ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 899 กำเนิด (1)
กระแสวังวนมิติเวลาสีรุ้งนับไม่ถ้วนพุ่งเฉียดข้างลู่เซิ่งไปด้วยความเร็วสูง เขาเหมือนกับฉลามในกระแสธาร ว่ายทวนกระแสมุ่งหน้าไปตามธารมารดาอย่างต่อเนื่อง
ยิ่งว่ายขึ้นไป เขาก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงแรงกระแทกจากธารมารดาที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ชิ้นส่วนโลกที่แทรกอยู่ในธารน้ำมากมาย กระแทกใส่ร่างเขา
ชิ้นส่วนเล็กๆ ลู่เซิ่งไม่สนใจ ส่วนชิ้นส่วนใหญ่ เขาทำได้เพียงหลบซ้ายหลบขวาเท่านั้น
ดีที่ในกระแสธารไม่มีสัตว์ประหลาดอะไร เพียงแต่จะเห็นรูเรืองแสงขนาดต่างๆ ปรากฏแวบขึ้นตอนผ่านหาดทรายบางส่วนเป็นบางครั้งเท่านั้น
ในรูเหล่านี้ไม่รู้ว่าเชื่อมไปยังที่ไหน
ทุกครั้งที่ผ่าน ลู่เซิ่งจะรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายอันตรายที่ซ่อนอยู่ในนั้น
เขาว่ายทวนกระแสธารมารดาไปเรื่อยๆ กว่าสามวัน
ลู่เซิ่งคำนวณเวลาคร่าวๆ โดยใช้เวลาชีวภาพเฉพาะตัว ในเวลาสามวัน เขารักษาความเร็วแสนกว่าหมี่ต่อวินาทีไว้ตลอดเวลา
ในธารมารดาที่มีแรงกระแทกยิ่งใหญ่ นี่ถือว่าร้ายกาจถึงขีดสุด
เหนือศีรษะของเขามีเส้นสายสีดำอ่อนเล็กเส้นหนึ่ง บนเส้นสายกะพริบลวดลายอักขระเล็กจ้อยอยู่นับไม่ถ้วน
เส้นสายนี้เป็นเส้นพิภพที่อินเอ้อร์สือเจียคำนวณออกมา เป็นเส้นสายที่ชี้ไปยังทิศทางที่ครอบครัวลู่เซิ่งอยู่
ลู่เซิ่งไม่กลัวว่าจะมุ่งหน้าไปยังโลกอันตราย เขาดูดซับพลังอาวรณ์มาเกือบพันห้าร้อยล้านหน่วยจากโลกเทพนอกรีต สำหรับเขาแล้ว นี่เป็นตัวเลขมหาศาลที่ไม่เคยมีมาก่อน
พลังอาวรณ์จำนวนขนาดนี้เป็นความมั่นใจของเขา
ดังนั้นไม่ว่าจะอยู่ในโลกใดๆ เขาก็ไม่ต้องกลัวว่าตนจะเกิดปัญหา สิ่งที่เขาเป็นกังวลคือเส้นพิภพจะใช้หาครอบครัวได้ในเวลาอันรวดเร็วหรือไม่
สงครามระหว่างวิญญาณดวงดาวกับสัตว์โบราณน่าสะพรึงเหลือเกิน วิญญาณดาวและสัตว์โบราณสายเลือดแท้ๆ พวกนี้ คือผู้เข้มแข้งที่อยู่ในระดับอนธการเป็นอย่างต่ำ
แม้จะเทียบกับคนในระดับอนธการขั้นสูงสุดอย่างพวกเขาไม่ได้ แต่เมื่อเผชิญหน้าการดำรงอยู่ทั่วไปก็คือเป็นระดับบดขยี้อยู่ดี
