ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 9 ตวนมู่หว่าน (1)
“ต่อจากนี้เป็นคัมภีร์ลับกำลังภายในในตำนานที่ทุกคนต่างรู้จัก แน่นอนว่าผ่านการตรวจสอบจากพวกเราแล้ว เป็นของจริงหรือของปลอมยังไม่ทราบแน่ชัด แต่ถึงอย่างไรกำลังภายในจำเป็นต้องมีการฝึกฝนและตัดสินในระยะเวลาอันยาวนาน ไม่อาจมองของจริงปลอมออกได้ในเวลาอันสั้น
“แต่ว่าการตรวจสอบวัสดุของคัมภีร์ตัดสินได้ว่า วัสดุผ้าที่ใช้บันทึกคัมภีร์ลับนี้มีอายุมากกว่าร้อยปีแล้ว!”
พิธีกรหัวเราะเหอะๆ สองคำ เมื่อเห็นคนด้านล่างถูกตนกระตุ้นบรรยากาศแล้ว และสายตาแต่ละคู่ต่างรวมกันบนตัวตนเอง
เขาจึงค่อยดำเนินการต่อไป
“คัมภีร์ลับนี้มีชื่อว่าวิชาทมิฬพิฆาต”
คนแคระสองคนค่อยๆ ยกจานรองสำริดสีเหลืองออกมา ค่อยๆ ขโยกเขยกขึ้นไปบนแท่น
บนจานรองสำริดวางด้วยคัมภีร์ผ้าฝ้ายสีดำสนิทเล่มหนึ่ง
“วิชาทมิฬพิฆาตนี้มีทั้งหมดสามสิบสองระดับ ตามการบันทึกข้างใน ทุกๆ ระดับที่ก้าวหน้าสามารถเสริมความแข็งแกร่งแก่ร่างกาย
“คัมภีร์ลับเล่มนี้เป็นระดับหนึ่งถึงระดับห้า”
“หึ ที่แท้เป็นคัมภีร์เล่มที่ไม่สมบูรณ์”
ด้านล่างพลันมีคนส่งเสียงดังขึ้นมา
“การเดิมลมปราณภายในฝึกฝนยากอยู่แล้ว เพราะเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตน ทั้งยังเป็นเล่มที่ไม่สมบูรณ์ เอาออกมาผู้ใดจะกล้าฝึก เกิดว่าด้านในถูกคนแก้ไข ฝึกขึ้นมาก็รนหาที่ตายแล้ว!”
มีคนเยาะเย้ยถากถาง
“เช่นนั้นท่านไม่ซื้อก็ได้” มีเสียงกล่าวยิ้มเยาะเช่นกัน
“ทุกท่านโปรดเงียบก่อน” พิธีกรกดสองมือลง กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“วิชาทมิฬพิฆาตเล่มนี้ความจริงเป็นแขกคนหนึ่งฝากมาขายในงานประมูลของพวกเรา ความน่าเชื่อถือนั้น อันที่จริงแขกคนนั้นมอบให้พวกเราพิสูจน์ไปส่วนหนึ่งแล้ว
“อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง สามระดับแรกล้วนสามารถฝึกฝนได้”
เขากล่าวคำพูดนี้ ตอนแรกนึกว่าจะกระตุ้นความตื่นเต้นได้ แต่คนด้านล่างยังคงมีสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง
ลู่เซิ่งส่ายหน้าน้อยๆ ในใจทราบว่าสาเหตุเป็นเพราะอะไร
เจิ้งเสี่ยนกุ้ยสงสัยขึ้นมา
“พี่เซิ่งเกิดอะไรขึ้น การตอบสนองนี้ไม่ถูกต้องกระมัง”
“ไม่ใช่ไม่ถูกต้อง นี่ปกติยิ่ง” ลู่เซิ่งกล่าวราบเรียบ
“เวลาที่ฝึกฝนของคัมภีร์กำลังภายใน เอะอะก็ใช้จำนวนปีเป็นหน่วยวัด มันยาวนานเกินไปจริงๆ ไม่ว่าจะมีคนแสดงให้ดูหรือไม่ ล้วนไม่มีใครกล้าเดิมพันกับความเป็นไปได้ที่จะล้มเหลว
