ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 903 ข่มขวัญ (1)
“ขน คือต้นเหตุที่ขัดขวางไม่ให้พวกเราวิวัฒนาการ!” ลู่เซิ่งยืนขึ้นกล่าวเสียงดัง
“การถอนขนจะทำให้พละกำลังเพิ่มขึ้น สติปัญญาปลอดโปร่งขึ้น ทำให้พวกเราวิวัฒนาการ! กลมกลืนกับธรรมชาติยิ่งกว่าเดิม!” กล่าวจบลู่เซิ่งกางก็ปีกขน
“พวกเจ้า”
“พวกเจ้า!”
“พวกเจ้า!”
เขาชี้เหล่าวิหคที่บนตัวพวกเขาต่างก็ยังมีขนทั้งหมด
“เป็นเพราะมีขน ถึงได้มีสภาพเช่นนี้”
“และตอนนี้!” เขาหุบปีก ชี้ไปยังเกาหนีที่อยู่เบื้องหลังตน
เกาหนี นกหลงฝูงที่ลู่เซิ่งเคยช่วยไว้ เวลานี้ไร้ขน ปีกและขามีก้อนกล้ามเนื้อที่เหมือนเนื้องอกเต็มไปหมด นอกจากขนสีดำหย่อมหนึ่งกลางอกซึ่งเป็นความหมายทางสัญลักษณ์ ส่วนที่เหลือคือผิวเป็นเกล็ดแข็งแกร่งดุจโลหะทั้งสิ้น
และสิ่งที่สร้างความอิจฉาตาร้อนให้แก่เหล่าวิหคก็คือ หนามแหลมคมกริบที่อยู่บนหลังและหางอย่างแน่นขนัด เพียงดูด้วยตาก็รู้ว่าอาบไปด้วยพิษตัวฉกาจ ดูทรงพลังยิ่ง
“เกาหนี! เคยเป็นเพียงหมูตัวน้อยต่ำต้อย แต่ด้วยชะตาฟ้าลิขิตทำให้เขาเจอข้า” ลู่เซิ่งชี้ไปที่เกาหนีกล่าวเสียงดัง
“ดังนั้น ข้าจึงตอบสนองความปรารถนาของเขา ทำให้เขาได้รับพลังที่โบยบินสู่ฟากฟ้า!”
“และ ณ บัดนี้ เขายินดีกลายเป็นนก!”
“นี่คือพลังแห่งปณิธาน!” น้ำเสียงของลู่เซิ่งเต็มไปด้วยความยั่วยวนฮึกเหิมอย่างแรงกล้า
“และตอนนี้ ข้าขอเป็นตัวแทนพวกเจ้าขจัดอุปสรรค! ปลดปล่อยตัวเองเป็นอิสระ!” น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยแรงดึงดูด นี่เป็นผลของวิชาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในปัจจุบัน โปรยเสน่ห์!
ลู่เซิ่งอธิบาย บอกว่าเหล่าวิหคต้องสูญเสียความทะเยอทะยานต่อท้องฟ้าและหยุดย้ำอยู่กับที่เพราะเส้นขน
เดิมทีมีแต่นกภายในฝ่ายเนินเขาขาวเท่านั้นที่มาฟัง แต่เมื่อเวลาผ่านไป ก็มีนกพากันตั้งวงล้อมฟังมากขึ้นเรื่อยๆ
ถึงขั้นมีอินทรีและเหยี่ยวที่เป็นเผ่าพันธุ์ใหญ่ๆ ต่างเริ่มจ้องมองมาทาง
เกล็ดของเกาหนีเป็นเกราะหนังแข็งแกร่งทนทาน ฟันแหลมและหนามบนร่างเขา อาบด้วยพิษจากต้นยางน่อง กล้ามเนื้อบนตัวเขาเต็มไปด้วยพละกำลังพร้อมที่จะระเบิดทุกเมื่อ
ตอนแรกเขาเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตแสนธรรมดาสามัญ พอได้รับการเสริมความแข็งแกร่งจากลู่เซิ่ง พลังต่อสู้ก็บรรลุถึงจุดสูงสุดของระดับหลอมปราณ!
