ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 907 ความขัดแย้ง (1)
“เป็นอะไรไป แม้แต่ท่านก็ไม่เข้าใจหรือ” ลู่เซิ่งแเผยสีหน้าแปลกใจ
“เข้าใจกับผีเจ้าสิ! สายเลือดของเผ่าหงส์เพลิง ถูกเจ้าปู้ยี้ปู้ยำจนกลายเป็นอะไรไปแล้วเนี่ย!” หงอวิ๋นพุ่งเข้าไปคิดจะตบใส่สักฉาด
แต่เขาก็ข่มกลั้นตัวเองไว้
หงอวิ๋นข่มกลั้นความโมโห ชี้ไปทางศูนย์ใหญ่ลัทธิแสงสว่าง
“ตอนนี้ลัทธิเจ้ามีเรื่องให้จัดการมากมาย ข้ามีธุระด่วน ต้องรีบไปเอาร่างแยกคืน ถ้ามีอะไร ให้ไปหาข้าที่ถ้ำเมฆาอัคคี ขอลาก่อนสหายลู่! ขอให้โชคดี”
ว่าแล้ว เขาก็หมุนตัวกลายเป็นเมฆแดงก้อนหนึ่ง เหินออกไป
ลู่เซิ่งมองเขาที่พูดจบแล้วเผ่นหนีไปอย่างสบสันงุงง ไม่รู้ว่าหงอวิ๋นหมายความว่าอะไร
“นอกจากนี้ทางที่ดีเจ้าอย่าให้เผ่าหงส์เพลิงเห็นสภาพเจ้าในตอนนี้ดีกว่า…ไม่อย่างนั้นข้าว่าเจ้าได้ถูกพวกเขาฆ่าตายทั้งเป็นแน่”
เสียงหงอวิ๋นลอยมา
“เหอะ…” ลู่เซิ่งไม่ตอบรับไม่ปฏิเสธ “คนที่ไม่เข้าใจอีกคนแล้วหรือ เผ่าหงส์เพลิงหรือ พวกเขาเพียงแค่หลงทางเท่านั้น”
เขาก้มหน้าลูบคำสี่คำบนร่าง นี่เป็นตัวหนังสือสี่ตัวที่จะรวมตัวกันบนร่างเมื่อสัตว์เทพหงส์เพลิงเกิดมา เป็นคำสี่คำที่แสดงถึงคุณสมบัติอันล้ำค่าที่สุดของสายเลือดหงส์เพลิง
และตอนนี้ สี่คำนี้ก็บ่งบอกว่าพลังเสน่ห์กระจายทั่วทิศ หมายความว่า สิ่งที่แข็งแกร่งที่สุดในอิทธิฤทธิ์สายเลือดของเขา ก็คือพลังเสน่ห์นี้!
น่าเสียดายที่หงอวิ๋นไม่ได้ยินคำพูดของเขาแล้ว ท่านบรรพชนรู้สึกว่าตนได้รับการกระทบกระเทือนทางโลกทัศน์อย่างหนัก ต้องรีบไปหาที่ปรับสมดุลให้กลับมาเหมือนเดิม
ลู่เซิ่งดัดคอส่งเสียงดังกร๊อบๆ
“เอาล่ะ ตอนนี้ควรไปดูหน่อยแล้วว่าปัญหาที่หงอวิ๋นพูดถึงคืออะไร”
เขาก้าวเท้าไปข้างหน้า พลันร่างถูกเปลวเพลิงสีแดงกลุ่มหนึ่งห่อหุ้มเปล่างแสงสีแดงพุ่งขึ้นท้องฟ้า เหาะเหินออกไป
ตรงที่ลู่เซิ่งกักตนห่างจากศูนย์หลักลัทธิแสงสว่างไม่ไกลนัก โดยเฉพาะหลังจากเขาควบคุมแสงหงส์เพลิงในความทรงจำที่ถ่ายทอดได้ ความเร็วของเขสก็ทวีขึ้นมาก ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งนาทีก็มาถึงศูนย์หลักแล้ว
แสงเพลิงสีแดงร่อนลงหน้าปากถ้ำเนินเขาขาวแผ่วเบา ก่อนจะกลายเป็นร่างกำยำสูงใหญ่ภายใต้สายตาตื่นตระหนกของนกยักษ์เฝ้าประตูสองตัว
“ข้าลู่เซิ่ง ตอนนี้กักตนเสร็จแล้ว พวกเจ้าไปแจ้งราชาปีศาจหัวหน้าเผ่าทุกเผ่าให้มาชุมนุมทันที ห้ามใครขาดแม้แต่คนเดียว” ลู่เซิ่งกำชับเสียงขรึม อย่างไรก็กลายร่างเป็นมนุษย์แล้ว ต้องอธิบายสักหน่อย
“ขอรับ!”
