ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 892 จบสิ้น (2)
“ตอนนี้…ตอนนี้พวกเราควรไปสำนักนทีครามหรือ” จันทราม่วงหัวเราะเฝื่อนสองครั้งพลางถาม
นั่นคืออนธการสองคนเชียวนะ! แม้ฝ่ายหนึ่งจะเยาว์วัย มีพลังไม่เท่าไร และอีกฝ่ายแก่ชราร่างทรุดโทรม ใกล้ขีดจำกัดเต็มที แต่อย่างไรพลังก็เหี้ยมหาญสุดเปรียบปานอยู่ดี
นึกไม่ถึงว่าจะถูกลู่เซิ่งใช้ความเป็นอมตะของมารสวรรค์ผลาญพลังจนตาย
“สำนักนทีครามหรือ ย่อมต้องไปอยู่แล้ว แต่ข้าทำลายสองสำนักติดต่อกันเช่นนี้ พวกมันจะยังกล้ารับคำท้าหรือ เกรงว่าพอได้ยินข่าวก็คงจะเผ่นหนีกันทันทีกระมัง” ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“แล้วจะรับมืออย่างไร” จันทราม่วงถามอย่างสงสัย
“ข้ามีเพียงคำขอเดียว ขอให้ทั้งสองท่านปิดข่าวทำลายสำนักทางนี้ไปก่อน อีกสองสามวันให้หลังข้าจะมุ่งหน้าไปท้าสู้ที่สำนักนทีครามอย่างเปิดเผย” ลู่เซิ่งหันเหหัวข้อ “แต่เพื่อป้องกันไม่ให้พวกมันหนีไปหลังได้ข่าว ข้าจะต้องซ่อนร่องรอย แทรกซึมเข้าสำนักนทีคราม”
“แทรกซึมหรือ” เจิ้งเจวี๋ยซวินหางตากระตุก “ไหนท่านบอกว่าเปิดเผยไม่ใช่หรือ”
“แน่นอน นี่ก็เพื่อป้องกันไม่ให้พวกมันหนีไปก่อนเท่านั้น หลังจากแทรกซึมเข้าไป ขอแค่ข้าเจอเจ้าสำนักหยวนชิงลี่ ก็จะตัดสินแพ้ชนะกับนางอย่างตรงไปตรงมา มันก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างราบเรียบ
ถึงเวลาใครจะรู้ว่าท่านสู้กับหยวนชิงลี่ตรงๆ หรือลอบเล่นงานนางกันล่ะ
พวกจันทราม่วงเสียดสีในใจ
“บางทีพวกท่านอาจนึกว่าข้าจะลอบเล่นงานหยวนชิงลี่กระมัง” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างเรียบเฉย “แต่ข้าลู่เซิ่งไม่ใช่ชนชั้นชั่วร้ายไร้ยางอายเช่นนั้น พวกท่านดูแคลนนิสัยข้าเกินไปแล้ว”
พวกจันทราม่วงไร้คำพูดโต้ตอบ
“ตอนนี้กลับกันก่อนเถอะ ที่นี่ให้ผู้บำเพ็ญเพียรจากนครตราชั่งที่ตามมาทีหลังจัดการ คิดว่าสหายลู่คงไม่สนใจสิ่งที่ได้รับมาทั้งหมดเท่าไร ข้ากะจำนวนคร่าวๆ ให้ท่านดีไหม ไม่ต้องห่วง ไม่เอาเปรียบท่านแน่นอน” จันทราม่วงหัวเราะแห้ง
“อย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน” ลู่เซิ่งพยักหน้า การโจมตีสำนักวิญญาณไตรอริยะสบายกว่าสำนักแปลงวายุอยู่มาก แม้สุดท้ายชายชราที่โผล่มาทีหลังจะมีพลังไม่เลว แต่เพียงเขาระเบิดพลัง อีกฝ่ายก็รับมือไม่ไหวแล้ว
ไม่ค่อยทนมือทนเท้านัก แตกต่างกับเจ้าสำนักแปลงวายุโดยสิ้นเชิง
