวดคิ้วถาม มองดูด้านหน้า
คนกลุ่มหนึ่งที่พึ่งมาถึงกำลังชูธงชุมนุมเขาบูรพา ชายชราไว้เคราขาวซึ่งเป็นผู้นำกลุ่มกำลังกระซิบกระซาบกับพลพรรคที่นำทาง
“ประมุขพรรคส่งคำสั่งเรียกชุมนุมใหญ่ วันนี้เหล่าผู้นำที่มีหน้ามีตาใกล้ๆ นี้ทั้งหมดจะมาเรือวาฬแดง” พลพรรคผู้นั้นตอบเบาๆ
ลู่เซิ่งพลิกตัวลงจากหลังม้า ขึ้นเรือวาฬแดงจากด้านข้าง ด้านหน้าเบียดเสียดแออัด ไม่อาจเข้าออก แค่กลุ่มชูธงที่เข้าแถวบนเรือก็มีหลายกลุ่มแล้ว เป็นเพราะการตรวจสอบจึงช้ายิ่ง
“คำสั่งเรียกชุมนุมใหญ่หรือ เกิดอะไรขึ้น” ลู่เซิ่งถาม
“ข้าน้อยก็ไม่ทราบเช่นกัน” พลพรรคผู้นั้นส่ายหน้า
ลู่เซิ่งไม่พูดอีก ขมวดคิ้ว รู้สึกไม่ดีอยู่บ้าง
เขาขึ้นเรือ ก่อนมุ่งตรงไปยังตำหนักใหญ่ตรงกลาง ยังไม่ทันเข้าใกล้ก็ได้ยินเสียเอะอะโวยวายจากด้านใน
เดินตามเส้นทางด้านข้างในเรือเข้าตำหนักใหญ่ สิ่งที่เห็นคือธงของค่ายพรรคสำนักกระจัดกระจาย
คนจากขุมกำลังอื่นๆ นั่งเต็มตำหนักใหญ่
ประมุขพรรคเฒ่านั่งตำแหน่งประธานด้านบน เฉินอิงอยู่ด้านข้าง ยังมีผู้จัดการภารกิจภายในและภายนอกคนอื่น เฒ่าหวังกับผู้อาวุโสโอวหยางที่เขารู้จักและผู้อาวุโสทั้งหลายอยู่กันครบ
ด้านล่างเป็นสองชุมนุม ชุมนุมล่องไพรกับชุมนุมเขาบูรพาดูเหมือนว่าตัวแทนจะมาถึงแล้ว บุรุษสตรีท่วงท่าไม่สามัญนั่งอยู่บนที่นั่งของสองชุมนุม
ด้านหลังเป็นตัวแทนของสำนักแปรผัน สำนักคูรวม สำนักพยัคฆ์ภูผา ตำหนักใหญ่อึกทึกครึกโครม
ลู่เซิ่งมองประมุขพรรคเฒ่า หงหมิงจือก็เห็นเขาแล้วเช่นกัน พยักหน้าให้น้อยๆ บอกใบ้ให้ไปนั่ง
ลู่เซิ่งสังเกตเห็นว่ามีคนหนุ่มผู้หนึ่งนั่งอยู่ฝั่งซ้ายของหงหมิงจือ เป็นคนหนุ่มที่ดูสงบนิ่งเยือกเย็นมาก
คนผู้นี้นั่งข้างประมุขพรรควาฬแดง ใส่อาภรณ์สีเทา แบกกระบี่ลายสน กลับไม่มีสภาวะ เหมือนกับคนสอนหนังสือในสถานศึกษา และเหมือนเจ้าของร้านหนังสือ มีบุคลิกเป็นมิตรแทรกอยู่
เขาหยีตาสาวเท้าเข้าไป