นกยักษ์สองตัวจำกลิ่นอายบนร่างลู่เซิ่งได้ จึงรับคำเสียงดัง ก่อนหันหลังวิ่งออกไป
ลู่เซิ่งเดินเข้าไปในถ้ำ องครักษ์นกไร้ขนที่เฝ้ายามพากันโค้งหัวคำนับ
หลังจากรออยู่ในโถงประชุมสักพักหนึ่ง เหล่าราชาปีศาจ สามโลกบาล สี่ธรรมบาล ก็ทยอยมาถึง
นกยักษ์หลายตัวเข้ามา เมื่อเห็นสภาพของลู่เซิ่งในตอนนี้ ต่างก็ก้มหน้าไม่กล้ามองมาก ปีศาจนกที่อ่อนแอส่วนหนึ่งก็ยิ่งถูกความน่าเกรงขามแปลกประหลาดบนตัวลู่เซิ่งสยบจนตัวสั่นระริก
นี่คือความน่าเกรงขามของราชาแห่งร้อยปักษา ที่บังเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติหลังจากสายเลือดหงส์เพลิงถูกกระตุ้น ไม่เกี่ยวกับพลังฝึกปรืออย่างอื่น หากแต่เป็นการกดข่มทางคุณสมบัติสายเลือดล้วนๆ
ไม่นานนัก ผู้นำจากแต่ละเผ่าก็มาถึง
ห้าราชาปีศาจ บวกกับสามโลกบาล และสี่ธรรมบาล ทั้งหมดสิบสองที่นั่ง แต่ละตัวนั่งอยู่บนตำแหน่งของตัวเอง สายตาจับจ้องไปที่ลู่เซิ่ง
“ท่านเจ้าลัทธิ เผ่าเจิงมู่นั่นรังแกพวกนกเกินไปแล้ว! พวกมันใช้การล่าเป็นข้ออ้าง สังหารบริวารในเผ่าข้าไปสิบสามตัว ข้าไปถกสาเหตุกับมัน กลับถูกจอมเวทเจิงมู่นั่นยิงธนูใส่หัวข้า!” ราชาปีศาจหลันเหอโมโห บนหัวยังพันผ้าพันแผลสีขาวมีเลือดซึมอยู่ ร่างกายเต็มไปด้วยรอยถลอก มองดูทุลักทุเลยิ่ง
“ทางข้าก็เจอปัญหาเช่นกัน” ราชาปีศาจซันกัวสีหน้าอมทุกข์ “ช่วงนี้ในอาณาเขตของข้ามักจะมีสมาชิกสูญหายอย่างไร้สาเหตุ ตามหาก็ไม่เจอ จนกระทั่งตอนนี้ หายตัวไปเป็นรายที่เก้าแล้ว…”
“หลายวันก่อนหน้านี้ทางข้ามีทูตจากเผ่ากุ่ยเหอมา มันต้องการให้ข้าสวามิภักดิ์กับพวกมัน และส่งบรรณาการให้มันทุกปี ไม่อย่างนั้นมันจะทำให้พวกเราเห็นดี!” ราชาปีศาจอีกตนกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยวเช่นกัน
ปกติแล้วลู่เซิ่งจะโยนเรื่องพวกนี้ให้หงอวิ๋นจัดการ แต่ตอนนี้หงอวิ๋นไปแล้ว เขาพลันรู้สึกว่าการพัฒนาของลัทธิแสงสว่างในปัจจุบันได้มาถึงคอขวดอย่างร้ายแรงเสียแล้ว
อาณาเขตที่ขยับขยายได้ไปถึงขีดจำกัดแล้ว และเริ่มเกิดการกระทบกระทั่งกับขุมกำลังใหญ่ที่อยู่รอบข้าง
“ถ้าไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย ปัญหาเล็กน้อยที่เกิดขึ้นพวกนี้ต่างเป็นการหยั่งเชิงของขุมกำลังแถวนี้เท่านั้น” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างสงบ
“ท่านเจ้าลัทธิ พวกเราควรทำอย่างไรดี” ราชาปีศาจหลันเหอถาม