สำนักไตรอริยะเหมือนจะรุ่งโรจน์ แต่เจ้าสำนักรุ่นปัจจุบันกลับมีพลังไม่มากพอ เจ้าสำนักเก่าก็สู้นานไม่ได้ เทียบกับสำนักแปลงวายุแล้ว ก็ต้องดูว่าฝ่ายไหนกลยุทธ์ดีกว่ากัน
พวกลู่เซิ่งกลับเรือเหาะ รอกลุ่มผู้บำเพ็ญเพียรจากนครตราชั่งที่ตามมาถึงแล้ว จึงค่อยออกไปจากที่นี่
เมื่อไม่มีผู้เข้มแข็งอนธการระดับสุดยอดนำกลุ่ม อีกทั้งดาวเคราะห์พวกนี้ยังอพยพศิษย์ในสำนักไปแล้วไม่น้อย พวกที่เหลืออยู่ในตอนนี้ยิ่งไม่ใช่คู่มือของนครตราชั่งโดยสิ้นเชิง
ลู่เซิ่งกลับนครหลวงพร้อมกับทั้งสองโดยไม่สนใจเรื่องอื่นอีก
ในเมื่อร่วมมือเป็นพันธมิตรกับพวกจันทราม่วงแล้ว อย่างนั้นนครตราชั่งจึงกลายเป็นที่ส่งกำลังบำรุงสามารถรั้งอยู่ได้ชั่วคราว
เขาวางแผนว่าจะสร้างจุดรวมตัวขึ้นใหม่หลังจากจัดการสำนักนทีคราม พร้อมกับเปิดรับคนจำนวนมาก ไม่อย่างนั้นหากอาศัยเพียงแค่เขาคนเดียว คิดจะตามหาครอบครัวและบุตรชายให้เจอโดยเร็วที่สุด ก็เป็นภารกิจที่เป็นไปไม่ได้
…
ณ สำนักนทีคราม ศูนย์บัญชาการชั่วคราว
เพล้ง!
หยวนชิงลี่โยนแจกันดอกไม้สีทองเข้มในมือทิ้ง พื้นแข็งแกร่งส่งเสียงกระแทกเสียดหู
แจกันดอกไม้แตกเป็นชิ้นๆ กระจัดกระจายทั่วพื้น
หญิงรับใช้กับข้ารับใช้ที่อยู่ใกล้ๆ ตัวสั่น แต่ไม่กล้าส่งเสียงใดๆ
รองเจ้าสำนักสวีฮ่าวไป่ถอนใจ มองเศษแจกันกระจายเต็มพื้น ยื่นมือสะบัดแขนเสื้อ เศษนั้นก็พากันสลายไป
“ข่าวของสำนักแปลงวายุส่งมาแล้ว” เสียงของสวีฮ่าวไป่สะท้อนในตำหนักใหญ่
“เจ้าเด็กนั่นต้องมีคนคอยหนุนหลังอยู่แน่! มีคนเห็นเจ้านครจันทราม่วงจากนครตราชั่งเคลื่อนไหวพร้อมกับมัน น่าจะเป็นนครตราชั่งลงมือทำให้สถานการณ์วุ่นวาย แล้วเล่นงานตอนที่สำนักแปลงวายุรับมือไม่ทัน ไม่อย่างนั้นแล้วด้วยพลังของจงอวิ๋น จะพ่ายแพ้อย่างรวดเร็วได้อย่างไร!” หยวนชิงลี่เสียงขรึมเข้มคาดเดาสถานการณ์ของสำนักแปลงวายุ
“ไม่ว่าจะมีคนช่วยหรือไม่ แต่สำนักแปลงวายุก็พินาศไปแล้ว นี่เป็นข้อเท็จจริง” สวีฮ่าวไป่เอ่ยอย่างราบเรียบ “ต่อจากนี้ลู่เซิ่งต้องมาหาสำนักนทีครามกับสำนักวิญญาณไตรอริยะแน่ เจ้าคิดจะรับมืออย่างไร”
“จะรับมืออย่างไร แน่นอนว่า…!” ยังไม่ทันพูดจบ หยวนชิงลี่ก็กำมือ ในตอนนี้ไม่แน่ว่าจะสะกดลู่เซิ่งได้จริง
ถ้ากองทัพทางนครตราชั่งช่วยเขาสุดกำลัง ขุมกำลังเก่าแก่เหล่านี้สืบทอดมานานนม ย่อมไม่ได้รวบรัดเรียบง่ายอย่างที่เห็นภายนอก
ขอบเขตอนธการคือจุดสูงสุดของมายาพิศวง คุณลักษณะเด่นที่โดดเด่นที่สุดก็คือผลักดันปฐมพลังที่ถูกตนขุดค้นจนเกลี้ยงแล้วให้ไปถึงขอบเขตอมตะไม่ดับสูญ ต่อให้เป็นปฐมพลังอนธการอันน้อยนิด ขอแค่ไม่ถูกทำลายมากเกินไปในเวลาสั้นๆ ก็สามารถคงการดำรงอยู่ได้ตลอดกาล
