ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 900 กำเนิด (2)
นกปากหมาป่าภูเขาแดงสามตัว พากันล้อมลู่เซิ่งหน้าหนึ่งหลังสอง
“เจ้านกกระจอกอาภรณ์คราม ที่นี่ไม่ใช่อาณาเขตของเจ้า ไสหัวออกไปซะ!” นกปากหมาป่าภูเขาแดงตัวหนึ่งที่เป็นผู้นำเอ่ยด้วน้ำเสียงเฉียบขาด
แม้ว่าภาษาของพวกมันจะแตกต่างกันไปตามเผ่าพันธุ์ แต่โดยรวมแล้วก็ยังมีจุดที่ร่วมกันอยู่
ลู่เซิ่งใช้เวลาสามวันเรียนรู้ภาษาใหม่กับหลันซีและเอินรั่ว ซึ่งเรื่องนี้ไม่ถือว่ายากสำหรับเขาที่เป็นเทพแห่งการเรียนอยู่แล้ว
ลู่เซิ่งใช้กรงเล็บจับตะขาบหลังเงินที่ดิ้นรนอยู่ตัวหนึ่งพลางเกาะบนคาคบไม้ เหลียวมองรอบๆ ด้วยสายตาเมินเฉย
“ป่าแห่งนี้ไม่ได้เป็นของนกตัวใด ยิ่งไปกว่านั้น ผู้อ่อนแอไม่มีสิทธิ์พูด”
เขาก้มลงจิกตะขาบหลังเงินตายในครั้งเดียว ก่อนจะเงยหน้ากลืนลงไปทั้งตัว
“แค่นกกระจอกอาภรณ์ครามตัวเดียว…! ขย้ำมันให้ตายซะ!” นกปากหมาป่าภูเขาแดงสามตัวพากันกระพือปีกพุ่งใส่ลู่เซิ่ง
แต่ลู่เซิ่งเพียงแค่หลบซ้ายหลบขวาเบาเล็กน้อยเท่านั้น ก็หลบการโจมตีของนกทั้งสามตัวได้ เขาสะบัดปีกทีหนึ่ง จับหางนกตัวหนึ่งได้อย่างแม่นยำ แล้วเหวี่ยงไปหาต้นไม้
เปรี้ยง!
นกปากหมาป่าภูเขาแดงตัวนั้นหมดสติทันที ร่วงลงไปกับพื้น
อีกสองตัวคลั่งยิ่งกว่าเดิม โถมตัวเข้าหาลู่เซิ่ง
ตอนนี้ลู่เซิ่งมีขนาดแค่เท่ากำปั้น แตกต่างจากพวกมันหลายเท่า หากสองรุมหนึ่งขึ้นมา ถึงแม้นกกระจอกอาภรณ์ครามจะรวดเร็วว่องไว แต่พวกมันก็ได้เปรียบกว่าอยู่ดี
ลู่เซิ่งหลบการพุ่งโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่าได้อย่างง่ายดาย โดยที่ไม่เปลืองแรงแม้แต่น้อย
หลังผ่านไปหลายครั้งหลายคราติดต่อกัน ลู่เซิ่งที่ได้สังเกตท่าโจมตีของพวกมันจนหมดแล้วก็หมดความอดทนอีกต่อไป จับแต่ละตัวฟาดกับต้นไม้จนสลบไป
เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ลู่เซิ่งก็หันตัวบินออกไป
มาถึงโลกใบนี้ได้หลายวัน เขาก็พอจะรู้คร่าวๆ แล้วว่าที่นี่คือที่ไหน
ที่นี่ต้นไม้ยักษ์สูงเทียมฟ้า ปราณวิญญาณเต็มเปี่ยมเกินกว่าจะพรรณนา สัตว์ประหลาดล้ำค่าหลากชนิดอยู่ทุกหนแห่ง เขาถึงขั้นเคยเห็นหัวกิเลนอันเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์โผล่มาแวบหนึ่งในป่าด้วย
ที่นี่ให้ความรู้สึกเหมือนกับโลกเซียนโบราณในยุครุ่งโรจน์อยู่บ้าง
“หวังว่าสถานที่ที่เส้นพิภพนำมา จะมีเบาะแสเราได้บ้าง”
ในครั้งนี้มีสิ่งหนึ่งค่อนข้างเป็นใจ นั่นก็คือ ด้วยร่างนี้ยังเด็กเกินไป ผลกรรมความปรารถนาของร่างที่เขาจุติลงมานี้ จึงเป็นเพียงการกะเทาะเปลือกและกินให้อิ่มเท่านั้น