“ปะทะกลับ พวกเราต้องแสดงพลังของตัวเอง ถึงจะทำให้มันเกิดความกริ่งเกรง” ลู่เซิ่งรู้สาเหตุของเรื่องพวกนี้ดี มีแต่ต้องแสดงพลังที่ทำให้อีกฝ่ายกริ่งเกรงเท่านั้น ถึงจะป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายมาหาเรื่องได้อีก
“แต่ว่า จอมเวทของเผ่าเจิงมู่…มีพลังแข็งแกร่ง…เบื้องหลังยังมีเผ่าที่ยิ่งใหญ่กว่าเป็นโล่คุ้มกันอีก...” ใช่ว่าราชาปีศาจหลันไม่อยากปะทะตีโต้ แต่เพราะพลังไม่มากพอก็ได้แต่จนปัญญา
“ไม่เป็นไร จัดการเผ่าเวทเจิงมู่ก่อนค่อยว่ากัน” ลู่เซิ่งสั่งการ “หมิงจ้าว เจ้าไปหยั่งเชิงเผ่าเวทเจิงมู่นั่นกับราชาปีศาจหลันเหอด้วยตัวเองสักครั้ง”
“ขอรับ!” หมิงจ้าวเป็นหนึ่งในสามโลกบาล และเป็นผู้ที่ลู่เซิ่งปรับเปลี่ยนได้สำเร็จที่สุด พลังย่อมไม่ต้องเอ่ยถึง อยู่ในระดับแก่นทองคำขั้นสูงสุดตั้งแต่แรกแล้ว
การให้เขาไป เป็นการข่มขวัญเผ่าเจิงมู่อย่างหนึ่ง
อย่างไรสำหรับขุมกำลังเล็กๆ ราชาปีศาจระดับแก่นทองคำก็กลายเป็นหัวหน้าของเผ่าพันธุ์ส่วนหนึ่งได้
และหากลัทธิธิแสงสว่างบอกว่าจะส่งมาแล้วส่งมาออกจริงๆ ย่อมมีกองกำลังหนาแน่นสุดเปรียบปาน
“ส่วนทางเผ่ากุ่ยเหอ ข้าจะไปเจอเอง” ลู่เซิ่งหันไปมองราชาปีศาจอีกตน และกล่าวเสียงเบา
ถึงแม้หลังจากนี้ขอบเขตปรมาจารย์จะเกิดประโยชน์น้อยลง และการก้าวข้ามระดับจะลดลง แต่สำหรับลู่เซิ่งแค่ใช้ระดับธรรมดาก็เพียงพอที่จะกำจัดจิ้งจอกปีศาจระดับแก่นทองคำได้แล้ว
ยิ่งความสามารถที่ใช้ได้มีมากมายและแข็งแกร่งมากเท่าไร สถานการณ์ที่เขารับมือได้ก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วยเท่านั้น
พลังของเผ่ากุ่ยเหอเป็นอย่างไร เขาไม่รู้ แต่ตอนนี้เขาอยู่ในระดับแก่นทองคำขั้นสูงสุด กระตุ้นสายเลือดหงส์เพลิงได้แล้ว กายเนื้อมีการยกระดับขึ้นอย่างใหญ่หลวงจากคัมภีร์จิตงามเลิศที่ได้รับการปรับปรุง
พลังต่อสู้ย่อมเหี้ยมหาญอย่างแน่นอน สิ่งที่น่าเป็นห่วงเพียงหนึ่งเดียวก็คือ สถานที่บัดซบนี้ให้ความสำคัญกับอิทธิฤทธิ์และของวิเศษ
สุดยอดอิทธิฤทธิ์และของวิเศษสามารถกำจัดอีกฝ่ายโดยก้าวข้ามขอบเขตได้หลายขั้น อย่างเช่น ยี่สิบสี่ไข่มุกตรึงสมุด ธงห้าสีก่อนกำเนิด สิบสองแท่นบัว กิ่งสัตรัตนา แผนผังเหอถูจัตถุรัสลั่วซู ระฆังโกลาหล เป็นอาวุธเทพสะท้านฟ้าโดยแท้
มีดสั้นสังหารเซียน กรรไกรมังกรทอง เหรียญทองเสกสมบัติ เจ็ดเกาทัณฑ์หัวตะปูที่อยู่ในระดับต่ำกว่าหน่อย ก็ไร้เทียมทานเช่นเดียวกัน
ดังนั้นในสถานที่บัดซบแห่งนี้ พลังฝึกปรือจึงไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด สิ่งที่สำคัญมีแต่อิทธิฤทธิ์ที่เหี้ยมหาญที่มากพอ หรือไม่ก็เอาของวิเศษมาใช้ป้องกันหรือโจมตีเท่านั้น
