ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 93 ชาติกำเนิด (1)
“เดิมทีพวกเราเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่จากทางแคว้นเมฆา ข้ากับน้องสาวยังเรียนอยู่ในสถานศึกษา จนกระทั่งวันหนึ่ง อยู่ๆ ก็มีคนเลวกลุ่มหนึ่งมาที่บ้าน” ใบหน้าหลิ่วฉินปรากฏความเคียดแค้น
“คนเลวเหล่านั้นร้ายกาจยิ่ง พวกเขาสังหารประมุขตระกูลกับผู้คุ้มกันทั้งหมด ผู้ช่วยเหลือที่เชิญมาก็หนีไม่รอด ตระกูลหลักสายตรงที่บ้านถูกฆ่าไปมากแล้ว ค่อยฆ่าสายรอง
พวกเราภายหลังค่อยทราบว่า บ้านเราเพียงโดนลูกหลง ตระกูลหลิ่วของพวกเราเป็นสายรองของตระกูลใหญ่ คนเลวเหล่านั้นเพื่อค้นหาสิ่งของชิ้นหนึ่ง เข่นฆ่าจากสถานที่อื่นถึงตระกูลหลิ่ว สุดท้ายทำให้พวกเราล้มตาย”
“พวกเราแอบปลอมเป็นขอทานด้วยการช่วยเหลือของคนใจดีคนหนึ่ง จึงหนีออกมาได้ ระหว่างทางก็ขอทานมาถึงแดนเหนือ” หลิ่วไฉ่อวิ๋นกล่าวเสริม
“แล้วเรื่องที่พวกเจ้าเจอภูตผีจู่โจมเล่า…” ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว
“นั่นเป็นความสามารถพิเศษโดยกำเนิดของข้าและน้องสาว พวกเรามีคุณสมบัติร่างพิเศษที่ดึงดูดภูตผี และมีความสามารถที่รับรู้ถึงกลิ่นอายของภูตผีได้ตั้งแต่เกิด” หลิ่วฉินรีบตอบ
หลิ่วไฉ่อวิ๋นผู้เป็นน้องสาวรีบพยักหน้าอยู่ด้านข้าง
ลู่เซิ่งสีหน้าสงบนิ่ง ไม่ทราบว่าเขาเชื่อหรือไม่
“แบบนี้นี่เอง…แล้วตอนนี้พวกเจ้ามีแผนการอันใด”
สองพี่น้องสบตากัน หลิ่วฉินกล่าวก่อน “ในเมื่อสิ่งเหล่านี้มาแล้ว พวกเราก็จะไปจากที่นี่”
ฟังถึงตรงนี้ หัวคิ้วของลู่เซิ่งขมวดมุ่นกว่าเดิม
“ปีนี้พวกเจ้าอายุเท่าใด”
หลิ่วฉินสองพี่น้องงงงัน ไม่ทราบว่าจู่ๆ เขาถามคำถามนี้เพราะเหตุอันใด แต่ก็ตอบอย่างเชื่อฟัง
“ข้าสิบเอ็ดขวบ น้องสาวสิบขวบ”
“อายุยังน้อยขนาดนี้ พวกเจ้ายังมีโรคติดตัวอีก หนีต่อไปมีความหมายหรือ สักวันหนึ่งจะหาของกินของดื่มไม่เจอจนอดตาย หรือป่วยตาย ไม่ก็ถูกภูตผีไล่ล่า” ลู่เซิ่งเอ่ยเสียงทุ้ม
เขาลุกขึ้น ถอนใจ ในดวงตาเป็นความสงสาร ยืนอยู่กับที่หลับตาใคร่ครวญ
“เอาแบบนี้” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างไตร่ตรอง “ถ้าไม่เจอยังพอว่า ในเมื่อถูกข้าเจอ ข้าไม่อาจไม่ดูแล”
