ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 897 สะกดรอย (1)
ลู่เซิ่งกับจันทราม่วงปะทะกันไม่ถึงครึ่งวินาที แต่ว่าคลื่นสั่นสะเทือนที่ระเบิดออกมา กระจายจากข้างใต้และด้านหลังคนทั้งสอง การสั่นสะเทือนอันน่ากลัวมากพอที่จะทำลายดาวเคราะห์สองสาย ถูกผนังรอบๆ ดูดซับเข้าไปเปลี่ยนแปลงและกลืนกินทีละชั้น จนไม่เหลือแม้แต่เศษเสี้ยวเดียว
“พลังแข็งแกร่งจริงๆ…!” จันทราม่วงยันหอกยาวลงกับพื้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
นางวิเคราะห์ในเบื้องต้นได้ว่า ถ้าลู่เซิ่งออกดาบเช่นเมื่อครู่ถึงสิบดาบ อย่างนั้นวิชาหอกคุ้มกันที่นางใช้เมื่อครู่ก็จะถูกฉีกได้อย่างสมบูรณ์
สำหรับอนธการมายาพิศวงคนหนึ่ง การออกสิบดาบในครึ่งวินาทีเท่ากับคนธรรมดาต่อยหมัดหนึ่งหมัดในสิบวินาที
“ยังดีที่ข้าเป็นผู้ปกครองสายอิทธิฤทธิ์…การสู้ระยะประชิดไม่ใช่จุดเด่นของข้า สู้ไม่ไหวก็ไม่ถือว่าเป็นอะไร แต่ถ้าเป็นอิทธิฤทธิ์ ข้าสามารถผลาญพลังมันจนตายจากระยะไกลได้” จันทราม่วงใคร่ครวญในใจ
ลู่เซิ่งไม่ได้คิดมากขนาดนั้น ดาบเมื่อครู่เขาไม่ได้ออมมือจริงๆ เป็นพลังสูงสุดในสภาพนี้ เพียงแต่เขาไม่ได้เปลี่ยนเป็นร่างหลักแล้วลงมือเท่านั้น
ร่างสมบูรณ์ที่แท้จริงของเขา เป็นยักษ์สูงมากกว่าหมื่นหมี่ที่เกิดจากการรวมตัวของเทพปีศาจแห่งสายลมกับกระเรียนยักษ์พันเทวะ มีพลังประมาณสิบสองเท่าของตอนนี้
ส่วนร่างสูงสุด คือการเปิดโลกรูปจิต แล้วรวมพลังด้านในไว้ด้วยกัน เป็นสภาพที่แข็งแกร่งที่สุด และอันตรายที่สุด มีพลังเก้าสิบเท่าของร่างสมบูรณ์
เขาเคยเปิดใช้สภาพนั้นเพื่อต่อสู้กับฝูงเทพนอกรีต สภาพแข็งแกร่งที่สุดที่ขอเพียงตายในครั้งเดียว ก็จะดับสูญโดยสิ้นเชิงนั้น
ถ้าไม่ถูกบีบคั้นถึงขีดจำกัด เขาย่อมไม่มีทางใช้สภาพนั้นเด็ดขาด
ทั้งสองสบตาต่างยิ้มอย่างเฉิดฉัน
“เจ้านครตราชั่งสมคำร่ำลือจริงๆ” ลู่เซิ่งสลัดเงาลวงด้านหลังกับดาบดำในมือทิ้ง
จันทราม่วงสะบัดมือเบาๆ โยนหอกยาวในมือออกไป ควบคุมให้มันบินเข้าในราวเก็บหอกที่อยู่ไม่ไกล
“พรสวรรค์ของสหายลู่ทำให้ข้าตกตะลึงจริงๆ อ้อ คนที่ท่านพามาในครั้งนี้หลังจากไประบบดาวปรภพคือใครหรือ… แน่นอนว่าถ้าไม่สะดวกบอกก็ไม่เป็นไร”
ลู่เซิ่งส่ายหน้า
“เป็นคนรู้จักเก่า ข้าพบนางได้รับบาดเจ็บอยู่ในระบบดาว”