“ศิษย์น้อง มานั่งข้างข้านี่” หงหมิงจือกล่าวเสียงทุ้ม ชี้ไปที่นั่งด้านล่างเฉินอิงทางขวามือ
เฉินอิงเป็นหมายเลขสองของพรรควาฬแดง ให้ลู่เซิ่งนั่งด้านหลังเขาถือว่าถูกต้องแล้ว ลู่เซิ่งนับว่าเป็นหมายเลขสามของพรรควาฬแดง
ลู่เซิ่งไม่เกรงใจ ก้าวยาวๆ ไปนั่งลงดั่งม้าใหญ่ดาบทอง
“ศิษย์พี่ เกิดอะไรขึ้นหรือถึงได้ประกาศคำสั่งเรียกชุมนุม”
หงหมิงจือฝืนยิ้ม แนะนำคนหนุ่มข้างตัว “ท่านผู้นี้คือคุณชายเจินสวิน ผู้ดูแลหลักของตระกูลเจินที่ครั้งนี้ออกหน้ามาจัดการสถานการณ์”
เขาหันไปกล่าวเบาๆ กับคนหนุ่มผู้นั้น “คุณชายเจินสวิน ผู้นี้คือศิษย์น้องของข้าลู่เซิ่ง ตอนนี้พลังของเขาจัดอยู่ในสามอันดับแรกของพรรควาฬแดง”
คนหนุ่มผู้นั้นพยักหน้าให้ลู่เซิ่งอย่างเป็นมิตร ไม่ได้พูดอะไร เพียงแสดงท่าที
ลู่เซิ่งจำอีกฝ่ายได้ทันที
เจินสวิน!
หัวหน้าผู้นำกลุ่มของตระกูลเจินในครั้งนี้ และคนจากตระกูลขุนนางในเรื่องเล่าขานตัวจริง คนผู้นี้สามารถนำคนอื่นๆ ในตระกูลเจินออกหน้าได้ ต้องนับเป็นผู้โดดเด่นในตระกูลขุนนางเช่นกัน
เขาสีหน้าเคร่งขรึม ลุกขึ้นประสานมือให้อีกฝ่าย เจินสวินเพียงพยักหน้าน้อยๆ
ด้วยสถานะของเขา การแสดงออกเช่นนี้นับว่าปกติ
ลู่เซิ่งไม่ถือสา นั่งลงไม่ส่งเสียงอีก ถึงอย่างไรในสายตาอีกฝ่าย เขาก็เป็นแค่หัวหน้าในพรรควาฬแดง เป็นผู้จัดการคนหนึ่งที่ไม่โดดเด่นของตระกูลเจิน แค่มองเขาตรงๆ ก็นับว่ามีน้ำใจแล้ว
จากนั้นก็มีระดับสูงของพรรควาฬแดงทยอยมาถึงทีละคน หงหมิงจือพอเจอผู้มีความสามารถเหี้ยมหาญต่างแนะนำให้เจินสวินรู้จัก คุณชายตระกูลขุนนางผู้สูงส่งไม่ได้นึกรำคาญ รักษาท่าทีเป็นมิตรตลอด
หลังจากระดับสูงจำนวนมากทราบสถานะของเขา เหมือนกับเผชิญศัตรูตัวฉกาจ นั่งเรียบร้อย ด้วยเกรงว่าจะทำให้เขาไม่พอใจ บรรยากาศน่าอึดอัดอยู่บ้าง
รอประมานครึ่งชั่วยาม
ทุกคนในพรรควาฬแดงแนะนำตัวเสร็จ ผู้นำและตัวแทนจากพรรคที่เหลือก็มากันครบแล้ว ประตูพรรคใหญ่จึงค่อยๆ ปิดลง
หงหมิงจือยกมือขึ้นมา
ตึง!