พวกเจ้าเด็กน้อยทั้งสองรักษาตัวอยู่ที่นี่ก่อนค่อยว่ากัน ที่นี่ยังขาดผู้ช่วยสองคนสำหรับจัดการเรื่องราว พวกเจ้ามาลองทำดูเป็นอย่างไร” เขากล่าวด้วยเหตุผล
“ขอบคุณคุณชาย แต่ว่า ผู้…ช่วยหรือ หมายความว่าอย่างไร ทำงานอันใดหรือ” หลิ่วฉินลังเล ระวังตัวอยู่บ้าง
“อ้อ ก็ช่วยข้าจัดการเรื่องกระจุกกระจิก” ลู่เซิ่งยิ้ม
“อ้อ เป็นเด็กรับใช้ใช่หรือไม่ พวกเราทำได้! หลิ่วไฉ่อวิ๋นไม่รอพี่สาวกล่าววาจา รีบเอ่ยปาก
หลิ่วฉินอยากกล่าววาจาแต่หยุดไว้ กระนั้นน้องสาวก็รับปากไปแล้ว นางเองก็ไม่อาจพูดอะไรอีก
“พวกเจ้าไปหาอวี้เหลียนจื่อ บอกว่าข้าให้จัดการ ให้ท่านหมอมาตรวจพวกเจ้าว่าอาการเป็นอย่างไร จำเป็นต้องใช้ยาอะไรให้เขียนเทียบมา” ลู่เซิ่งกำชับ
“แบบนี้ได้จริงๆ หรือ” หลิ่วฉินไม่กล้าเชื่อว่าจะมีเรื่องดีหล่นจากฟ้ามาเฉยๆ เบิกตาจ้องลู่เซิ่งเขม็ง
“ย่อมได้อยู่แล้ว” ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าเห็นดีในตัวพวกเจ้ายิ่ง สามารถสัมผัสกลิ่นอายภูตผีบนโลกใบนี้ได้ ความสามารถนี้หายากสุดขีด ภายหลังต้องมีการพัฒนามากมาย อย่าดูถูกตัวเองไป” เขาโบกมือให้กำลังใจ
“จริงหรือ…” เสียงหลิ่วไฉ่อวิ๋นสั่นเครืออยู่บ้าง
“จริงแน่นอน ส่วนที่ว่าคุณสมบัติร่างดึงดูดภูตผีของเจ้าก็ไม่ต้องกังวล ข้ากลัวไม่มีของฝึกดาบอยู่พอดี พวกเจ้าอยู่ห้องข้างๆ ข้าก็แล้วกัน” ลู่เซิ่งยิ้มเผยฟันขาว มีความดุร้ายที่ทำให้คนหวาดกลัวอยู่บ้าง เพียงแต่ความเหี้ยมในตอนนี้ สำหรับพี่น้องสองคนกลับใจชื้นกว่าเดิม
“ขอบคุณคุณชายลู่…” หลิ่วฉินกัดฟัน คุกเข่าให้ลู่เซิ่ง ขณะเดียวกันก็ลากน้องสาวให้คุกเข่าลงด้วย
“ไม่เป็นไรๆ!” ลู่เซิ่งรีบเข้าไปประคองทั้งสองคน “พวกเจ้าอายุน้อยขนาดนี้ก็ประสบความลำบาก กลับยังรักษาความจริงใจ ยืนหยัดในตัวเองได้ น่านับถือนัก ข้าผู้แซ่ลู่ในเมื่อมีส่วนที่ช่วยได้ ย่อมไม่อาจปฏิเสธ”
พี่น้องตระกูลหลิ่วยังเป็นคนมีพันบุญคุณหมื่นทดแทน ผ่านอะไรมามาก พวกนางจึงค่อยรู้ว่าการมีสถานที่ที่ปลอดภัยสงบสุขไว้พักผ่อน หายากขนาดไหน
ที่แล้วมาหนีหัวซุกหัวซุน ไม่กล้ารั้งอยู่ที่ใดนานๆ ทั้งสองคนสะดุ้งตื่นหลายครั้ง ตะกายขึ้นมารีบวิ่งหนี สร้างความลำบากให้แก่คนใจดีที่รับพวกนางไว้หลายครั้ง ร้องไห้หลายครั้งหลายครา ความหวังมลายหลายครั้งหลายหน