ณ ที่แห่งนี้ พลังฝึกปรือของวิชาต่างๆ เป็นเพียงพลังฝึกปรือธรรมดาเหมือนกับเชื้อเพลิงที่พวกรถยนต์ใช้
ส่วนพวกของวิเศษหรืออิทธิฤทธิ์ ก็คือเครื่องมือต่างๆ อย่างพวก เครื่องบินรบ รถหุ้มเกราะ รถถัง หรือหุ่นยนตร์
มีแต่เติมเชื้อเพลิงให้อิทธิฤทธิ์หรือของวิเศษเท่านั้น ถึงจะแสดงอานุภาพอันน่ากลัวที่อยู่เหนือจินตนาการออกมาได้
ลู่เซิ่งกระตุ้นสายเลือดหงส์เพลิงก่อนกำเนิด ย่อมได้รับอิทธิฤทธิ์สองอย่าง
อย่างแรก คืออัคคีเทพทักษิณ หงส์เพลิงที่ปกครองทิศใต้ ดังนั้นอัคคีเทพทักษิณจึงเป็นไฟที่เป็นสัญลักษณ์ของมัน
อย่างที่สอง คือกระดองเต่าบนหลังของเขา ลู่เซิ่งเรียกมันว่าฆ้องเสียงเสนาะ หากตีทีหนึ่ง จะทำให้คนลืมความทุกข์ความกังวล มีผลสงบจิตสงบใจ ขจัดจิตมารระดับหนึ่ง น่าเสียดายที่ประสิทธิผลด้านการโจมตีไม่ชัดเจนนัก
ดังนั้น ลู่เซิ่งจึงมีท่าทีระมัดระวังต่อเผ่ากุยเหอที่มีเบื้องหลัง
…
ทางเหนือของป่าต้นไม้ยักษ์ ริมทะเลสาบวาฬคู่
ปีศาจนกของเผ่ากุ่ยเหอกับนกยักษ์ไร้ขนของลัทธิแสงสว่าง แยกกันยึดครองสองฝั่ง สองฝ่ายประจันหน้ากัน ต่างก็มีกองกำลังนกปีศาจกว่าร้อยตน
เผ่ากุ่ยเหอเป็นเผ่านกสองหัวขนสีดำอมม่วง สูงกว่าสองหมี่ บางส่วนคอยบินวนเวียนอยู่บนท้องฟ้า บางส่วนเกาะคาคบดูลาดเลา อีกส่วนยืนอยู่บนก้อนหิน สายตาจับจ้องลัทธิแสงสว่างที่อยู่ตรงข้าม
ด้านในค่ายนกยักษ์ลัทธิแสงสว่างมีสะเก็ดไฟสีแดงอ่อนหลายสาย ล่องลอยตามลม กลิ่นอายหงส์สีเพลิงสูงศักดิ์บริสุทธิ์แผ่กระจายกลางสะเก็ดไฟ ทำให้ปีศาจนกเผ่ากุ่ยเหอรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวอยู่เนืองๆ
หลังจากนกยักษ์ในลัทธิแสงสว่างปรับตัวกับกลิ่นอายใหม่นี้ได้แล้ว ก็ไม่หวั่นเกรงอีกต่อไป อย่างไรก็มีการปลูกถ่ายเนื้อเยื่อจากร่างหลักในตัวลู่เซิ่งอยู่แล้ว ความสามารถในการปรับตัวของพวกเขาย่อมเพิ่มขึ้นตามเวลาที่ผ่านไป
ลู่เซิ่งนั่งขัดสมาธิบนหินสีขาวทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสจ้องมองเผ่ากุ่ยเหอที่อยู่อีกฟาก
“เจ้าลัทธิของเรามาถึงแล้ว เผ่ากุ่ยเหอจงส่งคนที่พูดได้ออกมา”
ฮุ่นเหยาหนึ่งในสามโลกบาลเดินออกมา ใช้เสียงกังวาลดุจระฆังตะโกนไปอีกฝั่ง
เวลานี้เผ่ากุ่ยเหอโกลาหลเล็กน้อย เหมือนเกิดความสับสนและตกใจต่อกลิ่นอายหงส์เพลิงที่กระจายออกมาจากตัวลู่เซิ่งอยู่บ้าง
“กลัวกับผีอะไร! ยุคของมังกรหงส์ได้ผ่านไปนานแล้ว! แค่ปีศาจนกสายเลือดหงส์เพลิงตนเดียว พวกเจ้าต่างก็มีสายเลือดของเทพปีศาจกุ่ยเชอ มีอะไรต้องกลัวกัน!?”