“ตอนนี้ลู่เซิ่งร้ายกาจขึ้นมาก ทั้งยังเข้าร่วมกับกองทัพนครตราชั่ง ต้องมีไพ่ตายที่คาดไม่ถึงแน่ พวกเราต้องป้องกันไว้ก่อน” หยวนชิงลี่เอ่ยเสียงเข้ม
“อย่างนั้น…” สวีฮ่าวไป่เดาคำพูดต่อจากนั้นได้รางๆ แล้ว
“พวกเราจะอพยพดาวหลัก!” หยวนชิงลี่เอ่ยอย่างแน่วแน่
“หนีโดยไม่สู้…” สวีฮ่าวไป่ยังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกหยวนชิงลี่ตัดบท
“นี่ไม่ใช่การหลบหนี แต่เป็นการเคลื่อนย้าย ตอนนี้พันธมิตรดวงดาวกับสัตว์โบราณกำลังทำศึกใหญ่ ส่งผลกระทบต่ออาณาเขตอื่นมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าหากพวกเราไปช้ากว่านี้ เกรงว่าคงจะโดนลูกหลงไปด้วย แค่ลู่เซิ่งคนเดียว ย่อมไม่ใช่เหตุผลที่พวกเราหลบเลี่ยง ก็แค่ได้เวลาพอดีเท่านั้น”
สวีฮ่าวไป่หมดคำพูด
“อีกประเดี๋ยวให้ถ่ายทอดคำสั่งอพยพทันที!” หยวนชิงลี่เอ่ยเสียงเย็น “จะให้ข่าวหลุดรอดออกไปไม่ได้”
“รับทราบ” สวีฮ่าวไป่พยักหน้าอย่างหนักใจ
สำนักนทีครามอพยพไปได้พอประมาณแล้ว เหลือเพียงซากดาวหลักดวงหนึ่งที่อยู่ในโลกมารสวรรค์เท่านั้น ขุมกำลังทั้งหมดที่เหลืออยู่ได้อพยพไปยังโลกใบเล็กๆ อีกใบหนึ่งแล้ว
หลังจากเจ้าสำนักออกคำสั่ง คนของสำนักนทีครามทั้งหมดบนดาวหลักก็พากันเปิดค่ายกลเคลื่อนย้าย สัตว์ประหลาดที่แบกสัมภาระและอุปกรณ์มิติจำนวนมาก เดินเข้าค่ายกล แล้วหายไปภายใต้แสงสีขาวกะพริบ
ลู่เซิ่งลอยอยู่กลางอวกาศ มองดูดาวหลักที่คลื่นมิติกำลังกะพริบอย่างต่อเนื่อง
เขาถือหยกแขวนบอกสถานะที่ได้มาจากจันทราม่วงไว้ในมือ บนหยกแขวนได้ระบุสถานะศิษย์แกนกลางของสำนักนทีครามซึ่งไม่รู้ว่าไปหามาจากไหน
ของแบบนี้ยังหามาได้ แสดงให้เห็นว่าจันทราม่วงก็ใช่ว่าจะไม่ได้แทรกซึมขุมกำลังอื่นเลย
กลางนภาดาวมืดมิด ดาวหลักของสำนักนทีครามคือดวงดาวขนาดเล็กสีเหลืองตุ่น ผิวดวงดาวเปล่งแสงสีขาวอ่อนระยิบระยับ การที่แสงกะพริบหมายถึงการข้ามโลกหนึ่งครั้ง
เพราะมีเส้นทางมิติมั่นคงคอยรักษาสภาพไว้ เส้นทางแบบนี้จึงปลอดภัยกว่าค่ายกลจุติของมารสวรรค์มาก
“เกิดอะไรขึ้นกัน คิดหนีหรือ” ลู่เซิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย
เขาเคลื่อนไหวร่าง กระโดดข้ามมิติหลายครั้ง พุ่งไปถึงดาวหลักในพริบตา ผิวของหยกแขวนที่เขาพกพามีอักขระหนาแน่นหลายแถวเปล่งแสงขึ้นโดยไม่มีการอำพราง กลุ่มลาดตระเวนและเรือเหาะที่เดิมทีกำลังจะมาปิดล้อม ก็กระจายตัวออกไปเอง