ดังนั้นลู่เซิ่งจึงคิดจะโยกย้ายสำนักนทีครามไปยังโลกใบใหม่โดยเร็วที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงไฟสงครามในโลกมารสวรรค์
ขณะลู่เซิ่งกำลังไตร่ตรอง อยู่ๆ เส้นพิภพเหนือศีรษะก็สั่นไหวเล็กน้อยน้อย แล้วหดเล็กลงกลายเป็นแสงสีดำจุดหนึ่ง พุ่งไปยังทางขวามือ
ลู่เซิงเลือดลมพลุ่งพล่านตามหลังไปติดๆ
แหวกว่ายตามแสงสีดำไม่กี่นาที เขาก็เห็นร่องแยกที่อยู่ในสภาพประหลาดเส้นหนึ่งบนหาดทรายของทางแยกเส้นหนึ่งทางขวามือ
นี่เป็นร่องแยกใหม่ที่ลู่เซิ่งไม่เคยเห็นมาก่อน
ร่องแยกดำสนิท บริเวณขอบกะพริบแสงสีแดงอ่อน กลิ่นอายอัปมงคลกระจายออกมาจากด้านใน เมื่อยืนอยู่ตรงขอบ ลู่เซิ่งยังได้ยินเสียงกรีดร้องเบาๆ ที่ลอยมาจากด้านในได้อย่างเลือนราง
“เป็นที่นี่จริงๆ หรือ” ลู่เซิ่งมองจุดแสงที่เปลี่ยนมาจากเส้นพิภพ
จุดแสงมีกลไกหลักตรรกะอักขระค่ายกลอย่างง่าย สามารถถามและป้อนข้อมูลกลับมาให้แก่เขาได้
พอได้ยินคำถามนี้ มันก็มุดเข้าไปในร่องแยก แล้วหายลับไป
ลู่เซิ่งไม่ลังเลอีกต่อไป ว่ายพุ่งเข้าไป ร่างกลายเป็นแสงสีแดงกลุ่มหนึ่งอย่างฉับพลัน หดเล็กลงด้วยความเร็วสูงลอยเข้าไปในนั้น
…
กรู๊กๆ…กรกๆ…
ลู่เซิ่งสลึมสลือตื่นขึ้นมา ได้ยินคือเสียงเหมือนกับนกกาเหว่าร้องแผ่วเบา
เขารู้สึกว่าตัวเองขดตัวอยู่ในพื้นที่แคบๆ ทรงรี เหมือนจะเป็นไข่
ด้านนอกมีความอบอุ่นอ่อนโยนซึมเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เขารู้สึกปลอดโปร่งไปทั่วทั้งตัว
พลังจิตวิญญาณต้องการเวลาปรับตัวเหมือนครั้งที่ผ่านมา ไม่อาจปล่อยออกมาได้ชั่วขณะ เพียงแยกแยะจากโสตประสาทที่ตื่นตัวดีแล้ว ด้านนอกน่าจะเป็นนกสองตัว
ลู่เซิ่งสงบใจ กวาดตามองร่างกายของตัวเองในตอนนี้ ร่างกายนี้ยังอยู่ในสภาพตัวอ่อน อวัยวะมากมายยังไม่เจริญดี เคราะห์ดีที่สมองเจริญดีที่สุด ดังนั้นยังนับว่าสมบูรณ์
เขาค้นพบว่าตัวเองคล้ายจะจุติเป็นนกชนิดหนึ่งผ่านการตรวจสอบภายในด้วยจิตวิญญาณ
โครงสร้างเลือดเนื้อมีความแตกต่างไม่น้อย แต่ยังเป็นโครงกระดูกพื้นฐานของพวกนก
ลู่เซิ่งวิเคราะห์กฏพื้นฐานรอบๆ
“แม้จะปรับตัวเข้ากับกฎส่วนใหญ่ไม่ได้ แต่ยังมีความสามารถหล่อเลี้ยงน้อยอยู่ น่าจะใช้ผลส่วนหนึ่งของปราณปฐพีเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ร่างกายได้”
