ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 894 อพยพ (2)
คนของสำนักนทีครามที่เหลือยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก็เห็นเจ้าสำนักหยวนชิงลี่คว้าตัวคนหนีไปแล้ว
คนบางส่วนที่ตอบสนองเร็วหน่อยพุ่งตามขึ้นท้องฟ้าไปติดๆ บินออกไปนอกดาวเคราะห์
แต่คนส่วนใหญ่ที่มีพลังฝึกปรือไม่พอจะบินไปยังอวกาศ ได้แต่หนีออกไปอย่างเปล่าประโยชน์เท่านั้น
เวลานี้ตำแหน่งเดิมของลู่เซิ่งมีก้อนกลมสีเทาเจือจางกลุ่มหนึ่งกำลังขยายใหญ่ ด้านในก้อนกลมคล้ายกับมีบางอย่างดันออกด้านนอกอย่างบ้าคลั่ง พริบตาเดียวจากขนาดเท่าลูกหนังก็ขยายใหญ่เท่าอ่างอาบน้ำ
ซู่
ทันใดนั้นกลางก้อนกลมก็แยกออกเป็นช่อง
ตูม!
เศษกระบี่นับไม่ถ้วนพุ่งออกมาอย่างสะเทือนเลื่อนลั่น เศษโลหะแหลมคมกระจายไปด้านหน้าในลักษณะรูปพัด ด้วยความเร็วยิ่งกว่ากระสุน
แสงสีแดงสายหนึ่งพุ่งออกมาจากด้านในอย่างฉับพลัน ไล่ตามไปยังทิศทางการหลบหนีของหยวนชิงลี่
ลู่เซิ่งย่อมคาดเดาไว้ได้ตั้งแต่แรกแล้วว่าหยวนชิงลี่จะหนี ผู้เข้มแข็งที่อยู่ในช่วงนี้ส่วนใหญ่ต่างมีสัมผัสน่าอัศจรรย์ในความขมุกขมัวทั้งสิ้น โดยเฉพาะผู้เข้มแข็งบางส่วนที่ฝึกฝนวิชาพิเศษ ก็ยิ่งมีสัมผัสแบบนี้ชัดเจน
พวกที่มีความมั่นใจในตัวเองอย่างเจ้าสำนักแปลงวายุมีอยู่น้อยนิด นึกว่าใกล้ๆ มีคนรู้จักคอยสะกดทัพ แล้วจะทำอะไรก็ได้ น่าเสียดายที่บทสรุปไม่ใช่อย่างที่เขาคิดไว้
การที่หยวนชิงลี่ตัดสินใจอพยพจากดาวหลักอย่างเด็ดขาด รวมทั้งหลบหนีในตอนที่สู้ไม่ได้ โดยไม่เหลือบุคลิกของเจ้าสำนักอย่างสิ้นเชิง ก็มาจากจุดนี้เช่นเดียวกัน
นางสังหรณ์ได้ว่าตัวเองอาจจะพลาดท่า ดังนั้นจึงใช้แผนการที่แย่ที่สุดทันที
ทั้งสองสู้กันไม่เกินสามสี่กระบวนท่า นางก็ทิ้งไพ่ตายสุดแข็งแกร่งของตนออกมา ดูว่าจะทำอะไรลู่เซิ่งได้หรือไม่ ก่อนจะหลบหนี
ไกลออกไป หยวนชิงลี่กลายเป็นแสงสีเขียวห่อหุ้มพวกซวีจั๋วกับหนิงซวงไว้ ความเร็วจึงช้าลงไม่น้อยอย่างเห็นได้ชัด
ลู่เซิ่งจึงไล่ตามมาทัน ระยะห่างระหว่างทั้งสองเริ่มลดลง
“ลู่เซิ่ง ปรานีตรงไหนได้ก็ควรปรานีเสีย เห็นแก่หน้าข้า ปล่อยเจ้าสำนักไปเถอะ…เวลานี้สำนักนทีครามจะทำให้เจ้าพอใจอย่างที่สุดเอง” เงาร่างของรองเจ้าสำนักสวีฮ่าวไป่ปรากฏบนเขาสูงลูกหนึ่งทางขวามือของคนทั้งสอง
“เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะซวีจั๋ว เจ้าสำนักไม่เคยคิดลงมือกับดาวเงาพริบตา เพียงแต่ซวีจั๋วกระทำโดยพลการ รอจนทุกอย่างจบลง พวกเราก็ได้แต่รับบทสรุปด้วยความจนปัญญา” สวีฮ๋าวไป่ส่งกระแสเสียงทุ้มต่ำ
“ไม่ว่ากระบวนการจะเป็นอย่างไร บทสรุปก็คือ ดาวเงาพริบตาของข้าถูกทำลาย บริวารของข้าถูกไล่ล่าจนเกือบไม่รอด” ลู่เซิ่งกระโดดครั้งหนึ่ง ก็ขวางทางพวกหยวนชิงลี่ไว้ดุจสายฟ้าฟาด
ในที่สุดทั้งสองก็หยุดลง
“ชนะเป็นจ้าวแพ้เป็นโจร เจ้าร้ายกาจจริงๆ!” หยวนชิงลี่เอ่ยเสียงแผ่วต่ำ ก่อนจะหมุนตัวไปกล่าวกับซวีจั๋วที่อยู่ด้านข้างแผ่วเบา
“ข้าปกป้องเจ้าไม่ได้แล้ว ดูแลตัวเองเถิด”
ซวีจั๋วสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างยิ่ง เขาเป็นมายาพิศวงย่อมไม่ใช่พวกซื่อบื้อที่เอาแต่ก้มหัวฝึกฝน พอได้ยินคำพูดนี้ ก็พลันเข้าใจทันทีว่าหยวนชิงลี่ละทิ้งเขาแล้ว
เขาระเบิดร่างกลายเป็นแสงสีแดงพุ่งออกไป กระตุ้นวิชาลับมากมายบนร่างสุดชีวิต แต่ละวิชาผลาญพลังเหลือประมาณ ถึงขั้นทำให้วิชาลับอันเป็นแต้มต่ออ่อนแอลง เพื่อเพิ่มความเร็วของเขาในเวลานี้อย่างใหญ่หลวง
พลังระเบิดของเขาในชั่วเสี้ยววินาทีนั้น ถึงขั้นก้าวข้ามหยวนชิงลี่ไปได้เล็กน้อย
พรุ่บ!
ลู่เซิ่งกลับเตรียมการไว้แต่แรก ความเร็วนี้เหมือนเร็วสุดขีด แต่เป็นเพราะควบคุมไม่ดี จึงได้แต่พุ่งตรงๆ ไม่อาจเปลี่ยนทิศได้
เขาเพียงแค่ไปยืนขวางบนเส้นทางที่ซวีจั๋วต้องผ่าน ยื่นมือออกไป จากนั้นก็มองอีกฝ่ายพุ่งเข้ามา พลันร่างท่อนบนเหมือนถูกบางอย่างฟันเข้าอย่างจัง ร่างท่อนล่างก็กระเด็นออกไปไกลโพ้น ก่อนที่เจ้าของร่างจะพบว่าร่างกายตนแยกส่วนเสียอีก
“อ๊าก!” เขากรีดร้องเผยใบหน้าเจ็บปวด
“ข้าไม่อยากตาย!” ถัดจากเสียงร้องโหยหยวน ลู่เซิ่งก็อ้าปาก จิตวิญญาณในร่างกายของซวีจั๋วถูกพลังมหาศาลฉุดกระชากออกมา กลายเป็นแสงสีแดงสายหนึ่งพุ่งหายเข้าไปในปากลู่เซิ่ง
“ตอนนี้เจ้าพอใจแล้วหรือยัง!?” หยวนชิงลี่ตัวสั่นเทา แท้จริงแล้วซวีจั๋วไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของนาง แต่เป็นนายบำเรอที่นางรักใคร่ที่สุดต่างหาก!
ทว่าตอนนี้ บุรุษอันเป็นที่รักถูกกินจิตวิญญาณต่อหน้าต่อตานาง!
ช่างน่าอัปยศอดสูยิ่งนัก!