ลำแสงหลายสายปรากฏแวบหนึ่งรอบตัว ไม่ได้สังเกตเลยว่าเขาไม่ใช่คนของสำนักนทีคราม
ลู่เซิ่งแน่ใจว่าสถานะเดิมของตัวเองจะต้องถูกสำนักลบออกจากระบบแล้วอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้คนนอกอย่างเขากลับถือหยกแขวนแค่อันเดียวก็สามารถเข้าดาวหลักได้อย่างสง่าผ่าเผยโดยไม่ถูกเจอตัว
หลังสะท้อนใจเล็กน้อย ลู่เซิ่งก็บินไปด้านล่าง ตัดทะลุชั้นบรรยากาศ ด้านล่างคือเทือกเขาสีเขียวสูงต่ำเป็นคลื่น เมฆขาวลอยผ่าน กระเรียนเซียนจับกลุ่มฝูง
สัตว์ประหลาดที่ทั่วทั้งตัวเปล่งแสงมงคลส่วนหนึ่งเดินอยู่ระหว่างที่ราบอย่างสุขอุรา
มีเพียงแสงสีขาวหลายลำที่พุ่งขึ้นท้องฟ้าเท่านั้น ที่ทำลายความเงียบสงบของที่นี่
ลู่เซิ่งทอดตามองออกไปไกล อารามหลักของสำนักนทีครามลอยอยู่กลางท้องฟ้า มีผู้บำเพ็ญกลุ่มใหญ่เข้า ออกเป็นระยะ
“อย่างไรก่อนหน้านี้สำนักนทีครามก็เคยให้การดูแลบางส่วนต่อเรา ครั้งนี้ไม่ทำลายดาวก็แล้วกัน มอบตัวคนร้ายมา แล้วยุบสำนักทิ้ง ก็ถือว่าหายกัน” ลู่เซิ่งรู้สึกว่าตนยังเป็นคนมีเมตตา ดูสำนักแปลงวายุกับสำนักวิญญาณไตรอริยะ แล้วดูสำนักนทีครามสิ การปฏิบัตินี้เป็นคนละมาตราฐานกันโดยสิ้นเชิง
เมื่อเข้ามาในดาวหลักแล้ว เขาก็ไม่ซ่อนตัวอีกต่อไป ทิ้งตัวลงบนพื้นเบาๆ โปรยหนวดออกไปกำหนึ่ง จากนั้นก็ยืนนิ่ง
ครืน…
ผืนดินพลันสั่นสะเทือน
ร่องแยกเล็กๆ สายหนึ่งแยกออกใต้ตัวเขา ก่อนจะลามออกไปรอบๆ เหมือนกับใยแมงมุม แผ่ขยายไปทั่วสารทิศ
สัตว์ประหลาดนับไม่ถ้วนแตกตื่นสับสน มังกรขาวหลายตัวร้องโหยหวนอย่างหวาดกลัวพร้อมกับบินออกไป
สัตว์ประหลาดบนบกบางตัวที่หลบไม่พ้น ถูกร่องแยกเปิดออกกลืนกินลงไป
“ลู่เซิ่งอยู่ที่นี่ หยวนชิงลี่ กล้ามาสู้กันสักรอบหรือไม่” ลู่เซิ่งส่งกระแสเสียง ทำให้เสียงของตนกระจายตามชั้นบรรยากาศไปทั่วดาวเคราะห์
คลื่นเสียงอันยิ่งใหญ่ราวอัสนีบาต สั่นไหวทั่วทุกมุมของดวงดาว
ไม่นานนักก็มีผู้บำเพ็ญสวมอาภรณ์เขียวกลุ่มหนึ่งเหาะเหินมาจากตำหนักอารามเหนือท้องฟ้า นำมาด้วยหยวนชิงลี่กับสวีฮ่าวไป่
พอหยวนชิงลี่เห็นลู่เซิ่งไกลลิบ ก็กระจายจิตวิญญาณไปรอบๆ ทันที เพื่อสัมผัสว่าพวกจันทราม่วงจากนครตราชั่งอยู่ด้วยหรือไม่
ไม่นานนัก ไม่ว่าจะเป็นการป้อนกลับจากจิตวิญญาณ หรือการป้อนกลับจากค่ายกลที่ลูกศิษย์ในสำนักรายงาน ต่างก็บอกว่า บริเวณรอบนี้มีแค่ลู่เซิ่งคนเดียว ไม่มีคนอื่นอีก
หลังทราบเรื่องนี้ หยวนชิงลี่พลันเยือกเย็นลง