เสียงตีกลองทึบหนักดังขึ้น
“เงียบ!” หงหมิงจือเอ่ยเสียงดัง
ทันใดนั้นตำหนักใหญ่ที่อึกทึกก็เงียบลง ผู้นำจากขุมกำลังต่างๆ ปรามบริวารตนเอง มองไปที่ด้านบน
“ท่านประมุขอาวุโสหง หลังจากพรรควาฬแดงได้สิทธิ์ประกาศคำสั่งเรียกชุมนุมตั้งแต่สิบกว่าปีก่อน นี่เป็นการใช้ครั้งที่สอง ครั้งนี้ท่านเชิญทุกคนมาเพราะเรื่องวุ่นวายด้านนอกเมืองในช่วงนี้หรือ” หัวหน้าชุมนุมฟู่ของชุมนุมเขาบูรพาถามเสียงดังบนที่นั่ง
“ถูกต้อง ช่วงนี้แดนเหนือเกิดปัญหาไม่น้อย คดีประหลาดโผล่มาไม่ขาดสาย ทำให้ทุกคนตื่นกลัว ไม่ใช่ลางดีเลย! พรรควาฬแดงในฐานะหัวมังกรแดนเหนือ จะใช้มาตรการใดคุมสถานการณ์หรือไม่” หัวหน้าชุมนุมล่องไพรกล่าวเสียงดัง
คนที่เหลือสนับสนุน ผลกระทบที่ขุมกำลังทั้งหลายได้รับในช่วงนี้ค่อนข้างใหญ่โต เกิดคดีร้ายแรงไร้ที่มาจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่คนในเมืองเลียบคีรีก็หวาดผวา ยิ่งอย่าว่าแต่คนที่อยู่นอกเมือง
ถึงแม้ทุกฝ่ายต่างพยายามใช้วิธีการต่างๆ กลบเกลื่อนไป แต่ว่าคนช่างสังเกตก็เห็นสถานการณ์ที่อยู่เหนือการควบคุมของฝูงชนได้อยู่ดี
หงหมิงจือกระแอมสองคำ กดสองมือลงบอกให้ทุกคนเงียบอีกครั้ง
“ทุกท่านกล่าวถูกต้องที่สุด สถานการณ์ของแดนเหนือในช่วงนี้เกินควบคุมจริงๆ ดังนั้นครั้งนี้พรรควาฬแดงของข้าจึงเชิญทุกท่านมาก็เพื่อจัดการเรื่องนี้”
เขาผายมือไปทางเจินสวินที่อยู่ด้านข้างตนเอง
“คุณชายเจินสวินผู้นี้เป็นคนที่ตั้งใจมาจัดการสถานการณ์ในปัจจุบัน”
เจินสวิน?!
ชื่อนี้เหมือนมีเสน่ห์ ครั้นผู้นำของขุมกำลังทั้งหมดได้ยิน เดิมยังมีคนใจร้อนอยู่บ้าง หลังได้ยินชื่อคนผู้นี้สีหน้าก็แปรเปลี่ยน นอกจากมือดี ที่สองสามปีนี้เพิ่งเข้ามาใหม่ไม่ทราบสาเหตุ ระดับสูงที่เหลือไม่มีใครไม่เคยได้ยินนามยิ่งใหญ่ของตระกูลเจิน
รอบๆ เงียบลงทันตา คนที่ปกติทำงานแบบขอไปที ยามนี้เริ่มเหงื่อซึมหน้าผากและแผ่นหลัง ไม่ทราบว่าคุณชายจากตระกูลเจินผู้นี้จะพลิกบัญชีเก่าหรือไม่
ใบหน้าของเจินสวินประดับด้วยรอยยิ้ม ค่อยๆ ผุดลุกขึ้นยืน
เขากวาดตามองรอบหนึ่ง พอใจกับอานุภาพที่ชื่อของตนสร้างขึ้น
“ทุกท่าน” เสียงของเขาไม่ดัง แต่ว่ากลับถ่ายทอดอย่างกระจ่างชัด ทุกคนล้วนได้ยิน
“ข้าน้อยเป็นตัวแทนตระกูลเจิน หวังว่าทุกท่านที่นั่งอยู่จะร่วมมือกับข้าจัดการเรื่องสองเรื่อง”
