ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 905 สายเลือด (1)
บรรพชนหงอวิ๋น หรือร่างแยกอีกร่างของเขา ตอนแรกเพียงแค่เดินผ่านแถวเนินเขาขาวเท่านั้น สุดท้ายกลับพักอยู่ที่นี่สิบกว่าวันเต็มๆ
ลู่เซิ่งขอให้เขาช่วยคุ้มครองลัทธิแสงสว่างอย่างไม่เกรงใจ ส่วนเจ้าตัวนั้นก็เข้าไปกักตนในถ้ำใต้ดิน
พึงทราบว่า ช่วงเวลานี้เขาไม่ได้เสียเวลาไปเปล่าๆ หลังจากรวบรวมเผ่าพันธุ์ปีศาจได้มากมาย เขาก็ได้แอบบันทึกการฝึกฝนที่ไร้ระเบียบมากมายไว้อีกด้วย
ถึงแม้ในหลายๆ วิชาจะไม่อาจใช้ได้เพราะคุณสมบัติร่างกายที่แตกต่าง แต่ด้วยระดับขอบเขตของลู่เซิ่งแล้ว เมื่อเอามารวมกันเพื่อปรับปรุงวิชาหลักของเขาในตอนนี้ ก็ไม่นับว่าเป็นปัญหาอะไร
ดังนั้นลู่เซิ่งจึงอาศัยโอกาสที่มีบรรพชนหงอวิ๋นคอยคุ้มครองนี้ เริ่มกักตน
หงอวิ๋นช่างสมกับฉายาพ่อพระจริงๆ แม้หลังจากเข้าใจหลักการลัทธิของลู่เซิ่งอย่างแท้จริงแล้วจะรู้สึกว่าเหลวไหลอยู่บ้างก็ตาม แต่ในเมื่อตกปากรับคำแล้ว เขาก็ทำดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
ลู่เซิ่งเริ่มกักตนไปแล้ว หงอวิ๋นก็นำสมบัติส่วนตัวออกมาแจกจ่ายเมฆาเบิกปัญญาให้แก่สมาชิกระดับสูงมากมายในลิทธิแสงสว่าง
ซึ่งเมฆาเบิกปัญญานี้เป็นพลังพิเศษที่หงอวิ๋นครอบครองแต่เพียงผู้เดียว สามารถขจัดพันธนาการหลังจากกำเนิดให้แก่สิ่งมีชีวิตธรรมดาเป็นการชั่วคราว แล้วเปลี่ยนแปลงกายเนื้อที่เจริญเติบโต สร้างขึ้นใหม่อีกครั้ง
นกยักษ์จำนวนไม่น้อยที่เดิมทีฝึกฝนสำเร็จจนไม่อาจพัฒนาไปได้มากกว่านี้แล้ว ก็เริ่มสามารถผลัดเอ็นเปลี่ยนกระดูกภายนอกได้ด้วยอิทธิฤทธิ์ของเมฆาเบิกปัญญานี้
กอปรกับนกนั้นเป็นตัวตนที่อยู่ใกล้กับเมฆมากที่สุด พวกเขาจึงให้ความเคารพหงอวิ๋นอย่างยิ่ง ไม่ใช่เพียงเพราะความแตกต่างด้านพลังเท่านั้น
หลายครั้งที่มีนกยักษ์ในลัทธิแสงสว่างได้รับบาดเจ็บ หงอวิ๋นจะช่วยรักษาด้วยตัวเอง ในตอนที่ลู่เซิ่งไม่อยู่ ระดับความดีความชอบของเขาได้ไต่ระดับไปถึงอันดับสองของลัทธิแสงสว่าง
ส่วนลู่เซิ่ง หลังจากจัดระเบียบข้อมูลหลายวัน ก็เริ่มเรียนรู้วิชาทั้งหมด
…
“รายงาน! บรรพชนหงอวิ๋น! เขตปกครองราชาปีศาจหลันเหอปรากฎร่องรอยมนุษย์ขอรับ ดูเหมือนจะมีจอมเวทนำกลุ่มมาล่าอาหาร”