แต่ว่าครั้งนี้คล้ายแตกต่างอยู่บ้าง คุณชายลู่ที่อยู่ด้านหน้าผู้นี้มีร่างกายกำยำ หัวล้านเลี่ยน ดวงตาดุร้าย บุคลิกไม่ธรรมดา หลักๆ คือเขาไม่กลัวภูตผี ภูตผีตัวที่ถูกดึงดูดมาเมื่อก่อนหน้า คุณชายลู่ไม่ทันกะพริบตาก็กำจัดทิ้งแล้ว เห็นได้ถึงความแข็งแกร่งของเขา
ตอนหลิ่วฉินถอยออกมา ในใจมีความหวัง ครั้งนี้อาจอยู่ที่นี่ได้นานหน่อย
ทั้งสองพี่น้องออกจากตัวลานกลับมาถึงห้องตัวเอง เตรียมผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าไปหาอวี้เหลียนจื่อเพื่อตรวจโรค
“ท่านพี่ ท่านว่าครั้งนี้พวกเราไม่ต้องหนีอีกต่อไปแล้วได้หรือไม่” หลิ่วไฉ่อวิ๋นถามเบาๆ
หลิ่วฉินเงียบเสียง
หลิ่วไฉ่อวิ๋นพูดต่อ “ท่านพี่เหตุใดไม่พูดความจริงกับคุณชายลู่ เขาเป็นคนดี”
“พูดความจริงแล้วอย่างไร” หลิ่วฉินถามกลับ “ปัญหาของพวกเราใหญ่โตเกินไป พูดไม่พูดอย่างมากก็อยู่ที่นี่ได้นานขึ้นสักระยะหนึ่งเท่านั้น”
“ได้อยู่เพิ่มหนึ่งวันก็เป็นเรื่องดี…” หลิ่วไฉ่อวิ๋นเอ่ยเบาๆ
หลิ่วฉินได้ยินก็ถอนใจ
“พวกเราไม่อาจสร้างความลำบากให้คุณชายลู่ เขาทำดีมากแล้ว”
“ข้ารู้ดี…” หลิ่วไฉ่อวิ๋นหดหู่ “ขอแค่โลหิตวิญญาณไพศาลไม่ถูกเจอ พวกมันก็ไม่มีทางละเว้นพวกเรา…”
“เบาเสียง!” หลิ่วฉินรีบตั้งนิ้วขึ้นด้านหน้าริมฝีปาก
“กลัวอันใด พวกเรายังไม่รู้เลยว่าของสิ่งนั้นอยู่ไหน พวกเราเพียงแค่เป็นตระกูลสายรองของตระกูลหลิ่วเท่านั้น อาศัยอะไรต้องให้พวกเราแบกรับเรื่องที่ตระกูลหลักสร้างขึ้น!” หลิ่วไฉ่อวิ๋นไม่พอใจ ดวงตามีแต่ความแค้น “ท่านพ่อท่านแม่ทำอะไรผิด ถึงถูกถลกหนังทั้งเป็นจนตาย?! พวกเราทำอะไรผิด จึงต้องรับความเจ็บปวดที่อยู่ไม่สู้ตายเช่นนี้!”
“พอแล้วไฉ่อวิ๋น!” ในที่สุดหลิ่วฉินก็อดกลั้นไม่ไหว ตวาดเสียงดัง
หลิ่วไฉ่อวิ๋นไม่ส่งเสียงอีก เพียงยืนเงียบอยู่กับที่ กัดริมฝีปาก น้ำตาคลอหน่วย
“ถ้าวันไหนข้ามีพลัง! คนที่ทำร้ายพวกเรา ซ้ำเติมพวกเรา ข้าจะต้อง…” ดวงตานางอำมหิตกว่าเดิม
“ไฉ่อวิ๋น!” หลิ่วฉินเข้าไปกอดนางด้วยแขนข้างหนึ่ง “เจ้าลืมแล้วหรือว่าท่านพ่อท่านแม่เคยสอนพวกเราว่าอย่างไร?!”