ราชาปีศาจขนดำร่างใหญ่โตกว่าปีศาจนกตัวอื่นๆ เดินออกมา
ตาฉายประกายดุร้าย กวาดสายตามอง เมื่อเอ่ยสั่งสอน สายตาก็ตกไปอยู่บนร่างลู่เซิงที่อยู่อีกฝั่ง
“ข้าคือกุ่ยหรู ผู้อาวุโสอันดับสองของเผ่ากุ่ยเหอ ลัทธิแสงสว่างนัดมาคุยกันที่นี่ มีเรื่องอะไรสามารถบอกกล่าวได้เลย”
ลู่เซิ่งตั้งสมาธิพิจารณาอีกฝ่าย ดูจากกลิ่นอายความน่าเกรงขามที่กระจายอยู่ กุ่ยหรูตนนี้อยู่ในขอบเขตทารกกำเนิดเป็นอย่างน้อย
ครอบครองสายเลือดเทพปีศาจกุ่ยเชอ กอปรกับถึงขอบเขตทารกกำเนิด ก็มีเหตุผลที่สามารถเผชิญหน้ากับพันธมิตรลัทธิแสงสว่างที่มีราชาปีศาจระดับแก่นทองคำได้โดยไร้ความเกรงกลัว
“ข้าคือเจ้าลัทธิแสงสว่างลู่เซิ่ง” ลู่เซิ่งประสานมือ ถือว่าทำความเคารพแบบแปลกๆ “ที่นัดท่านมา ก็เพื่ออธิบายถึงเรื่องไม่น่ายินดีซึ่งเกิดขึ้นจากการกระทบกระทั่งกับเผ่ากุ่ยเหอเมื่อก่อนหน้านี้”
“หือ” กุ่ยหรูงุนงง จากนั้นก็ยิ้ม เดิมทีนึกว่าจะมาสู้กัน นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะว่านอนสอนง่ายเช่นนี้ “พวกเจ้าจะอธิบายอย่างไร”
“เป็นเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ลัทธิแสงสว่างของข้าขยับขยายเร็วเกินไป ทำให้เกิดความขัดแย้งกับเผ่าท่าน ข้าจึงขอเป็นตัวแทนลัทธิแสงสว่าง แสดงความขอโทษอย่างสุดซึ้งต่อเผ่ากุ่ยเหอ” ลู่เซิ่งโค้งตัวก้มต่ำให้อีกฝ่ายด้วยสีหน้าจริงใจ
“อย่างนั้นหรือ รู้ว่าไม่ถูกก็ดี ถ้าไม่ใช่พวกเจ้าขยายอำนาจเร็วเกินไป พวกเราก็ควไม่ก่อเรื่องมากมายขนาดนี้” กุ่ยหรูผลักความผิดให้กับลัทธิแสงสว่างอย่างไม่เกรงใจ
“ใช่ ถูกต้องจริงๆ ทั้งหมดเป็นความผิดของลัทธิเรา ดังนั้นครั้งนี้ เพื่อแสดงคำขอโทษต่อเผ่ากุ่ยเหอ พวกเราจึงได้จัดของขวัญที่ดีที่สุดมามอบให้เผ่าท่าน เพื่อเป็นการชดเชย” ลู่เซิ่งพูดจบก็ปรบมือเบาๆ
นกยักษ์ของลัทธิแสงสว่างที่อยู่ด้านหลัง พากันหามกระถางสำริดสามขาขนาดใหญ่มา กระถางโคลงเคลง บรรจุของเหลวสีแดงใสแจ๋วเรืองแสงสีทองอ่อนไว้จนเต็ม
……………………………………….