ในถ้ำใต้ดิน หงอวิ๋นเพิ่งวางตำรา กำลังจะลุกขึ้น ก็เห็นปีศาจนกน้อยส่งเสียงตะโกนพุ่งเข้ามามาจากด้านนอก
“ราชาปีศาจหลันเหอหรือ” ช่วงนี้หงอวิ๋นได้จัดระเบียบขุมกำลังของลู่เซิ่ง จึงทราบว่าขุมกำลังหลักของลัทธิแสงสว่างในตอนนี้คือราชาปีศาจห้าตน แม้ราชาปีศาจที่ว่าจะมีมากมาย แต่ราชาปีศาจที่มีพลังอยู่ในระดับแก่นทองคำ ก็มีเพียงห้าตนนี้เท่านั้น
พวกเขายกย่องลู่เซิ่งเป็นพระพุทธมหาแสงสว่าง ห้าราชาปีศาจ สามโลกบาล สี่ธรรมาบาล เคียงบ่าเคียงไหล่กัน
ในทางหนึ่งคล้ายระบบมหาราชา ทางหนึ่งเป็นระบบศาสนา ทั้งสองฝั่งขึ้นตรงต่อลู่เซิ่ง ไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกัน
ห้าจอมราชาปีศาจมีเผ่าในสังกัดนับหลายหมื่น พลังเหี้ยมหาญ ถือเป็นผู้ยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะหลังจากได้รับการถ่ายทอดจากลู่เซิ่ง พลังก็ยิ่งเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม พลังเช่นนี้ไม่น่ามีใครมาหาเรื่องได้กระมัง
“แต่ในเมื่อเป็นจอมเวท ก็ยุ่งยากเข้าแล้วสิ…” หงอวิ๋นได้ยินรายงานก็ขมวดคิ้วน้อยๆ
“ขอเรียนถามบรรพชน จอมเวทคืออะไร…” นกไร้ขนร่างผอมซูบนั่งอยู่ด้านข้างตัวหนึ่ง ชื่อว่าหมิงจ้าว เป็นนกพลัดหลงฝูง ลู่เซิ่งได้รับมันไว้เพราะหัวไว กอปรกับพลังเพิ่มเร็วสุดขีด จึงกลายเป็นหนึ่งในสามโลกบาลคุ้มกันลัทธิระดับสูงของลัทธิแสงสว่าง
“จอมเวท…” หงอวิ๋นถอนใจ ก่อนจะอธิบาย “ใต้ฟ้าดินนี้ พวกเจ้าต้องรู้ไว้ว่า ไม่ได้มีเพียงเผ่าปีศาจเท่านั้น แต่ยังมีสิ่งมีชีวิตอื่นที่ชื่อว่ามนุษย์อยู่ด้วย”
“ขอรับ ข้าเคยเห็นมนุษย์มาก่อน แต่พวกมนุษย์นั้นอ่อนแอถึงที่สุด ต่อให้นำมาเป็นอาหารก็ยังไม่พอยัดร่องฟันเสียด้วยซ้ำ…” หมิงจ้าวกล่าวอย่างสงสัย “ดังนั้นข้าเลยไม่เคยให้ความสำคัญอะไร ทำไมหรือท่านบรรพชน หรือว่าครั้งนี้จะเกี่ยวข้องกับพวกมนุษย์จริงๆ”
หงอวิ๋นพยักหน้า
“จอมเวท เป็นผู้เข้มแข็งพิเศษ ที่เชื่อมโยงกับฟ้าดินธรรมชาติ หลอมรวมกับสายเลือดของบรรพชนเวท พวกเขาคือผู้นำของมนุษย์ ขณะเดียวกันก็มีความเกี่ยวข้องกับบรรพชนเวทด้วย”
“บรรพชนเวทหรือ” หมิงจ้าวไม่เข้าใจ