พอคิดได้ก็ลงมือทันที ลู่เซิ่งโคจรปราณปฐพีที่ทะลักออกมาจากในร่างอย่างช่ำชอง เริ่มแยกกันส่งออกมาปรับตัวกับกฎส่วนหนึ่งของที่นี่ ค่อยๆ หล่อเลี้ยงวิหคร่างนี้
ด้วยระดับของเขาในปัจจุบัน ผลการหล่อเลี้ยงปราณปฐพีดีกว่าก่อนหน้ามาก
ขณะเดียวกันเขาก็เริ่มใช้อวัยวะสัมผัส ประเมินการไหลเวียนของเวลาที่แห่งนี้ โดยเทียบกับนาฬิกาทางชีวภาพของร่างหลัก
ผลการประเมินทำให้เขาแปลกใจเล็กน้อย เพราะการไหลของเวลาในสถานที่แห่งนี้เท่ากับโลกมารสวรรค์แบบหนึ่งต่อหนึ่ง
หมายความว่า ที่นี่ผ่านไปหนึ่งวัน โลกมารสวรรค์ก็ผ่านไปหนึ่งวันเช่นกัน
“ดูเหมือนระดับพลังงานของที่นี่จะต้องสูงสุดขีดแน่นอน!” ลู่เซิ่งตกใจ รีบสลัดความคิดอันตรายส่วนหนึ่งที่วางไว้ทิ้งทันที แล้วเริ่มหล่อเลี้ยงร่างกายอย่างว่าง่าย
เวลาผ่านไปทีละนิดๆ พริบตาเดียวก็ผ่านไปสิบกว่าวันแล้ว
กลางป่าขนาดยักษ์สูงใหญ่และมืดครึ้มผืนหนึ่ง บนคาคบของต้นไม้ยักษ์สูงกว่าพันเมตร ในรังนกสีเหลืองเล็กๆ รังหนึ่ง ไข่ใบหนึ่งท่ามกลางไข่นกสีขาวน้ำนมหลายใบ สั่นเล็กน้อย ส่งเสียงแตกดังแกร๊ก
ลูกนกขนสีเทาตัวหนึ่งมุดออกมาจากเปลือกไข่อย่างง่ายดาย ก่อนจะหันไปกินเปลือกไข่ของตัวเองจนหมด
นกน้อยสีฟ้าขนาดเท่ากำปั้นสองตัวที่อยู่ใกล้กันกระโดดโหยงเหยงตรงข้างรังอย่างตื่นเต้น ส่งเสียงร้องกับลูกนกตลอดเวลา
“ลูกชายข้า ลูกชายข้าเกิดแล้ว!” เสียงร้องที่มีเฉพาะในนกตัวผู้ตะโกน
“รีบไปหาของกินเร็ว พวกเราต้องการอาหารมากกว่าเดิมแล้ว! ระวังด้วยล่ะ เจ้าจิ้งจอกหยกศิลาบัดซบพวกนั้นอยู่แถวนี้ จะให้พวกมันเจอบ้านใหม่ที่อยู่ที่นี่ไม่ได้เป็นอันขาด!” นกตัวเมียรีบกำชับ
“ทราบแล้ว! จะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ” นกตัวผู้พยักหน้าเหมือนมนุษย์
“รอเดี๋ยว ทางตะวันออกมีอินทรีเนตรทองมาใหม่ฝูงหนึ่ง อย่าปล่อยให้พวกมันเจอตัวล่ะ เวลาเคลื่อนไหวตามปกติของพวกมันคือตอนบ่ายกับตอนเช้า ครั้งก่อนครอบครัวของพวกฟูกเขียวก็ถูก...” นกตัวเมียเอ่ยไม่จบประโยค แต่ความหมายชัดเจนยิ่ง
นกตัวผู้พยักหน้าอย่างจริงจังอีกครั้ง
“ข้าจะระวัง พูดถึงความเร็วในการบินแถวนี้ ไม่มีใครเทียบข้าได้ วางใจเถอะ!”