“อย่างนี้หรอกหรือ หากยึดตามคำพูดของปรมาจารย์ศาสตร์แพทย์หลายคน อาการบาดเจ็บของนางยุ่งยากอย่างยิ่ง หากมีวัตถุดิบยาพิเศษที่จำเป็น สหายลู่สามารถบอกได้เลย ข้าจะมอบคลังทั้งหมดในจวนเจ้านครให้ท่านใช้” จันทราม่วงกล่าวอย่างใจกว้าง
ถึงอย่างไรของล้ำค่าที่แท้จริงของนางก็อยู่ในคลังลับ คลังจวนเจ้านครเป็นสถานที่เก็บของเล็กๆ ที่ไม่ล้ำค่าส่วนหนึ่งเท่านั้น
แต่การพูดแบบนี้แสดงให้เห็นถึงความใจกว้างเปิดเผย หากคนอื่นได้ยิน แม้แต่คลังของตัวเองก็ให้ท่านเลือกตามใจ นี่ถือว่าอุทิศกายอุทิศใจต่อท่าน มักจะซาบซึ้งกันอยู่แล้ว
ต่อให้เป็นชนชั้นที่มีความคิดลึกซึ้งอย่างไร ก็แปรเปลี่ยนความประทับใจเพราะเหตุนี้
ลู่เซิ่งพยักหน้าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณความใจดีของเจ้านครแล้ว”
“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง” จันทราม่วงใคร่ครวญเล็กน้อย “บอกท่านตามตรง แม้ว่าในที่แจ้งของนครตราชั่งจะเป็นข้าที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ความจริงมีผู้มีความสามารถเร้นกายอยู่ในนครไม่น้อย ข้าเป็นเพียงผู้ปกครองสายหนึ่งที่ถูกคัดเลือกเท่านั้น เป็นสาขาที่เป็นตัวแทนขุมกำลังที่แข็งแกร่งที่สุด ดังนั้นจึงไม่ได้ยิ่งใหญ่แต่เพียงผู้เดียว คำพูดไม่ได้มีประกาศิตเหมือนสามสำนัก”
“ท่านอยากจะบอกอะไรหรือ ขุมกำลังอื่นมีปัญหาใช่หรือไม่” ลู่เซิ่งถาม
จันทราม่วงพยักหน้า “เป็นตระกูลจ้าว คนของตระกูลจ้าวต้องการพบท่าน ถ้าหากทำได้ ท่านลองหยั่งเชิงดูสักหน่อย แม้ในที่แจ้งนครตราชั่งจะมีผู้ปกครองแค่สองคน แต่ท่านคิดว่าผู้ปกครองแค่สองคนสามารถรักษาเมืองขนาดยักษ์ที่อยู่ในทำเลดีแบบนี้ หรือรักษาสภาพแวดล้อมของเมืองแห่งความยุติธรรมที่ใหญ่ขนาดนี้ได้อย่างไร”
ลู่เซิ่งฉุกใจนึกได้ “เข้าใจแล้ว…ข้าจะลองพบพวกเขาดู”
เป็นอย่างที่ว่าจริงๆ นครตราชั่งรักษาตำแหน่งกับทรัพยากรพิเศษได้อย่างมั่นคงดุจขุนเขาท่ามกลางขุมกำลังระดับผู้ปกครองมากมาย เห็นได้ว่ามันต้องมีไพ่ตายพิเศษเป็นของตัวเองแน่นอน
ลู่เซิ่งที่ได้รับการแจ้งเตือนด้วยความปรารถนาดีของจันทราม่วง ก็ออกจากจวนเจ้านครมาในเวลาใกล้ค่ำแล้ว
ช่วงนี้นครตราชั่งเริ่มเลียนแบบวัฏจักรปกติของกลางวันกลางคืน เวลาปรับเป็นหนึ่งวันมียี่สิบห้าชั่วโมงตามมาตรฐาน
ด้านนอกมีรถพิเศษของสำนักนทีครามรออยู่ มังกรสีดำดุร้ายสองตัวที่มีเขาสามข้าง ลากรถทรงรีคันหนึ่ง รอบรถมีหนามแหลมคมยื่นออกไป รอบข้างยังมียักษ์สูงใหญ่ร่างบึกบึนและมีผิวเป็นสีทองจางเป็นองครักษ์ประจำรถด้วย