“ยิ่งไปกว่านั้นข้าเคยได้ยินลุงจ้าวพูดว่า กำลังภายในไม่ใช่ร้ายกาจเหมือนคำเล่าลือ นอกเสียจากฝึกฝนถึงระดับสุดยอดแล้ว อานุภาพกำลังภายใน บางครั้งไม่สู้การโจมตีของยอดฝีมือกำลังภายนอกอย่างสุดกำลังในครั้งเดียว”
“นี่เป็นเพราะเหตุใด”
เจิ้งเสี่ยนกุ้ยสงสัยกว่าเดิม
“เรื่องนี้นายน้อยอาจยังไม่ทราบ” หัวหน้าคณะคุ้มกันคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังพวกเขามาโดยตลอด ตอนนี้เอ่ยปากแล้ว
คนผู้นี้ชื่อเฉินอู่เต๋อ เป็นหนึ่งในหัวหน้าคณะคุ้มกันสองนายที่แข็งแกร่งที่สุดของสกุลเจิ้ง งานชุมนุมดำรอบนี้เพราะมีสำคัญมาก ดังนั้นจึงส่งเขามาคอยควบคุมความปลอดภัย
เขาก็เหมือนกับลุงจ้าว เป็นจอมยุทธ์กำลังภายนอก ที่ติดอันดับของเมือง
เฉินอู่เต๋อมองลู่เซิ่ง กล่าวต่อ
“กำลังภายนอกและกำลังภายใน ความจริงล้วนฝึกพละกำลังเหมือนกัน
“กำลังภายนอก ฝึกการตั้งรับและการโจมตีโดยใช้กล้ามเนื้อและกำลังภายนอก กระตุ้นร่างกายให้มีพละกำลังเพิ่มขึ้น แบบนี้ย่อมทำร้ายร่างกาย แต่จะเพิ่มพละกำลังให้เร็วสุดขีด
“กำลังภายในจะปรับเสริมความแข็งแกร่งแก่อวัยวะภายใน หล่อเลี้ยงเลือดลม ความเร็วเช่นนี้ช้ามาก เพิ่มพลังก็ช้า แต่ไม่ทำร้ายร่างกาย ทั้งยังยืดอายุขัย
“การแบ่งกำลังภายใน กำลังภายนอก เป็นความต่างกันดังนี้
“ซึ่งความจริงยอดฝีมือระดับสุดยอดฝ่ายกำลังภายนอก ไม่ต่างจากฝ่ายกำลังภายใน
“สิ่งที่ร้ายกาจจริงๆ คือฝึกทั้งกำลังภายในและกำลังภายนอก…”
“อย่างนี้นี่เอง…” เจิ้งเสี่ยนกุ้ยเข้าใจกระจ่าง
ลู่เซิ่งพยักหน้า
“ข้าเคยได้ยินลุงจ้าวพูดแบบนี้เช่นกัน”
“เช่นนั้นเหตุใดทุคนจึงยังต้องการกำลังภายในขนาดนี้ ถึงอย่างไรพลังก็เพิ่มขึ้นไม่มาก” เจิ้งเสี่ยนกุ้ยสงสัยขึ้นมา
“เพื่อยืดอายุขัย…ยอดฝีมือกำลังภายนอกแข็งแกร่งนั้นแข็งแกร่ง แต่พออายุสามสิบก็จะเริ่มทรุดโทรมแล้ว หากเกิดว่ามีกำลังภายใน สภาพสูงสุดยืดอายุได้ถึงห้าหกสิบปี ไม่อาจเทียบกันได้โดยสิ้นเชิง” เฉินอู่เต๋อรำพึง
ลู่เซิ่งเวลานี้ความสนใจเพ่งอยู่ที่คัมภีร์ลับบนแท่น ที่เริ่มประมูลแข่งราคากันแล้ว
พิธีกรชี้ไปที่คัมภีร์ลับผ้าดำในจานรอง
“ตอนนี้เริ่มแข่งราคา ราคาเริ่มประมูลหนึ่งร้อยตำลึง!”
“หนึ่งร้อยสามสิบตำลึง”
“หนึ่งร้อยห้าสิบ!”
“สองร้อย!”
“สามร้อย!”
“สามร้อยสามสิบตำลึง!”
ราคาประมูลสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
ในนี้ถึงขั้นที่ มีคนที่ก่อนหน้านี้พูดจาถากถาง เริ่มเสนอราคาอยู่ด้วยเช่นกัน
เห็นได้ว่าทุกคนแม้ไม่ได้เชื่อถือคัมภีร์ลับ แต่ยังคงค่อนข้างเชื่อมั่นในระดับการตรวจสอบและชื่อเสียงของงานชุมนุมดำ
“มีคนจงใจปั่นราคา”
เจ้าอ้วนโอดเสียงเบา
ลู่เซิ่งหยีตาจ้องบนแท่น
“ห้าร้อยตำลึง!”