“ท่านพี่…ผู้ใดดีกับเรา ข้าก็ดีกับผู้นั้น ผู้ใดไม่ดีกับข้า เช่นนั้นข้าจะทำให้มันอยู่ไม่สู้ตกตาย! แบบนี่ไม่ใช่ยุติธรรมยิ่งหรอกหรือ” หลิ่วไฉ่อวิ๋นตอบเสียงสั่นเทา
หลิ่วฉินไร้วาจาโต้ตอบ
ด้านนอก ลู่เซิ่งยืนนิ่งอยู่ที่ประตู ฟังเสียงสนทนาด้านใน คล้ายมีความคิดอันใด
เขาเดิมทีคิดจะพาทั้งสองไปหาหมอด้วยตัวเอง คิดไม่ถึงจะได้ยินความลับนี้
พี่น้องสองคนนี้ดูเหมือนไม่ใช่คุณสมบัติร่างดึงดูดผีอันใด แต่เหมือนกำลังถูกขุมกำลังใดไล่ล่ามากกว่า
‘น่าสนใจ’ ลู่เซิ่งหรี่ตา จากไปอย่างรวดเร็ว
แต่ถ้าเป็นแค่พลังอย่างภูตผีตัวก่อนหน้า ขุมกำลังที่ไล่ล่านี้ยังไม่พอ
…
ผัวะ! ผัวะ! ผัวะๆๆ!
มีคนทุบกระบองเหล็กหยาบหนักหลายท่อน ระดมฟาดใส่ร่าง หลัง อก ไปถึงแขนไม่หยุด
บนร่างเปลือยเปล่า กล้ามเนื้อทั้งตัวเป็นมันเงาเหมือนกับเหล็กกล้าในแสงอาทิตย์
ผู้มีแรงมากในพรรคววาฬแดงซึ่งถือกระบองเหล็กต่างเหนื่อยแทบตาย แต่ไม่อาจไม่กระหน่ำฟาดกระบองเหล็กใส่ร่างลู่เซิ่ง
บนพื้นที่ว่างในห้องเพาะดอกไม้ ลู่เซิ่งเลือดลมขยายตัว กล้ามเนื้อทั่วร่างบิดเข้าหากันเหมือนกับเอ็นเหล็ก ผิวหนังมีลวดลายเหมือนเชือกเล็กๆ หลายเส้นโผล่ขึ้นมา
นี่คือหนึ่งในการแสดงออกหลังจากวิชาโซ่เก้าสินธุเป็นระดับเบื้องต้น
“พอแล้ว ถังยาเล่า” ลู่เซิ่งลืมตาขึ้น กวาดตามองคนที่เหนื่อยจนล้มกองอยู่รอบๆ ถามเสียงราบเรียบ
“เตรียมไว้เรียบร้อยแล้วพี่ใหญ่” ต้วนเหมิ่งอันที่อยู่ด้านข้างรีบเอ่ย
ลู่เซิ่งพยักหน้า ไม่สร้างความลำบากแก่สมุนเหล่านี้อีก ที่วิชาแข็งกร้าววิชานี้ของเขายากจะเข้าสู่ระดับเบื้องต้น นอกจากเพราะวิชาหยินหยางกระเรียนหยกแล้ว ยังมีหัตถ์หมีขยุ้มที่ฝึกฝนสำเร็จไปก่อนหน้า
หลังจากฝึกฝนวิชาแข็งกร้าวสักวิชาได้ แล้วคิดจะฝึกวิชาที่สองต่อ จำเป็นต้องให้ร่างกายได้รับการกระตุ้นในระดับที่รุนแรงกว่าเดิม จึงค่อยยกระดับความแข็งแกร่งของร่างกายได้
นี่ทำให้ลู่เซิ่งทำความเข้าใจวิชาโซ่เก้าสินธุระดับเบื้องต้นลำบากขนาดนี้
‘แต่ดีที่สำเร็จแล้ว’ ลู่เซิ่งคว้าเสื้อมาจากมือต้วนเหมิ่งอัน ดื่มน้ำ เช็ดเหงื่อ และสาวเท้ากลับห้อง
ถังไม้ทรงกลมขนาดใหญ่ใบหนึ่งวางอยู่กลางห้อง ภายในบรรจุน้ำโอสถสีม่วงดำจนเต็ม
‘จนบู๊รวยบุ๋น เป็นอย่างนี้จริงๆ…แค่น้ำโอสถถังนี้อย่างน้อยก็สิบตำลึงแล้ว’ ลู่เซิ่งส่ายหน้าเล็กน้อย