“นั่นคือทายาทสิบสองคนของผานกู่ที่เคยเบิกฟ้าผ่าดิน พลังแข็งแกร่งไม่อาจหาที่ใดเปรียบได้ กล่าวได้ว่าหากไม่ใช่ผู้วิเศษก็ไม่มีทางสู้ได้ เมื่อทั้งสิบสองคนร่วมมือกัน ก็เทียบเคียงได้กับผู้วิเศษที่สมบูรณ์คนหนึ่ง” หงอวิ๋นถอนใจ
“หา!? เช่นนั้นไม่ใช่ว่าพวกเราเจอปัญหาเข้าแล้วหรือขอรับ!?” หมิงจ้าวพลันตื่นตระหนก
“ใจเย็นๆ ไม่ได้ลำบากอะไรนักหรอก ถึงจอมเวทจะเกี่ยวโยงกับบรรพชนเวทก็จริง แต่บรรพชนเวทก็ทิ้งสายเลือดไว้มากมายเกินไป บนแผ่นดินมีมนุษย์มากมายเหลือคณานับ เผ่าพันธุ์มนุษย์แต่ละเผ่าพันธุ์ย่อมมีจอมเวทหนึ่งคนรับตำแหน่งเซ่นสรวงและเชื่อมโยงธรรมชาติ”
“ดังนั้นจึงมีจอมเวทมากหน้าหลายตา ทั้งยังต้องดูถึงพลังอีกด้วย ไม่ใช่แค่เป็นจอมเวท แล้วจะต้องแข็งแกร่งซะเมื่อไร แท้จริงก็เหมือนกับราชาปีศาจ เป็นคำเรียกทั่วไปเท่านั้น”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้…แต่ต่อให้เป็นอย่างนี้ การเข้าไปข้องเกี่ยวกับขุมกำลังระดับนี้ก็ยัง…”
หมิงจ้าวฟังจบก็สงบลงเล็กน้อย แต่ยังคงกังวลอยู่บ้าง
“ไปสืบมาว่าจอมเวทผู้นั้นมาจากเผ่าใด” หงอวิ๋นครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะออกคำสั่งปีศาจนกที่เฝ้าประตู
“ขอรับ” นกน้อยวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
“แต่ละเผ่าพันธุ์มีความแตกต่างกันมากหรือขอรับ” จ้าวหมิงถามเบาๆ
“ต่างกันโขเลยละ บางเผ่าถึงขั้นมีแก่นปีศาจหรือไม่มีแก่นปีศาจเลยทีเดียว” หงอวิ๋นพยักหน้า เป็นเพราะเขามีสหายมากมาย จึงเรียนรู้มาหลายภาษาสามารถสื่อสารกับปีศาจนกได้อย่างเป็นปกติ หากเป็นคนอื่น คงไม่รู้ว่าปีศาจนกกลุ่มนี้ร้องจิ๊บๆ ทำอะไรอยู่
ทั้งสองรออยู่ในถ้ำสักพัก ไม่นานนกประหลาดผิวขาวมีหูสี่ข้าง เอ่อร์เหวินหนึ่งในสามโลกบาล ก็เข้ามาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
“ข้าได้ยินว่า คนกลุ่มนั้นมาจากเผ่าเจิงมู่”
ตัวเอ๋อร์เหวินเชี่ยวชาญภาษา พรสวรรค์เกินคน ได้ยินเสียงไกลลิบ เป็นมือดีด้านการสืบข้อมูล
“เจิงมู่หรือ” หงอวิ๋นทบทวนความทรงจำ “ชื่อแบบนี้ เหมือนมีเฉพาะในเผ่าใต้สังกัดเทพพฤกษา แต่ก็ไม่ตัดความเป็นไปได้ว่าอีกฝ่ายอาจจะเป็นเผ่าพันธุ์สายเลือดบรรพชนเวทอื่นเหมือนกัน”
“เช่นนั้นพวกเราควรรับมืออย่างไรดี” ตัวเอ๋อร์เหวินถามอย่างนอบน้อม
