ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 929 จอมอริยะ (1)
เปลวเพลิงสีทองขาวสว่างไสวลุกโชนโหมกระหน่ำ พื้นรอบข้างถูกเผาผลาญกลายเป็นไอ
ทุกอย่างในอาณาเขตหลายพันหมี่รอบลู่เซิ่งกลายเป็นไอหมอกสีทองขาว หมอกรอบนอกสุดเปล่งแสงสีทองขาวภายหลังเปลี่ยนเป็นสีทองบริสุทธิ์ ก่อนที่สุดท้ายจะแปรเปลี่ยนเป็นสีขาวอย่างสมบูรณ์
สีขาวกับสีดำครอบคลุมทุกสิ่ง บรรจุทุกอย่าง เป็นตัวแทนของความสุดขั้ว
เปลวเพลิงพุ่งขึ้นบนท้องฟ้า ลามไปด้านบนด้วยความเร็วสูง ควันไร้รูปร่างมากมายพัดกระจายออกไปตามกระแสลม
ท่ามกลางเปลวเพลิงและหมอกควัน จุดแสงสีหยกม่วงสายหนึ่งพุ่งมาจากฟ้า ทะลวงทุกอุปสรรค พุ่งใส่จุดที่ลู่เซิ่งอยู่
เมื่ออยู่ต่อหน้าแสงหยกม่วง เปลวไฟ หมอกควัน ความร้อนสูง หินหนืด และสนามพลัง ไม่มีสิ่งใดต้านทานการพุ่งลงมาของจุดแสงได้
กลางเปลวเพลิงโหมกระหน่ำ สีขาวแยกออกตามจุดแสง เผยให้เห็นหงส์เพลิงสีขาวขนาดมหึมากินเนื้อที่กว่าหมื่นลี้
หงส์เพลิงทั่วไปสูงราวๆ พันหมี่ แต่ว่าหงส์เพลิงตรงหน้าสูงใหญ่มากกว่าหมื่นลี้ นับหลายพันเท่าของหงส์เพลิงทั่วไป
จิตวิญญาณและเลือดลมทั่วร่างลู่เซิ่งลุกไหม้อย่างบ้าคลั่ง วัตถุที่ถูกเผาไหม้รวมตัวเป็นสิ่งของอันประหลาดล้ำไร้รูป
นั่นคือวัตถุแวววาวกระเพื่อมราวกับคลื่นแสง ด้านในมีจุดแสงสีเงินกะพริบระยิบระยับ
เขารู้สึกได้ว่าร่างอริยะหงส์เพลิงและร่างหลักของตัวเองกำลังลุกไหม้พร้อมกัน จะว่าไป ที่ร่างอริยะหงส์เพลิงยกระดับได้รวดเร็วขนาดนี้ ประการแรกเป็นเพราะพลังอาวรณ์ที่มากพอ อีกประการเป็นเพราะพลังงานของโลกใบนี้มีความเข้มข้นสูงถึงสุดขีด กอปรกับคุณสมบัติร่างของเขาแข็งแกร่งมากพอ เมื่อสองสิ่งรวมกัน จึงก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางคุณภาพ
ความรู้สึกอันประหลาดลี้ลับบังเกิดขึ้นในใจ เหมือนกับทั้งสองร่างกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง
“นี่คือการสร้างจิตปฐมหรือ” ลู่เซิ่งสัมผัสได้ว่า จิตของตัวเองเหมือนกำลังเคลื่อนไหว ค่อยๆ เคลื่อนจากส่วนลึกของร่างกายไปถึงด้านในวัตถุพิเศษที่พร่ามัวกึ่งโปร่วแสงที่เกิดขึ้นมาใหม่
ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติปลอดโปร่งกว่าก่อนหน้ากระจายไปทั่วร่างกาย เหมือนกับว่าเขาเมื่อก่อนหน้านี้แบกภาระนับไม่ถ้วนเดินไปเดินมา ตอนนี้อยู่ๆ ก็ปลดทุกอย่างลง
จิตปฐมเหมือนกับวุ้น บิดเบี้ยวและก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง ค่อยๆ กลายเป็นบุรุษรูปงามที่หน้าตาเหมือนลู่เซิ่งไม่มีผิดเพี้ยน
บุรุษสวมอาภรณ์ปีกสีแดงอมทอง แขนเสื้อยาวพลิ้วไหว ผมสีดำยาวถึงเอว สวมกวนงดงามประณีตสีแดงตัดทอง
ใบหน้าของเขาเย็นชาเรียบเฉย ผิวพรรณงดงามไร้รอยตำหนิเหมือนกระเบื้องเคลือบ
ถ้าไม่ใช่เพราะรอบข้างมีอัคคีจิตหงส์เพลิงที่มีความร้อนสูงวนเวียนอยู่ เกรงว่าหากเปลี่ยนอาภรณ์ คงกลายเป็นคนที่งดงามสะท้านโลกา
ฟ้าว!