เขาพอลุกขึ้นยืน คนอื่นๆ รวมถึงหงหมิงจือ ก็ลุกตาม
“คำนับคุณชายเจินสวิน! ขอบังอาจถามว่า… คุณชายต้องการให้พวกเราทำอะไร” หัวหน้าชุมนุมฟู่แห่งชุมนุมเขาบูรพากล่าวอย่างเคารพและเคร่งเครียด
คำถามนี้ของเขาเป็นสิ่งที่ทุกคนที่อยู่รอบๆ อยากรู้
เจินสวินยิ้ม “ข้าต้องการให้พวกท่านทั้งหมด ช่วยตามหาขุมกำลังทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับจัตุรัสแดง”
“จัตุรัสแดงหรือ” หงหมิงจือใบหน้าเปลี่ยนแปลง
“มิผิด แดงจากสีแดง จัตุรัสจากสี่เหลี่ยม มันคือต้นตอที่แท้จริงของความวุ่นวายในครั้งนี้” เจินสวินพยักหน้าเอ่ย “นอกจากนี้ ข้าต้องการให้พวกท่านจดชื่อคนต่างถิ่นที่สะดุดตาทุกคนซึ่งช่วงนี้มายังเมืองใหญ่ห้าเมือง แล้วรายงานมา คนต่างถิ่นที่ลักษณะเฉพาะไม่ธรรมดาทั้งหมดล้วนต้องจดไว้”
นี่เป็นงานใหญ่ เมืองใหญ่ห้าเมืองคือห้าเมืองใหญ่แห่งแดนเหนือซึ่งรวมถึงเมืองเลียบคีรี ทุกๆ เมืองมีคนเข้าออกมหาศาล คิดจะเลือกคนที่ลักษณะพิเศษโดดเด่นทั้งหมด ทำได้ยากยิ่ง
ลู่เซิ่งยืนอยู่ด้านข้าง เข้าใจความต้องการของคุณชายเจินสวินผู้นี้บ้างแล้ว เขากำลังอาศัยพลังของคนธรรมดาในการสร้างเครือข่ายข่าวสาร เพื่อตรวจสอบศัตรูทั้งหมดที่อาจปรากฏตัว
“ในเมื่อเป็นคำขอของคุณชายเจินสวิน พวกเราจะทำให้ได้!” หัวหน้าชุมนุมล่องไพรแสดงท่าทีเป็นคนแรก ผู้นำค่ายพรรคที่เหลือค่อยรีบตอบรับตาม
คนที่นั่งบนตำแหน่งสำคัญที่อยู่ที่นี่ทั้งหมดเป็นคนที่การข่าวฉับไว เจินสวินเป็นผู้ปกครองตามความหมายแท้จริงบนแดนเหนือ เป็นที่พึ่งเบื้องหลังพรรควาฬแดง นี่เป็นเรื่องที่ทุกคนทราบ
ในทุกๆ ปีสมบัติทรัพยากรอันมากมายของพรรควาฬแดงหายไปอย่างไร้ร่องรอยเหมือนกับสายน้ำ ทั้งหมดมอบให้ตระกูลเจิน
“ในเมื่่อเข้าใจความหมายของข้า เช่นนั้นข้อมูลที่รวบรวมมา ต่างมอบให้พรรควาฬแดง ข้าจะส่งคนมาตรวจสอบเป็นระยะๆ ไม่มีปัญหากระมัง” เจินสวินกวาดตามองรอบๆ
“ย่อมทำตามคำสั่งคุณชาย!” หงหมิงจือขานรับเสียงดังเป็นคนแรก ยิ้มประจบดั่งสุนัขรับใช้
ลู่เซิ่งหมดคำพูด นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นท่าทางแบบนี้ของศิษย์พี่ สมกับเป็นประมุขพรรคใหญ่อันดับหนึ่ง ยืดได้หดได้
“ย่อมทำตามคำสั่งคุณชาย!” ขุมกำลังอื่นๆ ไม่กล้าไม่ทำตาม ได้แต่พากันขานรับ