เขากะเทาะเปลือกแล้ว ส่วนการกินให้อิ่มนั้น สำหรับเขาในตอนนี้ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
หลังจากกินผลไม้ด้านนอกไปบางส่วน ช่วงเวลาที่ลู่เซิ่งบินกลับไปก็เป็นยามบ่ายแล้ว
หลันซีกับเอินรั่วนั่งอยู่ในรังนก กกไข่อย่อย่างว่าง่าย ไข่ในรังที่เหลือยังไม่ฟัก มีเพียงลู่เซิ่งคนเดียวเท่านั้นที่ออกมาก่อนกำหนด เพราะมีปราณปฐพีหล่อเลี้ยง
“ข้ากลับมาแล้ว” ลู่เซิ่งทักทาย
“วันนี้กินอิ่มไหมลูก” หลันซีถาม
“ดีขอรับ แต่ข้าบินไกลไปหน่อย เจอนกปากหมาป่าภูเขาแดงที่อยู่ใกล้ๆ เข้า เจ้าสามตัวนั่นไม่รู้เรื่องรู้ราว ถูกข้าสั่งสอนไปยกหนึ่ง ต่อจากนี้คงไม่กล้าเข้าใกล้อีกแล้ว” ลู่เซิ่งเล่าอย่างรวบรัด
“เจ้าต้องระวังหน่อย ช่วงนี้จิ้งจอกหยกศิลาให้ความสนใจเจ้าแล้ว เผ่าของพวกมันเป็นศัตรูทางธรรมชาติกับพวกเรา มีความสามารถพิเศษที่ใช้ลดความเร็วของพวกเราได้” เอินรั่วกำชับอย่างอดเป็นห่วงลู่เซิ่งไม่ได้
“ข้าเข้าใจแล้ว” ลู่เซิ่งพยักหน้า
ภายใต้การหล่อเลี้ยงของปราณปฐพี พละกำลังของเขาในตอนนี้ถึงระดับที่มากกว่าพันชั่งแล้ว เป็นระดับที่หวาดหวั่นยิ่ง เมื่อเทียบกับพละกำลังสองร้อยชั่งของนกกระจอกอาภรณ์ครามเมื่อโตเต็มไว
เขากลับมาที่โพลงต้นไม้ใกล้ๆ เขาขุดโพลงนี้เมื่อวานซืน เขาไม่ชอบเบียดอยู่กับนกสองสามีภรรยา จึงใช้กรงเล็บขุดโพลงบนต้นไม้ขึ้น
ลู่เซิ่งขดตัวอยู่ด้านใน พร้อมกับพักผ่อนหย่อนใจ
“ถึงเวลาฝึกฝนวิชาเพิ่มความแข็งแกร่งแล้ว กฎพื้นฐานของโลกใบนี้ เราพอจะเข้าใจบ้างแล้ว มันหนาแน่นกว่าปราณวิญญาณในโลกคล้ายๆ กันที่เราเคยผ่านมามาก เป็นฉบับที่ยกระดับของโลกเทพเซียนอย่างสิ้นเชิง”
ลู่เซิ่งมีประสบการณ์ส่วนหนึ่งต่อสิ่งของอย่างปราณวิญญาณ
เมื่อค้นหาในความทรงจำสักพัก ไม่นานเขาก็เจอวิชาเพิ่มความแข็งแกร่งระดับอริยะเจ้าที่ไม่รู้ว่าบันทึกเอาไว้ตั้งแต่ตอนไหน
มันสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของกายเนื้อได้ด้วยความเร็วสูงสุด โดยผสานเลือดลมกับปราณวิญญาณ และเชื่อมโยงหยินหยางในนอก
เลือดลมกระตุ้นความแข็งแกร่งของร่างกาย ส่วนปราณวิญญาณเพิ่มศักยภาพและจิตวิญญาณเพื่อนำมาผสานกันอย่างสมบูรณ์แบบ
“โลกใบใหม่ไม่รู้ว่าเป็นระบบพื้นฐานอะไร ลองฝึกไปก่อนก็แล้วกัน ไว้คราวหน้า หลังจากเพิ่มระบบของที่นี่เข้ามา แล้วค่อยหลอมรวมและเรียนรู้อีกครั้ง”
หลังจากลู่เซิ่งเลือกวิชาได้ ก็ก้มหมอบต่ำโคจรเลือดลมอยู่ในโพรงไม้เงียบๆ พร้อมกับดูดซับปราณวิญญาณจากด้านนอก