ในเวลานี้เอง แสงสีทองสายหนึ่งพุ่งลงมาจากฟ้า หยุดลอยอยู่กลางอากาศตรงหน้าลู่เซิ่ง
“นี่คือ…!?” ลู่เซิ่งหรี่ตาเอื้อมมือออกไป จับแสงสีม่วงตรงหน้าอย่างแผ่วเบา
แสงนั้นจางหายไป ปรากฏเป็นแผ่นหยกสีม่วงอันหนึ่ง
ข้อมูลที่แจ่มชัดสายหนึ่งไหลเข้าสู่สมองของเขา
“ตำหนักพิมานเมฆ หงจวินหรือ” ลู่เซิ่งพลันเข้าใจความหมายในนั้น
“นี่มันอะไร รับเข้าเป็นพวกหรือ” เขากวาดตามอง ทุกสิ่งที่อยู่รอบๆ กำลังถล่มกลายเป็นฝุ่นผงภายใต้การเผาไหม้ของอัคคีจิตหงส์เพลิง กฎของอัคคีถึงขั้นที่ขับไล่ทุกสิ่งได้อย่างแยบยลแล้ว
ภายใต้สถานการณ์สุดโต่งแบบนี้ ถ้าหากกินอาณาเขตมากเกินไป จะสร้างสถานการณ์ย่ำแย่จนเหลือเพียงกฏเกณฑ์เดียวให้กับจักรวาลแห่งนี้
ลู่เซิ่งนึกอีกครั้ง ก็เข้าใจว่าการบรรลุธรรมด้วยพลังหมายถึงอะไร
“เข้าใจแล้ว…ยกระดับตัวเองในกฎ ปกติแล้วจะทะลวงกฎไม่ได้ แต่ถ้าใช้กฎที่สมเหตุสมผล กำจัดกฎอื่นๆ จนหมด เหลือไว้แค่กฎของตัวเอง ฟ้าดินธรรมชาติจักรวาลไม่อาจมีกฎเดียว ในตอนที่กฎข้อเดียวกำจัดกฎข้ออื่น กฎพื้นฐานของจักรวาลแห่งนี้จะพังทลายอย่างรุนแรงมหาศาล อย่างนี้ก็จะบรรลุเป้าหมายบรรลุธรรมด้วยพลังทางอ้อม โดยทำลายกฎเกณฑ์ และบีบบังคับให้จักรวาลมอบอำนาจพิเศษให้”
ขณะมองหยกม่วงตรงหน้า มุมปากของลู่เซิ่งก็เหยียดขึ้นเผยรอยยิ้มเย็นชา
“นี่มันอะไร รู้สึกได้ถึงการคุกคามที่เรามีต่อโลกใบนี้ ก็เลยส่งแผ่นหยกมารับสมัครหรือ”
ถึงจะไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ในระดับใดแล้ว แต่ลู่เซิ่งเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า ถ้าไม่ใช่เพราะกระตุ้นการกัดกร่อนต่อจักรวาลแห่งนี้ ก็อาจจะมีสาเหตุสำคัญอื่นๆ อีก
จุดแสงสีม่วงจุดนี้ไม่มีทางตกลงมาง่ายดายเช่นนี้แน่
สัมผัสข้อมูลที่ไหลเข้าสู่สมองเสร็จ ลู่เซิ่งก็แค่นเสียง บีบหยกม่วงจนแหลกละเอียด
สัญลักษณ์แห่งจอมอริยะที่เขาได้ทราบจากการสืบทอดหงส์เพลิง ดูที่การเชื่อมต่อระหว่างจิตวิญญาณและจักรวาล
กระโดดออกจากสามพิภพ หลุดพ้นจากปัญจธาตุ สะบั้นทุกการเชื่อมต่อ เป็นอิสระจากฟ้าดิน คือผู้วิเศษ
ลู่เซิ่งขยับจิตปฐม สัมผัสได้ว่าส่วนลึกของจิตยังมีบางอย่างกำลังเชื่อมต่อกับปราณวิญญาณที่อยู่ด้านนอก
แต่เทียบกับก่อนหน้า การเชื่อมต่อนี้จางลงกว่าเดิมมาก
เขาเงยมองท้องฟ้า สายตาเหมือนทะลุฝ่าชั้นเมฆหลายชั้น มองไปยังตำหนักพิมานเมฆนอกสวรรค์สามสิบสามชั้น