เนื้อเยื่อของร่างหลักลู่เซิ่งมีฤทธิ์กัดกร่อนและคุณสมบัติขยับขยายที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเมื่อก่อน
การกล่าวสุนทรพจน์ของลู่เซิ่ง บวกกับการปรากฏตัวของเกาหนี ทำให้สัตว์ไม่น้อยเกิดความหวั่นไหว
โดยเฉพาะเหล่านกยักษ์ที่เดินออกมาทีหลัง นกยักษ์พวกนี้มีลักษณะดุร้ายเหี้ยมหาญ เต็มไปด้วยความงดงามของพลังดึกดำบรรพ์ป่าเถื่อน
ด้วยการโปรยเสน่ห์ของเขา ไม่นานก็มีสัตว์จำนวนไม่น้อยทยอยเข้าร่วมกับเนินเขาขาวภายใต้สังกัดของลู่เซิ่ง เริ่มเข้าสู่เส้นทางเปลี่ยนร่าง
จากนั้น นกยักษ์เหี้ยมหาญดุร้ายขนาดร่างมหึมาหลายตัว ก็เดินออกจากเนินเขาขาว กระจายกันออกไป
ในหมู่พวกมัน มีทั้งเปลี่ยนเป็นแรด หมูป่า ลิง นกหัวขวาน กระทิง รวมไปถึงช้าง!
แต่ไม่ว่าพวกมันจะเป็นอะไรมาก่อน นกทั้งหมดต่างมีกายเนื้อแข็งแกร่งเหมือนกันทั้งสิ้น
สิ่งที่แตกต่างกันเพียงหนึ่งเดียว คือหัวพวกมันยังเป็นหัวของสัตว์ชนิดต่างๆ อยู่ รวมถึงส่วนต่างๆ บนตัวก็มีลักษณะเด่นของนกยักษ์คล้ายกับเกาหนีทั้งสิ้น
พละกำลังของพวกมันเพิ่มขึ้นสิบกว่าเท่า น้อยที่สุดเพิ่มขึ้นสามเท่า ทรงพลังทั้งสิ้น ดาบหอกไม่อาจฟันแทงเกราะเกล็ดเข้าได้ บุกตะลุยไปทั่วพงไพรไร้ซึ่งความเกรงกลัวกว่าที่เคย
หลังจากนั้นนกยักษ์บางส่วนที่ขัดแย้งกับผู้เข้มแข็งในเผ่าพันธุ์ดั้งเดิม ก็ได้พัฒนาวิธีการใช้ขาต่อสู้ขึ้น พวกมันมีกล้ามท้องแปดก้อนงดงาม พวกมันถูกเรียกว่าสายกรงเล็บเทพ
นกยักษ์อีกส่วนชอบใช้วิธีพุ่งชนเพื่อชนะในโจมตีครั้งเดียว ตอนสู้กับเผ่าพันธุ์อื่นๆ นกยักษ์กลุ่มนี้มีพลังแขนขาแข็งแกร่งสุดเปรียบปาน พวกมันถูกเรียกว่าสายปฐพี
ไม่นาน สองสายก็มารวมตัวกัน ก่อตั้งเป็นลัทธิประหลาด ชื่อลัทธิแสงสว่างภายใต้การนำของลู่เซิ่ง
ผู้มีแสงสว่าง หมายถึง จิตที่ไร้แสงสว่างแต่ยังตระหนักรู้
ลู่เซิ่งเป็นเจ้าลัทธิ มีสามโลกบาล สี่ธรรมบาล จากนั้นเป็นสำนักใหญ่สองสาย มียอดฝีมือวิหคยักษ์มากมายดุจหมู่เมฆ
ลัทธิเพิ่งก่อตั้งขึ้น ในช่วงสร้างรากฐานก็มีสิ่งมีชีวิตแข็งแกร่งมาสวามิภักดิ์ หลังจากถูกลู่เซิ่งปรับเปลี่ยน พลังก็ต่างทวีเพิ่มขึ้น จนภายหลังมีพลังทำลายล้างอยู่ในระดับสูงสุดของขั้นสร้างรากฐาน
เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า เมื่อการปรับเปลี่ยนของลู่เซิ่งเห็นผลเพิ่มขึ้น แม้แต่ราชาปีศาจในระดับแก่นทองคำตัวหนึ่งก็มาขอลอง ถึงกับสามารถยกระดับพลังได้เกือบครึ่ง จึงยิ่งกระตุ้นราชาปีศาจจากเผ่าพันธุ์ทั้งหมดในป่า
ไม่นานนัก ราชาปีศาจจากเผ่าต่างๆ ก็พากันมุ่งหน้ามาที่นี่ บางส่วนยังคงสงวนท่าที ส่งของขวัญเชื้อเชิญมาก่อน แล้วค่อยมาเยี่ยมเยือน พูดจาดูเชิงดึงเวลาไปเรื่อยๆ
ส่วนพวกใจร้อน ก็พากันมาทั้งเผ่าพันธุ์เข้าร่วมกับเนินเขาขาว ซึ่งข้อแลกเปลี่ยนก็คือช่วยยกระดับพลังให้พวกมัน
ลู่เซิ่งไม่สนว่าจะเป็นพวกไหน ใครมาต่างก็ไม่ปฏิเสธทั้งสิ้น
เขาแจกจ่ายเลือดที่มีเนื้อเยื่อของตัวเองออกไป เผ่าพันธุ์ที่ได้รับจึงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากราชาปีศาจแก่นทองคำหลายตัวได้รับการยกระดับจนมีพลังต่อสู้เพิ่มขึ้นเกือบครึ่ง ขุมกำลังของลู่เซิ่งก็เหมือนกับลูกหิมะกลิ้งที่ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นตกตะลึง
ในเวลาเพียงแค่ครึ่งเดือน สมาชิกของลัทธิแสงสว่างก็ทะลุหลายพันตัวแล้ว
ปริมาณอาหารที่นกยักษ์หลายพันตัวต้องการเป็นเรื่องน่าหวาดหวั่นยิ่ง จนมันต้องรุกรานถิ่นเผ่าพันธุ์อื่น
ดังนั้น ความขัดแย้งจึงอุบัติขึ้นอย่างไม่น่าแปลกใจ
…
ฝูงหมาป่าเกล็ดหิมะวิ่งกระโดดเหยียบย้ำรากไม้ สายตาต่างจับจ้องไปในพุ่มเถาวัลย์รกครึ้มตรงทิศตะวันออก
“ที่นี่คือถิ่นล่าของเผ่าหมาป่าเกล็ดหิมะ! ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร! จงไสหัวไปเสีย!” หมาป่าเกล็ดหิมะสีขาวร่างใหญ่ที่สุดกล่าวด้วยเสียงอันดัง
ทันใดนั้นพุ่มไม้พลันส่งเสียงสวบสาบ
ไม่นาน กระต่ายขาวตัวน้อยสีขาวหิมะตัวหนึ่ง มุดออกมาจากพุ่มไม้เงียบๆ เหลียวมองหมาป่าเกล็ดหิมะที่อยู่ล้อมรอบ
“อะไรกัน ที่แท้ก็แค่กระต่ายขาวตัวเดียวเองนี่” หมาป่าเกล็ดหิมะตัวหนึ่งโล่งใจ อกสั่นขวัญเสียไปหมดเพราะท่าทางเมื่อครู่ของจ่าฝูง
แต่เอ่ยไม่ทันสิ้นเสียง ก็เห็นกระต่ายขาวตัวน้อยค่อยๆ ก้าวมาด้านหน้า เผยร่างสีดำบิดเบี้ยวล่ำสันขนาดใหญ่โตที่เชื่อมอยู่เบื้องหลัง
นั่นมันไม่ใช่กระต่ายขาว แต่เป็นนกยักษ์จากเนินเขาขาวที่มีหัวเป็นกระต่ายต่างหาก!