นี่เป็นหนึ่งในรถระดับเจ้าสำนักของสำนักนทีคราม ถูกลู่เซิ่งเลือกมาใช้เห็นพาหนะส่วนตัว
รถนี้ดูธรรมดา แต่ไม่ว่าจะเป็นมังกรดำหรือยักษ์ ต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของรถ พวกมันแสดงพลังในขอบเขตลวงตาได้เป็นอย่างน้อยภายใต้การเพิ่มพลังจากค่ายกล
พลังแบบนี้มากพอจะไล่พวกโจรได้
แต่เพราะเหตุนี้ ยักษ์และมังกรดำพวกนี้ก็ได้แต่อยู่ห่างจากรถในอาณาเขตไม่เกินพันหมี่เช่นกัน
ลู่เซิ่งขึ้นรถ รถมังกรดำทะยานขึ้นฟ้า บินไปยังสถานที่ที่เขาพักอาศัย
บินอ้อมเมืองครึ่งรอบ ไม่นานเขาก็ลงจอดหน้าตึกสีดำห้าชั้นแห่งหนึ่งอย่างช้าๆ
พอลงรถ นอกตึกก็มีคนสวมชุดดำที่รออยู่แต่แรกพากันเข้ามาหา
“ท่านเจ้าสำนัก คนผู้นั้นตื่นแล้ว ต้องการพบท่าน” คนคนหนึ่งเอ่ยเสียงแผ่ว
“ทราบแล้ว พวกเจ้าถอยไปก่อน” ลู่เซิ่งพยักหน้าและเดินเข้าไปผลักประตูตึกเล็ก
ตัดทะลุโถงชั้นหนึ่ง เลี้ยวไปทางซ้าย เข้าไปในระเบียงแคบๆ เส้นหนึ่ง เดินถึงหน้าห้องที่สาม ลู่ซิ่งยื่นมือไปเคาะประตูเบาๆ
ก๊อกๆ
“ใคร!?” เสียงของเฮยจินดังออกมาจากด้านในอย่างระวังตัว
“ข้าเองลู่เซิ่ง”
“…เข้ามาได้…” เฮยจินเงียบไป จากนั้นก็กล่าวตอบทันที เสียงก็ผ่อนคลายลงเช่นกัน
ลู่เซิ่งเปิดประตูเข้าไป สายลมในห้องพัดม่านสีขาวพลิ้วไหว และผมยาวสีดำนุ่มสลวยของเฮยจินสยายขึ้นเป็นระยะ
นางที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่างหันหน้ากลับมามองอย่างเงียบๆ
“ผ่านไปหลายปี ดีใจมากที่ได้พบเจ้าอีกครั้ง” ลู่เซิ่งเอ่ยเสียงต่ำ พลางพลิกมือปิดประตู
เฮยจินไม่ได้ตอบสนอง หลังจากได้รู้เรื่องของบิดา นางก็อยู่ในสภาพนี้มาโดยตลอด
ไม่ได้เสียใจ ไม่ได้เจ็บปวด หรือเสียดาย เหมือนกับชาชินแล้ว การตอบสนองจึงช้าลงไปหนึ่งจังหวะ
“ได้ยินมาว่าเจ้าอยากพบข้า ข้าเลยมาหา” ลู่เซิ่งเอ่ยอีกครั้ง “เจ้าสบายดีหรือไหม การฟื้นตัวเป็นอย่างไร”
เฮยจินเหม่ออยู่ครู่หนึ่ง ค่อยได้สติกลับมา และกล่าวอย่างช้าๆ
“ยังดี…เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าจะถูกเจ้าช่วยในสถานการณ์แบบนั้น”
“ข้าเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกัน จะว่าไปต้องขอบคุณดาบหักเล่มนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะมัน ข้าก็ไม่มีความคิดสนใจเรื่องอื่นจริงๆ” ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“อย่างนั้นหรือ…” เฮยจินเงียบไปอีกครั้ง