“ช่างเถอะ ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา” เขาใช้ความคิด เปลวไฟสีขาวนับไม่ถ้วนรอบตัวหดตัวลง แล้วลอยกลับมาอยู่ในตัวเขา
แสงที่เคยอยู่เต็มฟ้าหายวับไป ก้อนหินที่ถูกทำให้กลายเป็นไอเย็นลง จับตัวเป็นหินหนืด
หินหนืดเย็นตัวลงจับตัวกันเพราะความร้อนจำนวนมากถูกสูบออกไป กลายเป็นหินภูเขาไฟคล้ายกับแก้ว
บรรพตประกายแสงในอาณาเขตหลายแสนลี้รอบตัวลู่เซิ่ง กลายเป็นที่ราบ ผิวเกลี้ยงเกลาเรียบเนียน เหมือนกับฝังชั้นโลหะที่สว่างพร่างพราวไว้ชั้นหนึ่ง
ร่างหงส์เพลิงสีขาวขนาดมหึมาจางหายไป ลู่เซิ่งจัดเสื้อคลุม แล้วหมุนตัวกลายเป็นแสงไฟสีขาวพุ่งสู่ฟากฟ้า พุ่งออกไป
แสงไฟสีขาวค่อยๆ เปลี่ยนแปลงระหว่างทาง กลับเป็นไฟสีแดงตามปกติ
…
สงครามของเผ่าเวทและปีศาจยังคงยื้อฉุดกัน
ทุกวินาทีจะมีเผ่าปีศาจเกิดความขัดแย้งกับเผ่าเวทบนผืนดิน ปีศาจกับเผ่าเวทนับไม่ถ้วนตกตายร่วมกัน
ขณะการศึกยกระดับขึ้นอย่างช้าๆ เทพปีศาจระดับต่ำบางส่วนก็เริ่มบาดเจ็บล้มตาย หลังจากลู่เซิ่งแอบกลับอุทยานปีศาจ สงครามที่ดุเดือดและยิ่งใหญ่ก็อุบัติขึ้นบนภูเขาเวทในโลกเบื้องล่าง
สงครามนี้ทำให้เทพปีศาจสามตนเสียชีวิต เผ่าเวทเสียจอมเวทไปสองคน เผ่าเวทและปีศาจหลายล้านคนกลายเป็นธุลีปลิวว่อน
อุทยานปีศาจรีบส่งสุดยอดเทพปีศาจลงไปยังโลกเบื้องล่าง ผนึกกำลังกับพลังเรียกพายุฝนของซังหยาง เพื่อสร้างอุปสรรคขึ้นชั่วคราว พอดีที่ทางเผ่าเวทก็มีความคิดถอนทัพเช่นกัน สองฝ่ายสงบศึกกันชั่วคราว ตั้งทัพไว้สองฟากของภูเขาเวท
ภายใต้สภาพการณ์นี้ ลู่เซิ่งนั่งอยู่เฉยๆ ในตำหนักหงส์เพลิงไม่ได้อีกแล้ว ซังหยางเป็นหนึ่งในเทพปีศาจที่แข็งแกร่งที่สุดของอุทยานปีศาจ ครั้งนี้ใช้พลังทั้งหมดสร้างพายุฝนขวางเผ่าเวทและเผ่าปีศาจ เป็นโอกาสที่เขาจะลงมือได้พอดี
จิ่วอิงที่เขาเพิ่งฝังกาฝากไม่อาจลงมือได้ เนื่องด้วยต้องรักษาตัวในอุทยานปีศาจ เป็นเพราะตำหนักจิ่วอิงอยู่ใกล้กับตำหนักประชุมยิ่ง เกิดไม่มีคนขึ้นมา ก็จะถูกพบได้ง่าย
ดังนั้นลู่เซิ่งจึงส่งเฟยเหลียนน้องสาวของซังหยาง รวมถึงเทพปีศาจที่กำลังอยู่ว่างอีกสองตน รวมเป็นสามตน ร่วมมือกับเขาในการเล่นงานซังหยาง
แตกต่างจากจิ่วอิงตรงที่ ซังหยางได้ชื่อว่าคุรุพิรุณ เพราะความสามารถควบคุมฝน นอกจากพลังที่แข็งแกร่งถึงขีดสุดแล้ว การหลบหนีดุจแสงที่รวดเร็วน่ากลัวถึงขีดสุดอีกด้วย
ถ้าหากปล่อยให้เขาหนีได้ทันเวลา เช่นนั้นก็ลำบากเข้าจริงๆ แล้ว