เมื่อไม่มีผู้ปกครองมายาพิศวงอย่างพวกจันทราม่วงคอยช่วยเหลือ แค่ลู่เซิ่งคนเดียว นางไม่แยแสเท่าไรนัก แม้ว่ามารสวรรค์มายาพิศวงจะฆ่าได้ยากถึงขีดสุด แต่นางในฐานะอนธการมากประสบการณ์ ก็ใช่ว่าไม่มีวิธีรับมือ ครั้งนี้ลู่เซิ่งมั่นใจในพลังตัวเอง ปรากฏตัวเพียงลำพัง ถือเป็นโอกาสอันดีจริงๆ
นางคิดจะออกปากเชื้อเชิญอีกครั้ง ถ้าลู่เซิ่งยังถือทิฐิอีก เช่นนั้นก็อย่าโทษนางไม่มีน้ำใจ ลงมือผนึกด้วยความอำมหิตก็แล้วกัน
นางไม่ได้รับมือกับผู้ปกครองมายาพิศวงเป็นครั้งแรกเสียหน่อย
“ลู่เซิ่ง ตอนนี้ยังทันที่เจ้าจะกลับตัว สำนักนทีครามของข้าพร้อมเปิดประตูต้อนรับเจ้า แต่ถ้าเจ้ายืนยันจะเอาเรื่องดาวเงาพริบตาให้ได้ เช่นนั้นก็อย่าโทษข้าลงมือโดยไม่นึกถึงน้ำใจเล่า” หยวนชิงลี่เอ่ยเสียงเย็น
นางได้กางค่ายกลระดับสุดยอดขั้นอนธการไว้บนดาวดวงหลักดวงนี้สองค่ายกล พวกมันบรรจุเลือดของนางไว้นับไม่ถ้วน เอาไว้ปล่อยออกมาปกป้องอาณาเขตรอบๆ โดยเฉพาะ เพื่อรับประกันความปลอดภัยในการอพยพของสำนักเป็นครั้งสุดท้าย
ตอนนี้เอามาใช้รับมือการบุกจู่โจมของลู่เซิ่งได้พอดิบพอดี
หยวนชิงลี่กวาดตามองรอบๆ อีกครั้ง ครั้นแน่ใจว่าพวกจันทราม่วงไม่มาแล้ว สุดท้ายก็ใจเย็นลง
“เจ้ามั่นใจว่าตัวเองมีกายอมตะคอยสนับสนุน บังอาจเดินอาดเข้ามาในดาวหลักของข้าด้วยตัวคนเดียว ช่างไม่รู้จักที่ตายนัก ถ้าไม่ยอมกลับไป เช่นนั้นครั้งนี้ข้าก็จะคว้าโอกาสมอบความเจ็บปวดให้สักครั้ง!”
หยวนชิงลี่หยิบผลึกสีฟ้ากึ่งโปร่งแสงไร้รูปทรงออกมาจากแขนเสื้อ
บนผลึกมีรอยกระบี่เล็กๆ พาดเกี่ยวกันจำนวนมาก
ผลึกก้อนนี้เป็นไพ่ตายสุดยิ่งใหญ่ที่นางพึ่งพามาโดยตลอด เป็นความสามารถผนึกอันร้ายกาจที่สุดที่นางฝึกฝนมาหลายปี และเคยใช้กับมารสวรรค์มายาพิศวงมาแล้ว
พึงทราบว่าผู้ปกครองมารสวรรค์มีกายอมตะ ถึงขั้นคืนชีพได้หลายครั้งในพริบตา
และจิตกระบี่ที่บรรจุอยู่ในก้อนผลึกก้อนนี้ของนางก็มากพอจะฆ่ามารสวรรค์ผู้ปกครองได้มากกว่าห้าครั้งต่อวินาที!
อีกทั้งนางยังลงมือเองอีก เช่นนั้นก็จะสามารถฆ่าลู่เซิ่งได้อย่างน้อยหกครั้งในเสี้ยววินาที!
อาวุธสังหารระดับนี้ช่างเป็นดาวข่มของมารสวรรค์มายาพิศวงเสียจริง
หยวนชิงลี่แค่นหัวเราะในใจ นึกเยาะเย้ยที่ลู่เซิ่งไม่รู้อะไรเลย คิดว่าตัวเองเป็นมารสวรรค์มายาพิศวง แล้วจะวางอำนาจบาตรใหญ่ได้หรือ
รออีกประเดี๋ยว หากนางไม่ใช้ผลึกก็แล้วไป แต่ถ้าใช้เมื่อไรย่อมต้องสะกดทุกสิ่งได้ในทันที ถึงเวลานั้นหากคิดมาวิงวอนขอชีวิต ก็สายเกินกาลแล้ว…
นางจินตนาการภาพที่อีกสักพักลู่เซิ่งจะมาคุกเข่าขอร้องต่อหน้านางออกแล้ว
……………………………………….