“ต่อจากนี้เจ้ามีแผนการอะไร นอกจากนี้ บอกข้าได้หรือไม่ว่า มารดาแห่งความเจ็บปวดย้ายไปอยู่ไหน” ลู่เซิ่งถามอีก
“มารดาแห่งความเจ็บปวด…ไปยังระบบดาวเมฆาของพันธมิตรดวงดาว ที่นั่นเป็นบ้านเกิดของนาง” เฮยจินตอบ
“ตำแหน่งรูปธรรมเล่า”
“ไม่ทราบ…”
“เช่นนั้นก็ดี เจ้าพักผ่อนเถอะ” ลู่เซิ่งกำลังหมุนตัวผละจากไป สภาพของเฮยจินในตอนนี้ยังไม่ไหวอย่างเห็นได้ชัด
“รอเดี๋ยว” เฮยจินพลันเรียกเขา
ลู่เซิ่งหันกลับไปมองนาง
“ครั้งนี้ ขอบคุณมาก” เฮยจินหันมามองเขาอย่างจริงจัง
ลู่เซิ่งงงงัน จากนั้นก็ยิ้มน้อยๆ
“ก่อนหน้านี้เจ้าก็เคยช่วยข้าเหมือนกันไม่ใช่หรือ พูดขอบคุณไปทำไมกัน คิดก่อนดีกว่าว่าต่อจากนี้จะทำอย่างไร”
“ทำอะไรหรือ” เฮยจินลังเล
“ถ้าไม่มีที่ไป ก็เข้าร่วมสมาคมวิจัยความประหลาดลี้ลับที่ข้าสร้างขึ้นสิ” ลู่เซิ่งเสนอ “จะว่าไป ในสมาคมขาดขุมกำลังระดับสั่งการอยู่หลายคนพอดี”
“สมาคมวิจัยความประหลาดลี้ลับหรือ” เฮยจินเอ่ยอย่างแปลกใจ “ตอนนี้ข้าได้รับบาดเจ็บสาหัส มีพลังไม่ถึงหนึ่งในพันส่วนของพลังเดิมด้วยซ้ำ…ยังเข้าร่วมได้หรือไม่”
“แม้จะไม่ถึงหนึ่งในพันส่วนของพลังเดิม แต่เจ้าก็กำลังจะก้าวสู่ขอบเขตลวงตาแล้ว เมื่อขอบเขตยังอยู่ อีกไม่นานพลังก็จะกลับมาเอง” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างไม่นำพา
“…” เฮยจินนิ่งไปเล็กน้อย
“ลองใคร่ครวญดูเถอะ สมาคมวิจัยมีหลี่ซุ่นซีรับผิดชอบ ตอนนี้อยู่ภายใต้สำนักนทีคราม จริงสิ ถือโอกาสบอกด้วยเลยก็แล้วกัน ตอนนี้ข้าเป็นเจ้าสำนักนทีคราม” ลู่เซิ่งผลักประตูออกไป ทิ้งประโยคหนึ่งไว้ก่อนผละไปอย่างผ่าเผย
เขาไม่สนใจว่าเฮยจินจะมีปฏิกิริยาอย่างไร ตัวเขาทราบว่านางรู้ความลับของมารดาแห่งความเจ็บปวดมากมายและจะเป็นผู้ช่วยที่ดีที่สุดของเขาในการรับมือมารดาแห่งความเจ็บปวดแน่นอน
พอออกมาจากห้อง ลู่เซิ่งก็ขึ้นไปชั้นสาม
หญิงสาวที่แต่งกายแปลกประหลาดเล็กน้อยคนหนึ่งรอคอยอย่างเงียบๆ อยู่ในโถงใหญ่ชั้นสาม คล้ายกับรอมานานแล้ว
ตอนลู่เซิ่งผลักประตูเข้ามา นางก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้นุ่มและหันมามองเขา
“ดีใจมากที่ได้พบท่านอีกครั้ง ท่านหมอลู่เซิ่ง”
ใบหน้าของสตรียามหันมา มีความแน่วแน่เยือกเย็น ปากเล็กแดงสด สายตาหยาดเยิ้ม ชวนให้คนลุ่มหลง
“ข้าน้อยจ้าวลั่วอิง ครั้งนั้นต้องขอบคุณท่านหมอลู่ที่ช่วยเหลือ ครั้งนี้จึงมาเยี่ยมเยือนเจ้าค่ะ” คุณหนูใหญ่ตระกูลจ้าวประสานมือโค้งตัวเล็กน้อย