และการที่ลู่เซิ่งลงมือเอง ยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง ซังหยางผู้นี้เป็นอเทพปีศาจที่ใกล้เคียงกับจอมอริยะมากที่สุดในอุทยานปีศาจ เขาคิดลองทดสอบดูว่า ระดับพลังของตนในปัจจุบันอยู่ในขั้นใดแล้ว
จอมอริยะ ถ้าเขาเข้าใจไม่ผิด ต่างก็เป็นตัวตนที่ทะลวงขีดจำกัด และส่งผลต่อกฎเกณฑ์ในอาณาเขตเล็กๆ ได้เป็นเวลาสั้นๆ แต่การดำรงอยู่เช่นนี้ยังไม่อาจก่อเกิดผลกระทบใหญ่ต่อจักรวาล ดังนั้นจึงยังไม่ถึงมาตรฐานของการครอบครองตำแหน่งศักดิ์สิทธิ์
…
ณ ช่องเขาของภูเขาเวท
สองฟากช่องเขาอันมโหฬารที่ทอดยาวร้อยล้านลี้บนผืนดิน บนที่ราบสีแดงเลือดมีกระโจมนับไม่ถ้วนเหยียดยาวสุดสายตาตั้งอยู่เป็นกลุ่มใหญ่
ด้านขวาของช่องเขาคือเผ่าเวท ทั้งหมดคือกระโจมสีดำกับรั้วหนามแหลมกะพริบแสงสีดำ เผ่าเวทที่แข็งแกร่งป่าเถื่อนหลายคนกำลังลาดตระเวนภายใต้การนำของจอมเวท
เงาสูงใหญ่ที่มีหัวเป็นเสือตัวเป็นมนุษย์สายหนึ่งกระเพื่อมเหนือกระโจมผืนใหญ่ นั่นคือเงาของบรรพชนแห่งอัสนี เฉียงเหลียง หนึ่งในสิบสองบรรพชนเวท ครั้งนี้ทัพใหญ่คือทัพพันธมิตรที่ประกอบขึ้นจากเผ่าสิงเทียนที่จอมเวทใต้สังกัดเขาสั่งการ เพื่อต่อสู้กับเผ่าปีศาจ
อีกด้านของช่องเขา เผ่าปีศาจที่มีหัวเป็นเหยี่ยวตัวเป็นมนุษย์กะพริบแสงสีเขียวหลายกลุ่ม กำลังบินวนอยู่เหนือทัพใหญ่เผ่าปีศาจ คอยสอดส่องสถานการณ์ที่เกิดขึ้นรอบๆ
ลวดลายแสงสีทองอ่อนหลายสายกะพริบอยู่บนพื้นดินด้านหลัง คล้ายจะเป็นค่ายกลขนาดยักษ์ปกคลุมกองทัพใหญ่ทั้งหมด
กระโจมสีเหลืองอ่อนผืนใหญ่ตั้งอยู่กลางหมอกเมฆสีขาวหลายกลุ่ม ด้านในกระโจมสีทองที่ใหญ่ที่สุดในนี้
ซังหยางนั่งอยู่กลางกระโจมใหญ่ สองฟากมีแม่ทัพเทพปีศาจหลายคนที่ร่วมสงครามนั่งอยู่ บรรยากาศในกระโจมกดดันเล็กน้อย เทพปีศาจทั้งหลายมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก
มาตรการกลยุทธ์ที่ปรึกษาก่อนหน้านี้ ถูกเผ่าเวทค้นพบอย่างเหนือความคาดหมายตอนที่ดำเนินการไปได้ครึ่งเดียว การลอบโจมตีกลายเป็นสงครามซึ่งหน้า สองฝ่ายต่างรับมือไม่ทัน กำลังรบมากมายถูกทุ่มเข้าไป ทั้งสองฝ่ายประหัตประหารกันเหนือช่องเขา บาดเจ็บล้มตายเกินล้าน ต่างฝ่ายต่างเสียหายอย่างสาหัสสากรรจ์