นี่เป็นความอับอายครั้งใหญ่ที่สุดของสำนักนทีครามตั้งแต่ประวัติศาสตร์เคยมีมา
“พอใจหรือ ยังไม่พอ” ลู่เซิ่งส่ายหน้า
“อะไรกัน หรือเจ้ายังคิดจะฆ่าข้าอีก” หยวนชิงลี่แค่นเสียงเย็นชา “เจ้าคิดว่าหยกแขวนปราณกระบี่เมื่อครู่เอามาจากไหน สามสำนักเราเป็นพี่เป็นน้อง เจ้าสำนักวิญญาณไตรอริยะรุ่นก่อนมีความสามารถยิ่งใหญ่และพลังเหนือกว่าคนรุ่นเดียวกัน สังหารมารสวรรค์มายาพิศวงมานับไม่ถ้วน มารสวรรค์ผู้ปกครองเองก็มีไม่น้อย หยกแขวนชิ้นนั้น ข้าได้มาจากมือของผู้อาวุโสเอง! ขอบอกเจ้าตามตรง บนจิตวิญญาณของข้ามีพรจิตกระบี่ที่ผู้อาวุโสผู้นั้นมอบให้ เจ้าไม่ลงมือก็แล้วไป แต่ถ้าสังหารข้าจริง ถึงเวลานั้นภัยพิบัติใหญ่จะมาเยือน แล้วอย่ามาหาว่าวันนี้ข้าไม่เตือนเจ้าเล่า!”
ตอนแรกลู่เซิ่งรู้สึกปกติ คนใกล้ตายก็มักจะพูดวาจาข่มขู่เพื่อเอาตัวรอดกันทั้งนั้น
เพียงแต่นึกไม่ถึงว่ายิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกแปลกๆ
“ประเดี๋ยว เจ้าสำนักคนเก่าที่เจ้าว่าเป็นชายชราสวมเสื้อคลุมสีขาว ชอบหรี่ตา ใช้กระบี่ชื่อท้อขาว ไพรดำอะไรสักอย่าง เวลาใช้กระบวนท่าทำให้คนหลบไม่ทันใช่หรือไม่” ลู่เซิ่งยกมือรีบหยุดหยวนชิงลี่
“อะไรกัน เจ้ารู้จักผู้อาวุโสหรือ” หยวนชิงลี่พลันงุนงง
ลู่เซิ่งผุดสีหน้าพิกล โบกนิ้วทีหนึ่ง ฉับพลันนั้นชายชราร่างงองุ้ม สวมเศษผ้าขี้ริ้ว ฟันหน้าหายไปหลายซี่ ก็ปรากฏขึ้นด้านข้าง
“ฆ่า…ฆ่าข้าเถอะ…” ชายชราสีหน้าท้อแท้ หนังหุ้มกระดูก ไม่เหลือรูปลักษณ์อย่างมนุษย์อีกแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าเขาเจออะไรในโลกรูปจิตมา
หลังจากถูกสะกดพลัง เขาก็ถูกโยนเข้าไปหลายวันแล้ว ซึ่งหลายวันของด้านนอกเท่ากับหลายปีด้านในโลกรูปจิต
“ผะ…ผู้อาวุโส!?” หยวนชิงลี่แทบจะจำสถานะแท้จริงของชายชราได้ในแวบแรกที่เห็น สาเหตุเป็นเพราะพวกเขาต่างเป็นอาวุธจำแลงกาย ไม่ใช่มนุษย์
นี่เป็นสาเหตุหลักที่ครั้งก่อนผู้อาวุโสยินดีช่วยนาง
“สองสามวันก่อนหน้านี้สำนักวิญญาณไตรอริยะถูกข้าทำลายไปแล้ว ตอนนี้ถึงคราวของเจ้าสักที” ลู่เซิ่งชักมือดึงจิตวิญญาณชายชรากลับไป พร้อมมองหยวนชิงลี่ด้วยรอยยิ้ม
หยวนชิงลี่ตัวสั่นเทา เห็นได้ชัดว่าการปรากฏตัวของชายชราเมื่อครู่นี้ได้สร้างความกระทบกระเทือนอันยากจะจินตนาการให้แก่นาง
นางนึกจินตนาการไม่ออกเลยว่า ตอนนี้ผู้เข้มแข็งบันลือโลกที่เคยไร้เทียมทานผู้นั้นจะตกต่ำจนถึงขั้นนี้
ผ่านไปสักพักใหญ่นางก็เงยหน้าขึ้น
“ฆ่าข้า แล้วละเว้นสำนักนทีคราม ได้หรือไม่”