ร่างสูงโอฬารกว่าห้าหมี่ของนกหัวกระต่ายยืดตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ก้าวเท้าออกมาด้านหน้าดังโครม
พื้นดินสั่นไหว แมลงต่างๆ ทีเดิมที่ซ่อนตัวในดินโคลนแถวนี้ ต่างถูกแรงกระแทกรุนแรงบีบให้โผล่ออกมา ก่อนจะรีบวิ่งเผ่นออกไป
“อึก...!” หมาป่าเกล็ดหิมะตัวหนึ่งกลืนน้ำลาย ก้าวถอยหลัง
“ยินดีที่ได้รู้จักทุกท่าน” นกหัวกระต่ายฉีกยิ้มแปลกประหลาด “แม้จะเสียดายมาก แต่ข้าต้องขอบอกพวกท่านว่า บึงน้ำของที่นี่ ลัทธิแสงสว่างของพวกเราขอเหมา”
“มีสิทธิ์อะไร!?” หมาป่าเกล็ดหิมะตัวหนึ่งแยกเขี้ยวร้องคำรามต่ำ
เปรี้ยง!
ทันใดนั้น นกหัวกระต่ายพุ่งไปด้านหน้า ฟาดปีกขวาใส่ร่างหมาป่าหิมะตัวนั้นดุจพายุอย่างดุดัน
เกิดเสียงดังปั่ก หมาป่าเกล็ดหิมะที่คำรามเป็นตัวแรกถูกฟาดจนกระอักเลือด กลิ้งออกไปกว่าสิบตลบ ก่อนจะแน่นิ่งไป
บรรยากาศกดดันถึงขีดสุด
นกหัวกระต่ายหัวเราะเสียงต่ำ
“พวกเจ้า…เข้ามาพร้อมกันเลย!” มันยื่นปีกข้างหนึ่งออกมาชี้หมาป่าเกล็ดหิมะทั้งหมดอย่างดูแคลน
“ขย้ำมันซะ!”
ฟิ้วๆๆๆ!
ทันใดนั้นมีเงาดำหลายสายพุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้า โถมตัวเข้าใส่นกหัวกระต่ายตรงหน้า
แต่เพียงแค่พริบตาเดียว เงาดำหลายสายก็ถูกพละกำลังมหาศาลดีดสะท้อนปลิวออกไป ชนเข้ากับต้นไม้ ก่อนจะร่วงกราวลงมา
…
“หลายคนคิดว่า นกมีพละกำลังอ่อนแอกว่าสัตว์สี่ขา แต่นี่เป็นข้อดีและข้อเสียของร่างกายโดยกำเนิด ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้” ลู่เซิ่งนั่งอยู่ในถ้ำ เบื้อหน้าเขามีหัวหน้าเผ่าระดับสูงในลัทธิแสงสว่างนั่งอยู่สิบกว่าตัว
พวกมันทุกตัวต่างเป็นราชาปีศาจจากเผ่าพันธุ์เล็กๆ ที่อยู่ละแวกนี้
และในเวลานี้ พวกมันต่างนั่งอยู่ในถ้ำลู่เซิ่งอย่างว่าง่าย รับฟังมหามรรคาประสบการณ์ที่เขาถ่ายทอดให้ เพื่อแสวงหาความแข็งแกร่ง
“แต่ความคิดนี้มันเป็นการมองด้านเดียวเกินไป!” เสียงลู่เซิ่งกดต่ำลง
“ข้าศึกษาวิจัยอย่างพากเพียรมาหลายปี ไม่นานก็เข้าใจกุญแจสำคัญของเรื่องนี้แล้ว”
เขากวาดตามองราชาปีศาจทั้งหมด
ราชาปีศาจที่ว่า ฟังดูน่าเกรงขาม ความจริงไม่ต่างจากราชาจากประเทศต่างๆ เท่าไรนัก ทุกคนต่างเป็นราชา แต่ว่าในแต่ละประเทศนั่นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ราชาปีศาจที่นั่งอยู่ตรงนี้ ที่แข็งแกร่งที่สุดคือระดับแก่นทองคำตอนปลาย ที่อ่อนแอที่สุดอยู่ที่ระดับสร้างรากฐาน
แต่พวกเขาก็เป็นตัวแทนเผ่าพันธุ์ต่างๆ ดังนั้นลู่เซิ่งจึงให้พวกเขาฟังสุนทรพจน์อยู่ในถ้ำเนินเขาขาวอย่างเท่าเทียม