เขายกมือขึ้น ประมูลเสียงดัง
พริบตาเดียวราคาเพิ่มหนึ่งร้อยตำลึง รอบๆ ตัวค่อยๆ เงียบลง
ในยุคสมัยนี้ มูลค่าของเงินห้าร้อยตำลึงเทียบได้กับห้าแสนหยวน
เพื่อคัมภีร์ลับที่ยังไม่ทราบว่าจริงปลอม มีความผิดพลาดหรือไม่เล่มหนึ่ง
“ห้าร้อยห้าสิบตำลึง”
เสียงหนึ่งดังขึ้นมาอีก
ลู่เซิ่งมองไป เป็นบุรุษผิวเหลืองขอบตาตกคนหนึ่ง
ใบหน้าที่สวมหน้ากากสีดำของเขาดูแห้งตอบ เหมือนไม่มีผิวเนื้ออันใด ตาสองคู่เป็นประกายตาดุร้ายอยู่บ้าง มองดูไม่เป็นมิตร
ลู่เซิ่งคาดเดาถึงสถานการณ์แบบนี้มาก่อนแล้ว ของอย่างคัมภีร์ลับกำลังภายในไหนเลยจะไม่มีคนมาแย่งชิง
เขาไม่สนใจ ยกมือต่อ
“หกร้อยตำลึง”
“เจ็ดร้อยตำลึง”
เป็นบุรุษคนนั้นอีกครั้ง ลู่เซิ่งเพิ่งเสนอราคาไป เขาก็เสนอราคาตามมาติดๆ ทันที
“แปดร้อยตำลึง!” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างสงบนิ่ง เงินที่ลู่เฉวียนอันผู้เป็นบิดามอบให้เขาหนึ่งเดือนสองพันตำลึงต่อให้ใช้หมดสิ้น เขาก็ต้องประมูลคัมภีร์ลับเล่มนี้มาให้ได้
ถึงอย่างไรเขาก็มีเครื่องมือปรับเปลี่ยน ขอแค่มีความเป็นไปได้ที่จะเข้าสู่ระดับเบื้องต้นเพียงน้อยนิด เขาสามารถหาชื่อวรยุทธ์บนเครื่องมือปรับเปลี่ยน แล้วปรับเปลี่ยนถึงขีดจำกัดโดยตรงได้
“เก้าร้อยตำลึง!”
สายตาดุร้ายของคนผู้นั้นมองมายังลู่เซิ่ง
“หนึ่งพันตำลึง” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างเฉื่อยชา
“…หนึ่งพันหนึ่งร้อยตำลึง!” อีกฝ่ายส่งเสียงฝืนๆ บ้างแล้ว “สหาย ข้าเป็นคนจากตระกูลจางหยกขาว ไว้หน้าด้วย”
ตระกูลจางหยกขาวหรือ
ลู่เซิ่งเริ่มมีสีหน้าหวั่นไหวแล้ว
ตระกูลจางไม่ใช่คนในเมืองเก้าประสาน แต่เป็นตระกูลอันดับหนึ่งของเมืองม่วงโชติที่อยู่ใกล้ๆ เป็นตระกูลของจางซงข้าหลวงเมืองม่วงโชติ
“ตระกูลจางหยกขาว ถึงกับมาหาของที่เมืองเก้าประสานของข้า…” เจิ้งเสี่ยนกุ้ยแสดงสีหน้าแตกตื่นอยู่ด้านข้าง
ตระกูลเจิ้งของเขารับผิดชอบงานชุมนุมดำ เพียงรับผิดชอบเฉพาะการประมูลขายของ ส่วนแขกมาจากไหนนั้นไม่เคยสนใจ
“หนึ่งพันสองร้อยตำลึง!”