“อือ หลันซี ไปเถอะ ข้าเชื่อท่าน!” นกตัวเมียเอ่ยเสียงแผ่ว
นกตัวผู้ชื่อหลันซี หมายถึงธารน้ำสีคราม เป็นชื่อที่พ่อแม่เขาตั้งให้ พวกเขาเคยอาศัยอยู่เหนือสายน้ำสีครามแห่งหนึ่ง
ส่วนนกตัวเมียชื่อเอินรั่ว เป็นชื่อที่กวางเจ็ดสีตัวหนึ่งเคยตั้งให้นางเมื่อครั้งเจอกันในอดีต
ว่ากันว่านี่เป็นคำเปิดประโยคที่สมบูรณ์
พวกมันอาศัยอยู่ในป่าแถบนี้มาได้หนึ่งร้อยเจ็ดสิบกว่าปีแล้ว ในที่สุดตอนนี้พวกมันก็ได้ฟักไข่ของตัวเองเป็นครั้งแรก
และไข่ใบหนึ่งในนี้ก็ฟักในที่สุด
นกตัวผู้บินตัดผ่านป่า ไม่นานก็หายลับไป
สักพักมันก็นำอาหารที่มันซ่อนไว้อีกแห่งมา เหมือนจะเป็นแมลงเม่า
เพียงแต่แมลงพวกนี้เรืองแสงสีฟ้าอ่อนเหมือนไม่ใช่แมลงทั่วไป
หลันซีกับเอินรั่วเป็นนกที่มีชื่อว่านกกระจอกอาภรณ์คราม นกชนิดนี้มีความเร็วว่องไวจัดอยู่ในอันดับแรกๆ โดยกำเนิดของนกขนาดเล็ก
ในโลกอันรกร้างที่ไพศาล นกกระจอกอาภรณ์ครามถือเป็นนกกระจอกวิเศษชนิดหนึ่งที่พบเห็นได้บ่อย นอกจากความเร็วแล้ว พวกมันยังมีอีกความสามารถหนึ่งที่ค่อนข้างขึ้นชื่อ นั่นก็คือเนตรวิเศษ
ดวงตาของพวกมันมีความพิเศษมองทะลุหมอกควันและค่ายกลลวงตาได้ง่ายดาย
หลันซีคาบแมลงตัวเล็กบินมาถึงข้างรัง มองดูเจ้าตัวน้อยสีเทาขนปุยตัวสั่นเทา นัยน์ตาเป็นประกายด้วยความรักใคร่ยากจะเอื้อนเอ่ย
“มากินเถอะ นี่เป็นของดี…” เขาส่งแมลงเม่าไปยังปากของลูกนกอย่างระวัง
ในสถานการณ์ปกติ ลูกนกทั่วไปจะอ้าปากส่งเสียงโหวกเหวกโวยวาย รอให้พ่อแม่ป้อนอาหาร
แต่ลูกนกตัวนี้เหมือนจะไม่เป็นอย่างนั้น
ลู่เซิ่งเหลือบมองแมลงเม่าที่หลันซีส่งมา ปีกที่ยังไม่งอกขนก็ตบแมลงเม่าทิ้งไป
การหล่อเลี้ยงด้วยปราณปฐพีเป็นเวลาสิบวันทำให้เขาไม่ได้อ่อนแอไร้เรี่ยวแรงเหมือนลูกนกทั่วไป
เขายืนขึ้น แล้วเดินไปถึงข้างรังท่ามกลางสายตาตกตะลึงของนกทั้งสองตัว
ทันใดนั้น เขาก็หยิบกิ่งไม้ข้างรังท่อนหนึ่งออกมาชูขึ้นไปบนฟ้า
ฟ้าว!
จากนั้นก็ชักกิ่งไม้กลับมา ปลายไม้มีแมลงปอสีทองที่บินเร็วรี่ดุจสายฟ้าฟาดเสียบอยู่
ลู่เซิ่งแกะหัวและหางของแมลงปอทิ้งอย่างคุ้นชิน แล้วโยนเนื้อส่วนอกเข้าปาก
“…”
“…”
หลันซีกับเอินรั่วตกตะลึงนิ่งงันเป็นไก่ไม้แกะสลัก แมลงเม่าในปากดิ้นรนไม่กี่ที ก็หลุดออกจากปากบินไปไหนแล้วก็ไม่รู้
ไม่นานนักก็มีแมลงปอสีทองกลุ่มหนึ่งบินมาอย่างดุร้าย คล้ายต้องการแก้แค้นให้แก่สหาย
ลู่เซิ่งถือกิ่งไม้ด้านข้างรังไว้อย่างเยือกเย็น โดยใช้กรงเล็บที่เพิ่งงอกออกมาจากปลายปีกกำไว้เบาๆ
ฟ้าวๆๆๆ!