ประสิทธิผลของการโคจรเลือดลมไม่ได้ดีไปกว่าการออกกำลังกายสักเท่าไรนก สำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว แทนที่จะโคจรเลือดลมสิบครั้ง สู้ไปวิ่งรอบสนามยังจะมีประสิทธิภาพมากกว่าอีก
แต่การโคจรเลือดลมนี้ยังมีประโยชน์มหาศาลอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือสามารถฝึกฝนเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่อวัยวะภายในได้
คำพูดที่ว่าฝึกรอบเดียวได้ทั้งภายในภายนอก ได้ฝึกทั้งเอ็น กระดูกและผิวหนัง ก็มีความหมายเช่นนี้เอง
สำหรับลู่เซิ่งแล้ว หลังจากโคจรวิชาการฝึกฝนของเขาด้วยแล้ว ประโยชน์เช่นนี้จะมีประสิทธิผลมากกว่าเดิมสิบเท่า ร้อยเท่า พันเท่า
ผ่านไปครึ่งเดือนกว่า หลังจากที่เขาเริ่มฝึกฝน ร่างกายก็ขยายใหญ่ขึ้นอีกขั้นอย่างบ้าคลั่ง
เพราะมีข้อได้เปรียบจากปราณปฐพี และไม่ต้องกังวลเรื่องขอบเขต กอปรกับที่นี่มีปราณวิญญาณเข้มข้นจนน่าสะพรึงกลัว
โพรงต้นไม้เดิมจึงไม่อาจสนองความต้องการของเขาได้อีกแล้ว
เวลานี้นกกระจอกอาภรณ์ครามที่เดิมที่ใหญ่เท่ากำปั้น ก็มีขนาดเท่าอ่างล้างหน้าแล้ว ตอนแรกหลันซีกับเอินรั่วต่างก็ตื่นตะลึงหวาดกลัว แต่ภายหลังก็เริ่มชินชา
ขณะมองลู่เซิ่งเติบใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาก็เริ่มสงสัยว่า ครั้งกระโน้นตนไปกินวัตถุฟ้าสมบัติดินอะไรเข้า แล้วสารอาหารส่งไปถึงตัวลู่เซิ่งทั้งหมดโดยไม่รู้ตัวหรือเปล่า
ถ้าไม่ใช่เพราะรูปลักษณ์ภายนอกของลู่เซิ่งยังเป็นลักษณะของนกกระจอกอาภรณ์ครามตามมาตรฐาน พวกเขาคงเริ่มเคลือบแคลงแล้วว่าอีกฝ่ายเป็นลูกพวกตนหรือไม่
หน้าตาของนกกระจอกอาภรณ์ครามนั้นเหมือนกับนกกระจอกที่ใหญ่กว่า เพียงแต่มีสีขนเป็นสีคราม และดวงตาเรืองแสงสีครามอ่อนเท่านั้น
วันเวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า ไม่นานลู่เซิ่งก็เริ่มขยายอาณาเขตออกไปไกลกว่าเดิม
เขาจำเป็นต้องสัมผัสกับระบบอารยธรรมของที่นี่ให้เร็วยิ่งขึ้น มีแต่ระบบอารยธรรมขนาดใหญ่เท่านั้น ถึงจะมีโอกาสเจอต้นไม้ยักษ์สีดำ กับดวงตาแห่งความเลวทรามที่เขาตามหา
สองสิ่งนี้เป็นกุญแจสำคัญที่เขาต้องใช้ตามหาครอบครัว
นกกระจอกอาภรณ์ครามบินได้รวดเร็วยิ่ง หนึ่งวันสามารถบินได้มากกว่าหมื่นลี้ เขาใช้รังเป็นศูนย์กลาง รัศมีหมื่นลี้นี้ คือต้นไม้ยักษ์สูงเทียมฟ้า ไม่เห็นข้อบ่งชี้ถึงผู้คนเลย
ด้วยความจนปัญญา เขาได้แต่สอบถามประสบการณ์จากหลันซีที่อยู่มาร้อยกว่าปี