สุนทรพจน์ของเขาเต็มไปด้วยความเข้าใจของเขาต่อกฎพื้นฐานของโลกในปัจจุบัน แม้จะไร้ระเบียบไม่มีหัวข้อ แต่สำหรับเผ่าพันธุ์สัตว์ที่ยังไม่เปิดสติปัญญาเหล่านี้ ถือว่าเป็นบุญกุศลอันยิ่งใหญ่แล้ว
อย่างไรขอบเขตของเขาก็อยู่ตรงนั้น จากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ ดั่งน้ำไหลจากหลังคาลงมาตามกระเบื้อง ทำให้ได้รับคำตอบที่ถูกต้องได้ง่ายกว่าเดิม
“นกมีข้อได้เปรียบที่สัตว์ชนิดอื่นไม่อาจเลียนแบบได้ นั่นก็คือท้องฟ้า พวกเราละทิ้งการวิ่งบนผืนดิน เปลี่ยนเป็นการพุ่งสู่ท้องนภา ทำให้กะโหลกของพวกเรากลวงเปล่า เปลี่ยนแปลงได้ง่ายกว่าเดิม ทำให้ผิวของพวกเรางอกเส้นขน ทำให้ร่อนลมได้ดีกว่าเดิม”
เสียงของลู่เซิ่งทุ้มต่ำลง
“แต่เหตุใดข้าถึงบอกว่าเส้นขนเป็นภาระ นั่นก็เพราะ พวกเจ้าก็เห็นว่ามีนกตั้งมากมาย แต่จะมีสักกี่ตัวที่พึ่งพาอาศัยเส้นขน บินอยู่บนท้องฟ้าตลอดเวลาบ้าง บางทีพวกเจ้าอาจไม่เคยนึกถึงจุดที่สูงกว่านี้มาก่อน พวกเราเป็นราชาแห่งการโบยบินกลางท้องฟ้า แต่สัตว์ร้ายบางส่วนบนบกกลับมีพละกำลังไร้เทียมทานเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย และในจุดที่สูงกว่าเดิม เส้นขนเป็นเพียงภาระที่ไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย”
ลู่เซิ่งยื่นปีกชี้ออกไปที่นกไร้ขนสองตัวทางขวามือ พวกมันพลันอุ้มอ่างที่บรรจุน้ำสีแดงอ่อนเข้ามา
“ตอนนี้ข้าเจอวิธีการชดเชยแล้ว พละกำลัง ไม่ควรถูกละทิ้ง” ลู่เซิ่งกล่าวเสียงดัง “ดื่มตัวละอึก จากนั้นทุกคนก็จะกลายเป็นพี่น้อง! ไม่มีการแบ่งแยกอีก!”
“ขอแค่ละทิ้งขน พวกเราล้วนเป็นพี่น้อง!”
“ไร้ขนคือคุณธรรม”
“ขนเยอะคือต้นตอของความชั่วร้ายทั้งมวล ไร้ขนไม่ได้หมายถึงละทิ้งการบิน เป็นเพราะพวกเรามุ่งหน้าไปยังที่สูงกว่าเดิม!”
“แกว๊ก!”
ราชาปีศาจจากเผ่าพันธุ์นกพากันร้องรับก้องกังวาน พากันกรูเข้ามาดื่มน้ำ
ลู่เซิ่งนั่งเงียบๆ อยู่ที่เดิม หัวหน้าเผ่าราชาปีศาจจากเผ่าวิหคที่เคยดื่มน้ำทุกตัว จะมีนกไร้ขนที่รออยู่ก่อน พาไปพักผ่อนที่อีกถ้ำ
เพียงแต่หลังจากราชาปีศาจหัวหน้าเผ่าจากไปทีละตัว ถ้ำที่เดิมทีเบียดเสียดตอนนี้เหลือเพียงราชาปีศาจตัวเดียว
เงาร่างสวมอาภรณ์ปีกสีแดงสูงชะลูด สวมหน้ากากโลหะดุร้าย นั่งอยู่ตรงมุมหนึ่งในถ้ำอย่างสงบ
ตำแหน่งที่เขานั่งไม่ใช่จุดโดดเด่นสะดุดตา
เมื่อนกทั้งหมดจากไป ลู่เซิ่งจึงเพิ่งเห็นว่า มีแต่เจ้าตัวนี้เท่านั้นที่ไม่ได้ดำดิ่งไปกับบรรยากาศการบรรยายของเขา
……………………………………….