“ไม่ต้องรับมือ จอมเวทเผ่ามนุษย์มีพลังไม่สม่ำเสมอ ขอแค่เขาไม่มาหาเรื่องพวกเจ้า ก็ไม่ต้องไปสนใจ” หงอวิ๋นสั่ง
“ขอรับ”
หลังจากบริวารทั้งหมดออกไป หงอวิ๋นก็หยิบแผ่นหนังใบหนึ่งออกมาใช้นิ้วชี้วาดเขียน ไม่นานนัก บนแผ่นหนังก็ปรากฏแผนที่อาณาเขตรอบลัทธิแสงสว่างขึ้นมา
“เผ่าเวท จะไปหาเรื่องไม่ได้…” หงอวิ๋นส่ายหน้า หากขุมกำลังที่สหายน้อยลู่เซิ่งสร้างขึ้นตั้งตัวโดดเดี่ยวต่อไป ย่อมไม่ใช่แผนที่ดี
ในสถานการณ์ปัจจุบัน หากไม่พึ่งพาอุทยานปีศาจก็เข้าร่วมกับเผ่าเวท หรือไม่ก็มีผู้วิเศษเป็นเบื้องหลัง
ที่เหลือต่อให้เป็นจอมอริยะอย่างเขา ก็ได้ทำได้แต่ปกป้องตัวเองเท่านั้น
หากสหายน้อยลู่เซิ่งต้องการขยายขุมกำลัง ก็ต้องเลือกที่พึ่งพาไม่เลวสักแห่ง ส่วนจะเข้าร่วมฝั่งไหน ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้าตัวแล้ว
หงอวิ๋นมองแผนที่บนแผ่นหนัง
เหนือลัทธิแสงสว่างคือเผ่าเวทเจิงมู่ ทางขวาคือเผ่าเวทพิรุณไฟที่พบเมื่อก่อนหน้านี้ ทางซ้ายคือสัตว์เทพราชาปีศาจชื่อจู้ ด้านล่างคือเผ่าพฤกษาปีศาจ
รอบด้านมีขุมกำลังยิ่งใหญ่ทั้งสิ้น ทั้งยังมีเขตปกครองเบื้องหลังอีก ก่อนหน้านี้เขาพบว่า ขุมกำลังรอบข้างต่างก็ตรวจสอบตื้นลึกหนาบางของลัทธิแสงสว่างอยู่ หากพวกเขาตรวจสอบเจอว่าไม่มีเบื้องหลังใดๆ…เช่นนั้นก็ยุ่งยากแล้ว
แม้เบื้องหลังของขุมกำลังพวกนี้จะทราบว่าเขาผู้เป็นจอมอริยะอยู่ที่นี่ ก็ไม่ได้นำพามากนัก อย่างไรขุมกำลังใหญ่ๆ ก็มีจอมอริยะอยู่ไม่มาก แต่ก็ไม่น้อย หากไปหาเรื่องเข้า ก็ไม่ได้มีหน้ามีตาขนาดนั้น อย่างมากสุดก็แค่ยอมล่าถอยไป ไม่มาหาเรื่องตอนเขาอยู่เท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่อาจช่วยลู่เซิ่งไปได้ตลอด ร่างแปลงของเขาเพียงแค่ผ่านมาแถวนี้ชั่วคราวเท่านั้น ยังมีธุระของเขาที่ต้องจัดการอีก
…
ลึกไปใต้ดินกว่าสิบหมี่
ลู่เซิ่งขดตัวเหมือนกับกำลังจำศีล รอบตัวมีกรวด หิน ดิน ทราย และพืชที่กำลังแตกหน่อ
หลังจากประสานบันทึกลับที่ได้มาทั้งหมดเข้าด้วยกัน ลู่เซิ่งก็เข้ามาใต้ดินลึก จากนั้นก็เริ่มปรับสภาพร่างกายและจิตใจอย่างช้าๆ
ปัจจุบันนี้เขาเริ่มการยกระดับครั้งที่สองได้แล้ว
ณ ใต้ดิน ทั่วร่างเริ่มมีไอหมอกสีแดงอ่อนลอยออกมาหลายสาย