เจินสวินแจ้งว่าควรเน้นสนใจผู้ใด จึงค่อยเอามือไพล่ไว้ด้านหลังเดินจากไป สักพักหนึ่งก็ขี่ม้าดีที่พรรควาฬแดงจัดหาให้ผละไปอย่างผ่าเผย
งานชุมนุมใหญ่ที่เรียกประชุมกระทันหันในครั้งนี้จึงจบลง
ผู้นำหลายคนบนที่นั่งอยู่ไม่ว่าใครก็ไม่ผ่อนคลายเหมือนขามา กลับพากัน สีหน้าเคร่งเครียด เตรียมสั่งบริวารให้จัดหาบุคคลไปสอดแนม
ลู่เซิ่งเตรียมจะไปแล้ว ประมุขพรรคเฒ่ากลับเรียกตัวไว้
“ศิษย์พี่ มีเรื่องสำคัญอะไรหรือถึงต้องให้ข้ารั้งอยู่”
ในห้องหนังสือของประมุขพรรค หงหมิงจือกันคนออกไป รั้งลู่เซิ่งไว้คนเดียว
“ศิษย์น้อง ช่วงนี้จะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แน่ เจ้าต้องเตรียมตัวไว้ให้ดี” หงหมิงจือเอ่ยกับลู่เซิ่งอย่างจริงจัง
“การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่หรือ” ลู่เซิ่งสีหน้าขึงขังขึ้น ประมุขพรรคเฒ่าตั้งใจรั้งเขาไว้แบบนี้ ไม่มีทางปล่อยลูกศรโดยไร้เป้าหมาย
“ใช่” หงหมิงจือพยักหน้ากล่าวเสียงทุ้ม “ข้าติดต่อกับคนของตระกูลเจินมายี่สิบกว่าปี ที่แล้วมาพวกเขาตอบโต้อย่างเข้มงวดเด็ดขาด มั่นคงใจเย็น มีแนวทางเป็นของตัวเอง ทว่าครั้งนี้กลับผิดแปลก คุณชายเจินสวินผู้นี้ไม่จัดการเรื่องราวตามพฤติการณ์ของตระกูลเจินในอดีต ข้าสังหรณ์ใจไม่ดี”
“ศิษย์พี่แน่ใจหรือไม่” ลู่เซิ่งได้ยินก็เคร่งขรึม
“แน่ใจ การเคลื่อนไหวของตระกูลเจินรีบเร่งอยู่บ้าง” หงหมิงจือเอ่ยต่อ “แน่นอนว่าอาจเป็นศิษย์พี่ระแวงเกินไป แต่เตรียมตัวไว้ก็ไม่เสียหาย ศิษย์น้องต้องระวังตัว ตระกูลเจิน…ปั่นป่วนอยู่บ้าง…”
“เข้าใจแล้ว…” ลู่เซิ่งตึงเครียดเล็กน้อย
เขาออกจากห้องหนังสือ ระหว่างทางขากลับก็ครุ่นคิดเรื่องนี้ตลอด
ด้วยนิสัยของหงหมิงจือ ไม่มีทางพูดเรื่องเหล่านี้กับเขาโดยไร้สาเหตุ ลู่เซิ่งพื้นเพใสสะอาด ทั้งเข้าสำนักอาทิตย์ชาดกลายเป็นศิษย์น้องของศิษย์พี่ พฤติการณ์ก็มีร่องรอยให้สืบสาว หงหมิงจือตั้งใจเตือนถือว่าปกติ
นี่ปฏิบัติกับเขาเหมือนคนใกล้ชิดอย่างแท้จริง
‘ตระกูลเจินปั่นป่วน…ถ้าต้องวางแผนจริงๆ ควรทำยังไง’ ลู่เซิ่งบังเกิดความกังวลส่วนหนึ่งในใจ
ตระกูลเจินชูธงสู้ภูตผีปีศาจในแดนเหนือ พวกเขาได้รับบรรณาการเป็นทรัพยากรจำนวนมากของแดนเหนือ เพื่อมอบความปลอดภัยให้
เกิดว่าร่มกำบังขนาดใหญ่นี้เกิดปัญหา ความยุ่งยากที่ตามมาก็สาหัสแล้ว
……………………………………….