ลู่เซิ่งชูมือขึ้นอีก
ในดวงตาของคนตระกูลจางพลันปรากฏแววโกรธขึ้งขึ้นมา บริเวณเมืองเก้าประสานและเมืองม่วงโชติ เขาไม่เคยเห็นคนที่ไม่ไว้หน้าตระกูลจางขนาดนี้
ตระกูลจางไม่ใช่มีแค่ข้าหลวงจางซงคนเดียว คนที่เป็นความภาคภูมิใจของพวกเขายังมีอีกคน เป็นจางซงซียอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งเมืองม่วงโชติ
ล้วนมีอำนาจทั้งดำทั้งขาว นี่จึงเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขามีอิทธิพลอยู่ด้านนอก
“ไม่ต้องสนใจเขา การงประมูลในงานชุมนุมดำ คนที่เสนอราคาสูงเป็นผู้ชนะ ต่อให้เป็นตระกูลจางก็ไม่กล้าแหกกฎง่ายๆ ไม่อย่างนั้นการค้าขายหยกศิลาของพวกเขา จะยังมีผู้ใดกล้าร่วมมือกับพวกเขา”
เจิ้งเสี่ยนกุ้ยสมน้ำหน้า
คนของตระกูลจางผู้นี้ชื่อจางจวิ้นตง เป็นคนที่ครั้งนี้มาเมืองเก้าประสานเพื่อรวบรวมคัมภีร์ลับกำลังภายในที่อาจโผล่มา
คัมภีร์ลับกำลังภายในทั้งหมดในตลาด ความจริงพวกเขาล้วนมีคนจับตาดูอยู่แล้ว ก่อนที่จะนำออกมาประมูลขาย ก็จะถูกพวกเขาชิงซื้อตัดหน้าไปก่อน
แต่ในเมืองเก้าประสาน มีคัมภีร์เล่มนี้ที่เป็นเป็นปลาหลุดรอดแห เป็นแขกที่มาอย่างกะทันหัน ฝากมาขายในงานชุมนุมดำ ไม่เป็นไปตามกฎระเบียบขั้นตอนปกติ เพื่อหลีกเลี่ยงการชิงซื้อตัดหน้า
“หนึ่งพันสามร้อยตำลึง!” จางจวิ้นตงกัดฟันยกมือ
“หนึ่งพันสี่ร้อย!” ลู่เซิ่งไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย
ยามนี้รอบๆ สถานชุมนุม มีแค่พวกเขาสองคนแข่งกัน คนอื่นๆ ล้วนไม่คิดสอดมือ
“หนึ่งพันห้าร้อยตำลึง!” จางจวิ้นตงมองลู่เซิ่งเขม็ง “สหายออกประตูไปด้านนอกมีเพื่อนเพิ่มมีเส้นทางเพิ่ม วันนี้ท่านปล่อยคัมภีร์ลับเล่มนี้ให้ข้า ตระกูลจางของข้าจะจดจำน้ำใจของท่านไว้”
ลู่เซิ่งยังคงมีสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง
“หนึ่งพันหกร้อยตำลึง”
เขายกมือเสนอราคาอีกครั้ง
จางจวิ้นตงเกิดเพลิงโทสะขึ้นโดยสิ้นเชิงแล้ว เขาเดิมทีมาเพื่อคัมภีร์วิชาทมิฬพิฆาตนี้ คิดว่าเงินหนึ่งพันตำลึงก็เอามาได้แล้ว เงินที่เหลือยังสามารถยัดเข้ากระเป๋าตัวเองได้ คิดไม่ถึงกลางทางกลับมีคนประหลาดไม่กลัวตายออกมา แข่งราคากับตนจนถึงตอนนี้อย่างไม่เกรงใจ
“หนึ่งพันเจ็ดร้อยห้าสิบตำลึง!” เขาพลันลุกขึ้น ทุ่มเงินทั้งหมดของตัวเองลงไป
“หนึ่งพันแปดร้อย!”
ลู่เซิ่งยังคงมีใบหน้าไร้อารมณ์
จางจวิ้นตงหันหน้ามามองลู่เซิ่งอย่างดุดัน
“ประเสริฐ! ประเสริฐนัก!”
เขาไม่พูดมากอีก พิจารณาลู่เซิ่งอย่างละเอียดตั้งแต่บนถึงล่างอย่างดุดันรอบหนึ่ง เหมือนต้องการจดจำเขาไว้
ฟุ่บ จางจวิ้นตงผุดลุกขึ้น จากไปอย่างเดือดดาล
“ยินดีกับท่านด้วย” พิธีกรยิ้มหน้าบานบนแท่น คัมภีร์ลับกำลังภายในเล่มหนึ่งในสถานการณ์ที่ไม่สามารถแยกได้ว่าเป็นของจริงหรือของปลอมและอาจมีความผิดพลาด ถึงกับขายได้ราคาสูงขนาดนี้ ส่วนแบ่งของเขาจากการประมูลนี้อย่างน้อยก็เพิ่มเป็นเท่าตัวเทียบกับการประมูลปกติ
ได้คัมภีร์ลับมาแล้วพร้อมกับจ่ายตั๋วเงิน
ลู่เซิ่งไม่สนใจมองสินค้าประมูลชิ้นสุดท้าย บอกกับเจิ้งเสี่ยนกุ้ยแล้วปลีกตัวไปก่อน
ของได้มาแล้ว บนตัวเขาก็ไม่มีเงินเหลือแล้วเช่นกัน
เฉินอู่เต๋อติดตามเขาตลอด ยังนำผู้คุ้มกันอีกสองนายมาคอยคุ้มกัน เกรงว่าเขาจะเกิดเรื่อง
กลับทางเดิม ออกมาจากถ้ำ ลู่เซิ่งมองสีท้องฟ้าด้านนอก เป็นเวลากลางคืนแล้ว
รถม้าตระกูลเจิ้งรอเขาอยู่ด้านนอก
เฉินอู่เต๋อไม่สะดวกออกไปจากงาน จึงให้เหล่าผู้คุ้มกันเป็นเพื่อนลู่เซิ่งจากไป เขากลับไปเฝ้าเจิ้งเสี่ยนกุ้ยนายน้อยต่อ
พาผู้คุ้มกันสามคนไปด้วย ลู่เซิ่งเดินออกจากห้องศิลา คิดจะไปขึ้นรถ
ฟิ้ว
พลันแว่วเสียงลมกระโชกมาจากรอบๆ หมู่บ้าน
คนคุ้มกันสายตาระวังขึ้นมา มองดูรอบๆ แต่ไม่พบปัญหา
ฟึ่บ!