“เขตสงครามอื่นข้าไม่รู้ แต่เขตสงครามที่เจ็ดไม่อนุญาตให้ใช้กลยุทธ์เลี่ยงสงคราม นี่ไม่เพียงแต่เป็นความคิดของข้าผู้เดียวเท่านั้น ทั้งยังเป็นเจตนาของฝ่าบาทด้วย” ร่างมนุษย์ของซังหยางเป็นชายชราหน้าตาเคร่งขรึมที่ไว้เคราข้างแก้ม สวมเสื้อคลุมยาววิจิตรสีน้ำตาลเข้ม
“แต่ถ้าพวกเราไม่มีกองกำลังหนุน ความพ่ายแพ้เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว” เทพปีศาจตนหนึ่งกล่าวด้วยสีหน้าบูดบึ้ง “เผ่าปีศาจของพวกเราสู้ความเป็นเอกภาพของเผ่าเวทไม่ได้ เผ่าปีศาจมากมายดื้อด้านสอนไม่รู้จักจำ เวลาสู้กันก็ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น เวลาเจอสงครามยังดี แค่ใช้อิทธิฤทธิ์ของใครของมันก็พอ แต่เวลารวมทัพเสียเปรียบจริงๆ…”
“แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ถ้าแสดงความได้เปรียบของเรา และหลีกเลี่ยงการบุกเป็นกลุ่มของเผ่าเวทได้ การช่วงชิงชัยชนะก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้” เทพปีศาจอีกตนเอ่ยเสียงทุ้ม
ซังหยางกำลังจะเอ่ยถามแผนการ อยู่ๆ ด้านนอกก็มียันต์หยกสีแดงแผ่นหนึ่งลอยเข้ามา
เขายื่นมือกวักยันต์หยกเข้ามา ตรวจสอบเนื้อหาด้านใน
“เฟยเหลียนมาทำไม” ซังหยางเผยสีหน้าสงสัย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร สภาพในตอนนี้ การมีเทพปีศาจเพิ่มมาตนหนึ่งก็ถือเป็นกำลังรบเช่นกัน เพียงแต่สิ่งที่เขาสงสัยก็คือ เฟยเหลียนควรจะคุ้มครองอุทยานปีศาจไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงลงมาหาเขาที่โลกด้านล่าง
เขาสลัดความคิดพวกนี้ทิ้งไป ก่อนจะถกแผนการต่อจากนี้กับเทพปีศาจตนอื่นต่อ
ผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม การประชุมก็จบลง ซังหยางเดินออกจากกระโจมด้วยสีหน้านิ่งสงบ เดินไปยังทิศใต้ ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นสายน้ำสีเขียวกลุ่มหนึ่งหายไป
สายน้ำลอยผ่านที่ราบสีแดงเข้มผืนใหญ่ ไม่นานก็เห็นเฟยเหลียนผู้เป็นน้องสาวสวมเสื้อคลุมสีดำและมีดวงตาข้างเดียวอยู่ทางใต้นอกกองทัพ
นอกจากเฟยเหลียนแล้ว ยังมีเทพปีศาจที่ไม่คุ้นหน้าอีกสองตน
“พี่ใหญ่!” เฟยเหลียนเห็นซังหยางมาแต่ไกล พลันแสดงสีหน้ายินดี เข้ามาหาด้วยตัวเอง
“เจ้ามาได้อย่างไร อุทยานปีศาจไม่ใช่ต้องการเทพปีศาจคอยเฝ้าค่ายกลดาราสวรรค์หรอกหรือ” ซังหยางขมวดคิ้วถาม ค่อยๆ กลายเป็นร่างมนุษย์ ทิ้งตัวลงบนพื้น
เพียงแต่เพิ่งจะร่อนลงบนพื้น ฝ่าเท้าเขาก็ชาหนึบ คล้ายมีบางอย่างที่คลุมเครือมุดจากพื้นเข้ามาในร่าง
……………………………………….