“ผู้เข้าร่วมทุกคนต้องตาย” ลู่เซิ่งเสริมอีกประโยค
“ได้” สวีฮ่าวไป่ที่อยู่ใกล้กันเอ่ยรับแทน
ขณะมองเหตุการณ์นี้ สวีฮ่าวไป่ก็รู้แล้วว่าทั้งสามสำนักได้กลายเป็นประวัติศาสตร์ไปแล้ว นอกจากนี้ยังมีโลกใบเล็กที่ยอดฝีมือกำลังบุกเบิกขึ้นใหม่อีก ทว่าเมื่อเจ้าสำนักที่แข็งแกร่งที่สุดพ่ายแพ้ ทุกอย่างก็พังทลายตาม
เรื่องดาวเงาพริบตา ตอนนั้นเขาเองก็ทำท่าเห็นด้วย แม้ไม่ได้เข้าร่วม ทว่าตอนนี้ก็คงต้องจ่ายราคาแสนเจ็บปวดเช่นกัน
“ลงนามในสัญญาวิญญาณเถอะ” ลู่เซิ่งตอบอย่างมีความสุข เป็นการดีที่สุดที่สำนักนทีครามยอมแพ้ เมื่อกำจัดคนร้ายได้ คนส่วนใหญ่ความจริงเป็นผู้บริสุทธิ์ ขอแค่เขารับช่วงต่อได้อย่างไม่ลำบากก็จะกลายเป็นขุมกำลังรอบนอกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของตัวเอง
ขุมกำลังท้องถิ่นเหล่านี้ช่วยเขาประหยัดเวลาได้มากอย่างที่สุด โดยเฉพาะทางด้านข้อมูลข่าวสารที่สะดวกรวดเร็วกว่าเดิม
…
สามสำนักพ่ายแพ้ สองสำนักพินาศ สำนักนทีครามที่เหลืออยู่ เจ้าสำนักหยวนชิงลี่ฆ่าตัวตาย ผู้เข้มแข็งมายาพิศวงสามคนในสำนักถูกสังหารอย่างต่อเนื่อง
เจ้าสำนักคนใหม่ลู่เซิ่งเพิ่งจะก้าวขึ้นเวที ก็ประกาศเปลี่ยนชื่อสำนักเป็นสำนักมารกำเนิด แยกตัวจากสำนักนทีคราม
ขณะเดียวกันก็ออกคำสั่งให้คนในสำนักที่เข้าไปยังโลกใบใหม่อพยพต่อไป เพื่อดำเนินตามแผนการเดิมที่หยวนชิงลี่ได้วางเอาไว้
การเปลี่ยนอำนาจภายในสามสำนักไม่ได้ก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวอะไรนัก ความสนใจของทุกคนต่างรวมกันอยู่ที่ศึกใหม่ของพันธมิตรดวงดาวกับสัตว์โบราณ
ครึ่งเดือนต่อมา จู่ๆ รองหัวหน้าพันธมิตรดวงดาวเอมม่า ฮาเกินและแม่ทัพใหญ่ดาวมฤตยูเก้าสิบสองคนในพันธมิตร ได้ปะทะกับราชาจิ่วอวิ้นผานผู้เป็นสัตว์โบราณแถวระบบดาวลมสงบ สองฝ่ายเริ่มประหัตประหารกัน จนบาดเจ็บล้มตายสาหัส
คลื่นพลังหลงเหลือจากการต่อสู้อันยิ่งใหญ่ ทำให้ระบบดาวฤกษ์ทั้งสิบสามระบบพินาศในวันนั้น กลายเป็นกระแสอุกกาบาตจำนวนหลายร้อยล้านสาย กระจัดกระจายไปทั่ว
ระหว่างที่การศึกยื้อยัน พันธมิตรดวงดาวกับสมาพันธ์สัตว์โบราณก็ตอบสนอง สองฝ่ายส่งกำลังรบเข้าไปมากกว่าเดิม
สมรภูมิขยายใหญ่ขึ้นอีกขั้น ไม่นานนัก ธารจักรวาลเกือบครึ่งก็พลอยโดนลูกหลงไปด้วย พายุพลังงานและพายุรังสีนับไม่ถ้วนถูกสังเคราะห์ขึ้น ดาวเคราะห์จำนวนมากถูกหัวหน้าสมาพันธ์สัตว์โบราณหลอมเป็นของขลังใช้แล้วทิ้ง เพื่อทำลายสนามพลังชั้นบรรยากาศคุ้มกันอันเหี้ยมหาญที่พันธมิตรดวงดาวครอบครองโดยกำเนิด