มีเสียงเสียดสีดังขึ้นเบาๆ เงาดำสายหนึ่งพลันอ้อมผ่านคนคุ้มกัน
ทะลวงตรงดิ่งฝ่าวงล้อมของคนหลายคน พุ่งเข้าหาลู่เซิ่งที่อยู่ด้านในสุด
เงาดำนั้นรวดเร็วมาก คนคุ้มกันหลายนายตอบสนองไม่ทันการ รูปขบวนคุ้มกันถูกเจาะทะลวง
เคร้ง เคร้ง เคร้ง!
เสียงสดใสสามเสียงดังขึ้น มีดสั้นในมือเงาดำนั้นฟันใส่มือคนคุ้มกันสามนายด้วยความเร็วสูงสุด
ทั้งสามคนครางหนักๆ กุมข้อมือตนเอง ถอยหลังอย่างรวดเร็ว
พวกเขาก็เป็นแค่คนคุ้มกันที่ตระกูลเจิ้งจ่ายเงินจ้างมา ไม่ใช่ทหารเดนตาย ย่อมไม่คิดเสี่ยงตายเพื่อตระกูลเจิ้ง
เห็นเงาดำนั้นมีสภาวะที่ไม่อาจต้านทานได้ จึงถือโอกาสหลบ ถึงอย่างไรข้อมือก็ได้รับบาดเจ็บ นับว่ามีคำว่ากล่าวแล้ว
พอทั้งสามคนคิดแบบนี้ รูปขบวนคุ้มกันก็พลันสลายไป เผยให้เห็นลู่เซิ่งที่อยู่ด้านในออกมาโดยสิ้นเชิง
“ไปตายซะ!”
เสียงทุ้มแหบเสียงหนึ่งพลันดังออกมาจากปากเงาดำนั้น
มันยกมีดสั้นขึ้น ฟันใส่ทรวงอกลู่เซิ่งอย่างรุนแรง
แม้ว่าจะฟันคนสามคนติดต่อกันแล้ว พละกำลังและความเร็วของมันลดลงไปไม่น้อย แต่รับมือคุณชายบ้านรวยธรรมดา สำหรับมันแล้วยังเป็นเรื่องผ่อนคลายยิ่ง
ต่อให้อีกฝ่ายเป็นคนฝึกวรยุทธ์ มันก็ไม่แยแส ในเมืองเก้าประสานนอกจากคนไม่กี่คน ที่เหลือล้วนไม่ใช่ใช่คู่มือของมัน
จางจวิ้นตงก่อนลงมือได้ตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว อีกฝ่ายไม่ใช่ข้อยกเว้นไม่กี่คนนั้น
ถูกแย่งชิงในงานประมูล มันแม้เป็นคนตระกูลจาง แต่ขณะเดียวกันยังมีสถานะอีกอย่างด้วย
นั่นก็คือเป็นหนึ่งในโจรร้ายที่มีชื่อเสียงฉ่าวโฉ่นอกเมืองม่วงโชติ
ในเมื่อล้มเหลวในการประมูลซื้อคัมภีร์ลับ เช่นนั้นก็ต้องแย่งชิงเอา อย่างไรมันก็ไม่ใช่ทำเรื่องนี้เป็นครั้งแรก งานชุมนุมดำไม่มีคนมอบความคุ้มครองอันปลอดภัยให้ผู้ประมูล
หลังจากฆ่าคนแย่งของมาได้ มันยังประหยัดเงินได้มากกว่าพันตำลึงให้ตัวเองได้ใช้เปล่าๆ ไหนเลยจะไม่ยินดีกระทำ
……………………………………….