“มีเผ่าพันธุ์ขนาดใหญ่ที่ติดต่อกับโลกภายนอก และพูดได้หรือไม่อย่างนั้นหรือ” หลันซีเอ่ยอย่างแปลกใจ “เรื่องนี้ข้ารู้ ทางตะวันตกมีต้นไม้ยักษ์ต้นหนึ่ง บนนั้นมีเทพอีกาทองที่ไฟลุกท่วมตัวอาศัยอยู่สิบตัว ว่ากันว่าพวกเขาคือเผ่าพันธุ์ที่ติดต่อกับโลกภายนอกเป็นนิจ”
“…อีกาทองหรือขอรับ” ลู่เซิ่งพลันงงงวย เหมือนเขาจะเข้าใจแล้วว่าตนเองมาที่ไหน
นี่มันโลกเทพนิยายชัดๆ เลยไม่ใช่หรือ
“ใช่ ยังมีสถานที่ที่ลือกันว่าไกลออกไป มีเผ่าพันธุ์ที่ถูกเรียกว่ามนุษย์ พวกเขาแบ่งเป็นกองกำลังต่างๆ มักจะก่อสงครามเข่นฆ่ากัน” เอินรั่วเสริมขึ้นจากด้านข้าง
“ก่อนหน้านี้ข้าเคยไปที่หนึ่ง ที่นั่นเรียกนกที่มีสติปัญญาอย่างพวกเราว่าปีศาจ ว่ากันว่ามีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์กับสัตว์เทพที่แข็งแกร่งจับกลุ่มกัน สร้างอุทยานปีศาจขึ้นมา! ยังมีจักรพรรดิปีศาจเรียกตัวเองว่าจักรพรรดิฟ้าด้วย!” หลันซีกล่าวพลางส่ายหน้า
“คิดดูแล้ว นั่นมันช่างเยี่ยมยอดโดยแท้! อย่างพวกเราก็เป็นได้แค่ปีศาจน้อยเท่านั้น มีแต่หงส์ไฟสัตว์เทพตัวนั้นที่อยู่แถวนี้ที่อาจจะนับเป็นตัวละครตัวหนึ่ง” หลันซีเผยสีหน้าใฝ่ฝัน
“สัตว์เทพหงส์ไฟหรือขอรับ ใกล้ๆ นี้มีอะไรแบบนี้อยู่ด้วยหรือ” ลู่เซิ่งงงงัน
“ถูกต้อง จะว่าไป บรรพบุรุษของเราก็มีสายเลือดหงส์ไฟเช่นกัน แต่พอมาถึงรุ่นเรา ก็อ่อนแอลงไม่รู้ตั้งเท่าไร เหลือแค่เนตรวิเศษที่พอจะมีประโยชน์เท่านั้น” เอินรั่วอธิบายด้วยรอยยิ้ม
“จริงหรือขอรับ” ลู่เซิ่งนึกถึงสิ่งเจือปนทางสายเลือดที่เขาพบเมื่อก่อนหน้านี้โดยไม่ได้ตั้งใจ ของสิ่งนั้นเหมือนจะพ่นไอร้อนได้ แต่ถูกเขาขจัดไปในฐานะสิ่งเจือปน หรือว่าของสิ่งนั้นจะเป็นสายเลือดหงส์ไฟที่ว่า
“หงส์ไฟร้ายกาจขนาดไหนหรือขอรับ” เขาถามอีก
“ไม่รู้สิ…ถึงอย่างไรก็แข็งแกร่งมากๆ” นกกระจอกอาภรณ์ครามไม่ค่อยเข้าใจสองเรื่องนี้มากนัก
ลู่เซิ่งถามต่ออีกหน่อย แต่ก็ไม่ได้ความอะไร
เช้าตรู่วันต่อไป ลู่เซิ่งบินวนอยู่รอบหนึ่ง กินจนอิ่มแปล้ จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังเนินเขาสีขาวที่จิ้งจอกหยกศิลา เผ่าพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดในละแวกนี้อาศัยอยู่
ระหว่างเนินสีขาวทอดสลับสูงต่ำ
ลู่เซิ่งกระพือปีกทิ้งตัวลงด้านหน้าเนินเขาแห่งหนึ่งที่ใหญ่ที่สุด
เวลานี้ถ้าเขายืดตัวตรง จะสูงเท่าครึ่งคน เมื่อเขาใช้เนตรวิเศษเรืองแสงครามของนกกระเรียนอาภรณ์ครามออกมา กลับชวนให้เขาสัมผัสได้ถึงความลี้ลับน่าเกรงขามเกินกว่าจะบรรยาย
ด้านข้างเนินเขามีประตูศิลาสีขาวที่สูงเท่าสองคนครึ่งอ้าแง้มอยู่ เผยให้เห็นจิ้งจอกสีขาวสูงเท่าเอวคนตัวหนึ่งเดินออกมจากประตูอย่างเชื่องช้า