เสื้อแขนยาวตัวเล็กกับกระโปรงสั้นลายตารางดำแดงของนาง ขับทรวงอกอวบอิ่มชูชันและสองขากลมกลึงเรียวยาวยิ่ง
ผมดำนุ่มสลวยดูเรียบร้อยบางส่วนคลอเคลียไหล่น่ามอง อีกส่วนกระจายอยู่บนแผ่นหลัง
การแต่งกายแบบนี้ ทำให้ลู่เซิ่งหวนนึกถึงนักศึกษามัธยมที่เห็นตอนอยู่ในโลกเทพนอกรีตขึ้นมา ขัดกับบรรยากาศของโลกมารสวรรค์โดยสิ้นเชิง
“คุณหนูจ้าวลั่วอิงมาหาข้า มีธุระอะไรอย่างนั้นหรือ” เขาย่อมจำได้ว่ายามที่ตนเพิ่งมาถึงนครตราชั่ง เวลานั้นพลังยังอ่อนแอ จึงสมัครงานไปอยู่ที่ตระกูลจ้าวซึ่งเป็นขุมกำลังใหญ่ของที่นี่ เพื่อขจัดพลังแห่งจักรพรรดิรัตติกาลให้แก่จ้าวลั่วอิงผู้ที่กำลังสลบไสล
ตอนนี้สถานะและตำแหน่งของเขาต่างไปจากเดิม แต่อีกฝ่ายกลับเพียงพูดถึงสถานะแพทย์ของเขา แสดงให้เห็นชัดว่าต้องการติดต่อกับเขาด้วยฐานะนี้
“ที่ลั่วอิงมาในครั้งนี้ ประการแรกเพื่อขอบคุณในบุญคุณช่วยเหลือของท่านหมอในตอนนั้น ประการที่สอง เพื่อมาดูว่าคนที่ครอบครองตราแห่งแก่นปฐมในนครตราชั่ง มีความต้องการอะไร” จ้าวลั่วอิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“อ้อ?” ลู่เซิ่งตกใจ ถึงกับเป็นคนของรากแห่งความว่างเปล่าหรือนี่
ตอนที่เขารักษาจ้าวลั่วอิงในตอนนั้น ได้หลอกลวงลูกผู้น้องของนางชื่อจ้าวเซิ่งอิง สร้างวิชาเพิ่มเสน่ห์ของตัวเองให้อีกฝ่าย เวลานั้นเขาจึงได้สัมผัสกับเมล็ดแห่งแก่นปฐมที่ซ่อนตัวอยู่ในตัวจ้าวเซิ่งอิงเข้า
เวลานั้นคนผู้นั้นเรียกตัวเองว่าเชื้อไฟของนครอมตะ เมล็ดแห่งแก่นปฐม และเขาก็ได้ทราบจากเมล็ดแห่งแก่นปฐมคนอื่นในโลกอีกใบว่า เมล็ดแห่งแก่นปฐมในตัวจ้าวเซิ่งอิงน่าจะมีสถานะสูงสุดขีด
ตอนนี้จ้าวลั่วอิงที่เดิมเคยหมดสติมาหาเขา ถึงกับรู้ว่าเขาครอบครองตราแห่งแก่นปฐม ไม่รู้ว่าคิดจะทำอะไร
“เจ้ารู้ได้อย่างไร” ลู่เซิ่งได้สติกลับมา หรี่ตามองอีกฝ่าย
จ้าวลั่วอิงหัวเราะเสียงแผ่ว
“จะว่าไป ลูกผู้น้องของข้าเคยได้รับการดูแลจากท่าน ตอนนี้เดินบนเส้นทางสมบูรณ์แบบที่คนมากมายต่างอิจฉา” นางกล่าวโดยไม่ตอบคำถาม
พอนึกถึงจ้าวเซิ่งอิง ลู่เซิ่งก็นึกขยาดเล็กน้อย
ตอนนั้นเขาหลอกอีกฝ่ายว่าเพราะกล้ามเนื้อไม่พอ เลยไม่อาจสร้างความงามที่มากมายได้
ตอนนี้ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง
“ดูเหมือนความสัมพันธ์ของตระกูลจ้าวกับรากแห่งความว่างเปล่าจะล้ำลึกกว่าที่ข้าคาดไว้นะ” ลู่เซิ่งเอ่ยเสียงทุ้ม
……………………………………….