“ดีปบลู” ลู่เซิ่งปรับจิตใจสงบ เรียกเครื่องมือปรับเปลี่ยนออกมา
อินเตอร์เฟซดีปบลูพลันปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา
“คัมภีร์จิตงามเลิศ ขั้นสร้างรากฐานช่วงสมบูรณ์ (คุณสมบัติพิเศษ โปรยเสน่ห์ใส่สิ่งมีชีวิตตามธรรมชาติที่อยู่ต่ำกว่าระดับสร้างรากฐาน ความปราดเปรียวเพิ่มขึ้น เสน่ห์เพิ่มขึ้น พละกำลังเพิ่มขึ้นอย่างมาก คุณสมบัติป้องกันเพิ่มขึ้นอย่างมาก)”
“ระดับสร้างรากฐานเป็นแค่มอดข้าวสำหรับที่นี่ แม้แต่ระดับแก่นทองคำก็เป็นได้แค่คนเต้นรำให้คนอื่นเท่านั้น สถานที่แห่งนี้ช่างอันตรายเกินไปจริงๆ…” ลู่เซิ่งหวนนึกถึงโลกใบนั้นที่ได้ทำความเข้าใจก่อนหน้านี้
อย่าว่าแต่ระดับแก่นทองคำเลย จอมอริยะอย่างบรรพชนหงอวิ๋นก็ตายเพราะโชคร้ายเช่นกัน
ต่ำกว่าจอมอริยะ ก็คือเซียนทองคำ ถัดจากนั้นคือเซียนนภา เซียนปฐพี เซียนมนุษย์ ต่อมาค่อยเป็น เทพจำแลง ทารกกำเนิด แก่นทองคำ สร้างรากฐาน และหลอมปราณ
เหล่านี้ล้วนเป็นการแบ่งระดับที่รู้มาจากหงอวิ๋น
เป็นเพียงการแบ่งขอบเขตอย่างคร่าวๆ แต่ขอบเขตไม่ได้แสดงถึงพลังทั้งหมด เผ่าปีศาจจำนวนไม่น้อยของที่นี่ต่างก็มีอิทธิฤทธิ์แต่กำเนิดแข็งแกร่งสุดขีด การฆ่าคนข้ามขอบเขตเป็นเรื่องธรรมดาสามัญยิ่ง
“ถ้าหากเป็นโลกโกลาหลจริงๆ อย่างนั้นก็ยุ่งยากแล้ว สถานที่ผีสางนี่ใหญ่เกินไป ไม่รู้ว่าต้นไม้ยักษ์กับดวงตาแห่งความเลวทรามที่เราต้องการตามหาอยู่ไหน สถานการณ์แบบนี้ต้องรีบสร้างขุมกำลังให้ยิ่งใหญ่ขึ้นโดยเร็วที่สุด หรือไม่ก็ขอยืมขุมกำลังอื่นช่วยค้นหา” ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว
“อีกทั้งที่นี่ยังมีผู้เข้มแข็งดุจหมู่เมฆ ไม่ได้สบายไปกว่าโลกมารสวรรค์เลย”
หากสู้กันซึ่งหน้า เขาไม่เกรงกลัวผู้ใด แต่ว่าที่นี่มีอิทธิฤทธิ์ลอบเล่นงานอยู่มากมาย หากไม่ระวังนิดเดียวก็อาจโดนพลิกคว่ำได้โดยง่าย
ก่อนหน้านี้เขาบรรลุถึงระดับทารกกำเนิด ถือเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในโลกปราณวิญญาณใบนั้นได้แล้ว แต่เมื่อมาอยู่ที่นี่ ระดับทารกกำเนิดเป็นเพียงแค่ระดับเริ่มต้นเท่านั้น
สถานที่ผีสางนี่ มีเซียนมนุษย์และเซียนปฐพีเดินเพ่นพ่านเต็มไปหมด เซียนนภาพอจะนับได้ว่าเป็นวีรุบุรุษน้อย เซียนทองคำถึงค่อยก้าวขึ้นเวที พอจะเริ่มมีตัวตนบ้าง