ในสถานการณ์ใหญ่แบบนี้ แม้เรื่องที่ลู่เซิ่งชิงสำนักนทีครามและทำลายอีกสองสำนักจะน่าตื่นตระหนก แต่ก็ไม่มีคนให้ความสนใจมากเกินไปนัก
คนส่วนใหญ่หวั่นสะพรึงเพราะกลัวลูกหลงจากสงคราม กำลังค้นหารายชื่อโลกใบอื่นที่จะอพยพไปได้อยู่
แทนที่จะสนใจว่าเจ้าสำนักนทีครามคือใคร พวกเขาให้ความสนใจมากกว่า ว่าโลกใบเล็กที่สำนักนทีครามครอบครองจะมีที่อยู่สำหรับคนนอกหรือไม่
ลู่เซิ่งใช้เวลาหลายวันจัดขุมกำลังสำนัก สังหารกองกำลังเก่าของหยวนชิงลี่ทิ้ง สะกดทุกคนเอาไว้ ทั้งยังถอนรากถอนโคนฝ่ายต่อต้านในอดีต แล้วเข้ารับอำนาจต่อ
จากนั้นเขาค่อยมีเวลามุ่งหน้าไปยังสมรภูมิใหญ่ด้วยตัวเอง เพื่อสัมผัสการศึกระหว่างสัตว์โบราณและพันธมิตรดวงดาว
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เขาคาดไม่ถึงก็คือ เพียงแค่เขาใกล้ขอบสมรภูมิ ก็เกือบถูกกระแสพลังงานที่กระจัดกระจายกระแทกจนบาดเจ็บ
พันธมิตรดวงดาวกับเผ่าพันธุ์สัตว์โบราณต่างเป็นองค์กรน่ากลัวที่มีขุมกำลังยิ่งใหญ่ไพศาล สมรภูมิของสองฝ่ายกินพื้นที่ธารจักรวาลไปครึ่งหนึ่ง ในนี้ยังลามไปถึงระบบดาวฤกษ์นับไม่ถ้วน สามารถเห็นได้แทบทุกวินาทีว่า มีวิญญาณดาวถูกสัตว์โบราณทำลาย หรือไม่ก็สัตว์โบราณถูกวิญญาณดาวฤกษ์กลืนกินเผาไหม้จนตาย
เทียบกันแล้ว อาณาเขตของสามสำนักกับนครตราชั่งที่อยู่ใกล้ระบบดาวปรภพ เป็นเพียงอาณาเขตเล็กกระจ้อยร่อยในสมรภูมิเท่านั้น
ลู่เซิ่งกระโดดข้ามระยะทางหลายร้อยปีแสง แต่ยังไม่อาจออกจากอาณาเขตของสมรภูมิรบได้
เขาเคยใช้อากาศยานดาวระยะไกลของนครตราชั่งข้ามมิติเป็นระยะทางไกลจากประตูดวงดาว กระโดดข้ามระยะห่างมากกว่าหมื่นปีแสงในครั้งเดียว แต่ยังคงไม่เห็นความหวังที่จะหลุดออกจากเขตสมรภูมิได้เลย
ไม่ว่าจะเป็นเขตดาวที่ห่างออกไปมากกว่าหมื่นปีแสง หรือเขตดาวท้องถิ่นก็มีแต่สนามรบของสององค์กรใหญ่เท่านั้น ไฟสงครามแผ่สะพัดไปทั่ว ทำให้ลู่เซิ่งแทบอ้าปากตาค้าง ราวกับจักรวาลโลกมารสวรรค์ทั้งหมดกำลังเกิดศึกใหญ่
ขณะเดียวกันเหตุการณ์นี้ก็ทำให้เขายิ่งตัดสินใจเร่งอพยพมากกว่าเดิม
ทว่าก่อนจะไป เขายังมีเรื่องอีกเรื่องที่ต้องจัดการ
ครั้งกระโน้นมารดาแห่งความเจ็บปวดโจมตีเรือเหาะที่มีครอบครัวของเขา จนพวกเขาตกลงไปในกระแสวังวนมิติเวลาไร้สิ้นสุด
นี่ทำให้เฉินอวิ๋นซีผู้เป็นภรรยาเสียชีวิต ส่วนลู่หนิงผู้เป็นบุตรชายยังหายสาบสูญจนกระทั่งบัดนี้ บัญชีนี้จะไม่ชำระได้อย่างไร
ลู่เซิ่งฉวยโอกาสจังหวะชุลมุน แอบ...ไม่สิ กลับไปยังระบบดาวปรภพอย่างเปิดเผย อาจจะใช้โอกาสนี้ชำระแค้นมารดาแห่งความเจ็บปวดได้
……………………………………….