เขาถอดเสื้อผ้าออกอย่างฉับไว เหยียบเข้าไปในถังไม้
ซู่…
ความรู้สึกข้นเหนียวที่ร้อนเล็กน้อยส่งจากทุกส่วนบนผิวหนังเข้าสู่อวัยวะภายใน
ลู่เซิ่งแช่ตัวในน้ำโอสถ เหลือแค่ศีรษะอยู่ด้านนอก
‘เริ่มได้แล้ว’ เขาค่อยๆ หลับตา พิงตัวกับถังไม้
‘ดีปบลู’
เสียงชิ้งดังขึ้น กรอบเครื่องมือปรับเปลี่ยนโผล่ขึ้นมาด้านหน้าเขา
หลังจากกดปุ่มปรับเปลี่ยนอย่างคุ้นเคย สายตาของลู่เซิ่งก็ไปอยู่บนวิชาโซ่เก้าสินธุ
‘ยกระดับวิชาโซ่เก้าสินธุถึงระดับหนึ่ง’ ลู่เซิ่งคิดในใจ
ทันใดนั้น เครื่องมือปรับเปลี่ยนสั่นเล็กน้อย สถานะของวิชาโซ่เก้าสินธุเด้งจากระดับเบื้องต้นเป็นสถานะระดับหนึ่ง
ซี่…
เสียงเบาๆ ดังขึ้นข้างหูลู่เซิ่ง เขารีบก้มมองลงไปในถังไม้ เห็นน้ำโอสถสีดำม่วงในถังกำลังใสขึ้นอย่างรวดเร็ว ด้วยความเร็วที่ตาเนื้อมองเห็นได้
ด้านในร่างกายร้อนเล็กน้อยอยู่พักหนึ่ง แต่ไม่ทันไรก็หายไป ไม่มีอุปสรรคใหญ่ อาศัยแค่คุณสมบัติร่างกายก็ต้านทานได้
‘ดูเหมือนน้ำโอสถใช้ได้สิบครั้งที่ข้าเตรียมไว้นั้นปรับได้เหมาะสมแล้ว’ ลู่เซิ่งพลันเข้าใจ น่าจะเป็นน้ำโอสถกับคุณสมบัติศักยภาพของตัวเองที่ขัดขวางการเพิ่มระดับของวิชาโซ่เก้าสินธุ
‘การยกระดับวิชาแข็งกร้าวมักจะต้องการการกระตุ้นจากพลังภายนอกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ให้ระดับความหนาแน่นของกายเนื้อสูงขึ้นเรื่อยๆ ระดับความแข็งแกร่งย่อมเยอะตาม การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้สำหรับร่างกายแล้ว รุนแรงกว่าวิชากำลังภายในอย่างเดียว คาดว่านี่เป็นเพราะวิชาแข็งกร้าวเช่นวิชาโซ่เก้าสินธุสิ้นเปลืองพลังใกล้เคียงกับวิชาลมปราณแดงฉาน
แต่เมื่อมีน้ำโอสถที่มากพอคอยช่วยเหลือ การสิ้นเปลืองก็ลดลงถึงขั้นยกระดับอย่างต่อเนื่องได้ในเวลาอันสั้น’
เขาสัมผัสอย่างละเอียดถึงความรู้สึกชาที่ไหลบนชั้นผิวหนังและกล้ามเนื้อชั้นนอกด้วยตัวเอง นี่เป็นวิชากำลังภายในของวิชาโซ่เก้าสินธุ มันไม่เข้าสู่อวัยวะภายใน แต่ว่าโคจรอยู่ในผิวหนังกับกล้ามเนื้อชั้นนอก กลายเป็นเครือข่ายที่พัวพันบนผิวของร่างราวกับโซ่เหล็ก ตอนเจอการโจมตีจากภายนอก การป้องกันต่ออาวุธไร้คมจะทรงประสิทธิภาพเป็นพิเศษ
ส่วนหัตถ์หมีขยุ้มมีการป้องกันต่ออาวุธมีคมไม่เลว สองวิชาจึงประสานกันพอดี
……………………………………….