จ้องมองตาเรืองแสงในความมืดสลัว ให้ความรู้สึกเจ้าเล่ห์เพทุบายยิ่งนัก
ขณะเดียวกัน ในเนินรอบๆ ก็มีดวงตาจิ้งจอกสีเขียวอึมครึมหลายคู่สลับกันสว่างขึ้นเช่นกัน ดวงตาทั้งหมดจ้องมองลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งกวาดตามองรอบๆ ด้วยสีหน้านิ่งเฉย
“เอาตัวที่พูดได้มา” เขาส่งเสียง แม้เสียงที่เปล่งออกไปจะเป็นเสียงร้องของนก แต่เขารู้ว่าจิ้งจอกพวกนี้เข้าใจ
ในช่วงเวลานี้เขาออกหาอาหารไปทั่ว ใช่ว่าไม่เคยเจอจิ้งจอกเหล่านี้ เพียงแต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้พูดคุยกันตรงๆ
จิ้งจอกทั้งฝูงย่อมเคยเห็นนกกระจอกอาภรณ์ครามลู่เซิ่งมาก่อน ตอนแรกพวกเขามีความคิดที่จะล่าลู่เซิ่ง แต่ต่อมา หลังจากลู่เซิ่งตัวโตขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาส่วนใหญ่ก็ยอมแพ้ไป
เพียงแต่อยู่ๆ ตอนนี้ลู่เซิ่งมาถึงประตูบ้านพวกเขา ไม่รู้ว่าวางแผนอะไรไว้
ไม่นานนัก จิ้งจอกสีเทาแซมขาวเก้าหางก็ค่อยๆ เดินออกมาจากเนินเขา
“ข้าน้อยชิงย่วน เป็นประมุขเนินจิ้งจอก ขอเรียนถามว่าคุณชายลู่มาทำอะไรอย่างนั้นหรือ” จิ้งจอกเอ่ยด้วยเสียงสตรีบริสุทธิ์ นุ่มนวลน่ารัก ไพเราะยิ่ง
ลู่เซิ่งหรี่ตา อีกฝ่ายถึงกับรู้ชื่อเขา
“จิ้งจอกเก้าหาง เรียกข้าว่าคุณชาย ดูเหมือนท่านจะมีการติดต่อกับมนุษย์กระมัง”
จิ้งจอกเก้าหางหัวเราะคำหนึ่ง
“เป็นอย่างที่ว่าจริงๆ สามสิบกว่าปีก่อน ข้าเคยรับใช้จอมเวทคนหนึ่งจากเผ่ามนุษย์ร่วมกับพี่สาวน้องสาว”
“เคยรับใช้จอมเวทหรือ” ลู่เซิ่งพลันเข้าใจ ครั้งนี้มาถูกที่แล้วจริงๆ
“อย่างนั้น ข้าอยากทำการแลกเปลี่ยนกับเผ่าเจ้า” เขากล่าวเสียงกังวาน
“แลกเปลี่ยนหรือ เช่นนั้นต้องดูว่าท่านมีคุณสมบัติหรือไม่”
ทันใดนั้นพลันมีเสียงลมพุ่งมาจากด้านหลังลู่เซิ่ง ขณะเดียวกันสนามพลังเหนียวหนืดสายหนึ่งก็ครอบคลุมตัวเขาไว้ เหมือนกับสกัดการเคลื่อนไหวทั้งหมดของเขา
แทบจะเป็นในเวลาเดียวกัน รอบๆ มีเงาจิ้งจอกสิบกว่าสายลอยขึ้นมา กระโจนใส่ลู่เซิ่งดุจสายฟ้าฟาด พลังพิเศษลดความเร็วสิบกว่าสายถูกใช้ตรึงร่างของเขา
ฟ้าว!
ประกายเย็นเยียบสีเงินจุดหนึ่งปรากฏขึ้น
ลู่เซิ่งชักมือกลับดุจสายฟ้าฟาด ปลายปีกขวาที่คมกริบราวกับมีดพลันมีเลือดหยดลงมา
จิ้งจอกหยกศิลาสิบกว่าตัวพากันล้มลงกับพื้น เลือดสาดกระจาย หมดลมหายใจ
“ข้ารู้มานานแล้วว่า การแลกเปลี่ยน เป็นสิ่งที่ไม่ต้องจ่ายเงินก็ได้…” ลู่เซิ่งเดินย่างเข้าหาจิ้งจอกเก้าหาง
“เหมือนเช่นในตอนนี้”
จิ้งจอกเก้าหางพลันสีหน้าเปลี่ยนไป
……………………………………….