เกิดเสียงดังขึ้นสิบกว่าครั้ง บนกิ่งไม้มีแมลงปอสีทองเสียบอยู่สิบห้าตัว ตัวพวกมันกะพริบแสงสายฟ้าสีทองหลายสาย ดูไม่ธรรมดา คล้ายจะเป็นความสามารถพิเศษของพวกมัน
แต่ความสามารถเหล่านี้ไร้ความหมายสำหรับกิ่งไม้ที่เป็นฉนวนไฟฟ้า
ลู่เซิ่งนั่งลง มือข้างหนึ่งถือกิ่งไม้ มืออีกข้างถือกิ่งไม้สองกิ่งติต่างเป็นตะเกียบ แยกส่วนหัวกับหางของแมลงปอสิบกว่าตัว เหลือไว้เพียงเนื้ออกส่วนเล็กๆ
จากนั้นก็ยัดเนื้อแต่ละชิ้นเข้าปาก กินอย่างสำราญใจ
หลันซีกับเอินรั่วที่อยู่ด้านข้างตกตะลึงโดยสิ้นเชิง
นั่นมันแมลงปออสนีบาตเชียวนะ!
ต่อให้เป็นตอนที่พวกมันจับ ก็ยังไม่กล้าเอามามากมายขนาดนี้ มาตอนนี้ลูกนกที่เพิ่งเกิดตัวหนึ่ง ถึงกับ…
“นี่ไม่น่าจะกำลังฝันอยู่กระมัง” หลันซี
“ไม่…ท่านไม่ได้ฝัน…” เอินรั่วจับปีกของเขาพลางพึมพำ “นั่นคือลูกข้า…” แม้แต่นางก็ยังตกใจจนวิงเวียนศีรษะ แต่โลกใบนี้ไม่เคยขาดเรื่องน่าอัศจรรย์อยู่แล้ว ลูกนกตัวหนึ่งแสดงออกเกรี้ยวกราดไปบ้างก็ไม่นับว่าเป็นอะไร ว่ากันว่ามีบางเผ่าพันธุ์ที่เกิดมาพร้อมกับไฟลุกท่วมตัว ก่อให้เกิดอัคคีภัยขึ้นทีเดียว
สามีภรรยานกรับความจริงได้อย่างรวดเร็ว ลู่เซิ่งไม่ต้องการให้พวกมันป้อนอาหาร ทำให้พวกมันโล่งใจขึ้นมาก
เพียงแต่วันเวลาต่อจากนั้น พวกมันก็ค้นพบอย่างตกตะลึงว่า ความจุในการกินอาหารในแต่ละวันของนกน้อยที่เพิ่งเกิดมานี้น่าตกตะลึงโดยแท้
อีกทั้งความเร็วในการเติบโตของเขายังอยู่เหนือกว่าจินตนาการของพวกมันอีก
ตอนแรกขนาดของลู่เซิ่งเป็นหนึ่งในสามของพวกมันเท่านั้น ไม่สะดุดตาเท่าไร แต่เมื่อผ่านไปสิบวัน ลู่เซิ่งก็มีขนาดครึ่งหนึ่งของพวกมันแล้ว
ความจุอาหารของเขาเทียบเท่ากับพวกมัน ทั้งยังออกไปล่าอาหารเองอีกต่างหาก
ไม่นานนัก ไม่ถึงหนึ่งเดือน ชายป่าขนาดยักษ์ผืนนี้ก็ปรากฏเงาของนกกระจอกอาภรณ์ครามว่องไวปราดเปรียวตัวหนึ่ง
แมลง หญ้า ผลไม้ทั้งหมดที่กินได้ ต่างหนีไม่รอดจะงอยปากของลู่เซิ่ง
ขนาดตัวของลู่เซิ่งขยายใหญ่ขึ้นตามความจุอาหารที่เพิ่มขึ้น ทวีความต้องการต่ออาหารในอาณาเขตรอบๆ มากขึ้น
ในที่สุด อยู่มาวันหนึ่ง ลู่เซิ่งก็ล้ำเส้น
……………………………………….