ตัวละครหลักที่แท้จริงไม่ใช่จอมอริยะหรือเซียนทองคำ หากแต่เป็นผู้วิเศษมหาวิถีต่างหาก ต่อให้ไม่ใช่มหาเทพ ตงหวงและตี้จวินจากอุทยานปีศาจที่เป็นผู้วิเศษ ก็ครอบครองพลังแห่งดวงดาวค้างฟ้า ยังมีค่ายกลสิบสองเทพมารสวรรค์ที่สิบสองบรรพชนเวทครอบครอง สามารถอัญเชิญร่างจริงของผานกู่ออกมาได้ มีอานุภาพไร้สิ้นสุด
เมื่อจอมอริยะเหล่านี้ผนึกกำลังกัน สามารถระเบิดพลังระดับผู้วิเศษได้อย่างสมบูรณ์หมดจด ดังนั้นจึงปกครองดินแดนแห่งหนึ่งได้
ส่วนผู้วิเศษที่เหลือ มีสามพิสุทธิ์ ไท่ซ่างเหล่าจวิน หยวนฉื่อเทียนจวิน ทงเทียนเจียวจู่ นอกจากนี้ในภายหลังยังมีจุ่นถี หนี่ว์วา และฮงจวิน
“แค่ผู้วิเศษก็มีตั้งมากมายแล้ว จอมอริยะก็เยอะแยะ เช่น สิบสองบรรพชนเวท มหาเทพตงหวง ตี้จวิน ซีเหอ คุนเผิง หมิงเหอ หลัวโหว ข่งซวน นี่เป็นพวกที่มีชื่อเสียง พวกที่มีชื่อเสียงยังมีเยอะกว่านี้…”
ลูเซิ่งหนักใจ
“ที่ยุ่งยากที่สุดคือ ไม่รู้ว่าจอมอริยะแข็งแกร่งขนาดไหน หากลงมือสุดกำลัง ก็ไม่รู้ว่าจะมีอานุภาพเท่าระดับอนธการของโลกมารสวรรค์หรือไม่”
ลู่เซิ่งวางแผนว่าหลังจากออกจากการกักตนแล้วจะไปคุยกับหงอวิ๋นอย่างละเอียดดู ก่อนหน้านี้เขาถามเลียบๆ เคียงๆ แต่ส่วนใหญ่คำตอบของหงอวิ๋นแตกต่างกันมาก
คำบรรยายล้วนเป็นการเอาดินแดนแห่งความโกลาหลมาเปรียบเทียบทั้งสิ้น
แต่โลกบรรพกาลนั้นใหญ่เกินไป จากคำพูดของหงอวิ๋น ในแต่ละทวีป หากเขาเหินบินสุดกำลังโดยไม่ใช้อิทธิฤทธิ์ อย่างน้อยต้องใช้เวลาถึงหนึ่งปี ถึงจะข้ามจากอีกทวีปหนึ่งไปถึงทวีปหนึ่งได้
และทวีปต่างๆ ก็ยังมีพื้นที่แตกต่างกันไปอีกด้วย กำลังรองรับแตกต่างไปจากดาวเคราะห์ในโลกมารสวรรค์ ที่นี่บางแห่งแข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ บางแห่งก็อ่อนแอไร้ซึ่งกำลังยิ่ง แตกต่างกันอย่างมหาศาล
เมื่อไม่อาจบรรยายได้ ลู่เซิ่งก็พอรู้คร่าวๆ ว่า สถานที่ผีสางนี่มีสัตว์เทพ สัตว์วิเศษดำรงอยู่มากมาย สัตว์เทพมากมายมีขนาดร่างมโหฬาร อย่างเช่นเผ่ามังกรกับเผ่าหงส์ แค่ขนาดตัวก็ปาไปมากกว่าพันหมี่แล้ว ถ้าถิ่นที่อยู่อาศัยเล็กเกินไป ก็ไม่อาจรองรับสัตว์ยักษ์แบบนั้นได้
……………………………………….