ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 932 วัดกำลัง (2)
ลู่เซิ่งรีบยกมือขึ้น พลังงานสายนั้นพุ่งขึ้นมาตามแขนของเขา แล้วจับตัวเป็นหนวดสีเทาเส้นหนึ่ง พุ่งเข้าไปหาซังหยางที่หนวดสีดำอมม่วงปกคลุมอยู่
ในทันทีที่หนวดสีเทาปรากฏ หูลู่เซิ่งก็เหมือนได้ยินเสียงพึมพำกระซิบทุ้มต่ำลึกลับบางอย่าง ความปรารถนาอันชั่วร้ายบิดเบี้ยวที่ต้องการทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง ปรากฏขึ้นในก้นบึ้งจิตใจ
“ความโกลาหล ความลิงโลด การหลอมรวม การกัดกร่อน…” นอกจากความปรารถนามากมาย ยังมีความคิดคล้ายๆ สัญชาตญาณ เกิดขึ้นในตัวลู่เซิ่งอย่างรวดเร็ว
ความคิดทางสัญชาตญาณที่ประหลาดเหล่านี้ ถูกลู่เซิ่งใช้จิตปฐมสะบั้นทิ้งอย่างรวดเร็ว ความปรารถนาเป็นส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณและจิตปฐมของเขา เพียงแค่ถูกสะกดไว้เท่านั้น อย่างไรเขาก็ไม่ใช่จอมอริยะที่สำเร็จจากการสะบั้นอสุภ และไม่ใช่ละทิ้งเจ็ดอารมณ์หกกิเลสหมดสิ้น
หนวดสีเทาปะทะกับพลังงานอันยิ่งใหญ่ที่ทะลักออกมาจากในตัวซังหยางอย่างอธิบายไม่ได้
ทั้งสองฝ่ายขัดแย้งกันเหมือนน้ำกับไฟ เพิ่งสัมผัสกันก็ปล่อยรอยแตกมิติสีดำที่บิดเบี้ยวออกมามากมาย
ลู่เซิ่งสูดลมหายใจลึก สถานการณ์อยู่เหนือกว่าที่เขาคาดไว้เล็กน้อย
หลังจากที่เขาทำให้จิตปฐมเสถียร จึงเพิ่งรู้สึกได้ว่า จักรวาลแข็งแกร่งที่ยิ่งใหญ่และโกลาหลหลายแห่งในส่วนลึกของธารมารดาที่อยู่ไกลแสนไกล กำลังจ้องมองเขาด้วยสายตาสัตว์ที่ชั่วร้ายแปลกประหลาด ปลดปล่อยพลังงานสีเทาที่เลวทรามกร้าวแกร่งออกมาหลายสาย ส่งมาถึงร่างหลักของเขา
“พลังชนิดนี้…ความรู้สึกคุ้นเคยนี้…” ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว
“เป็นโลกเทพนอกรีต!” เขาหวนนึกถึงแก่นสารของพลังงานชนิดนี้ทันที
และพลังที่ต่อสู้กับพลังเทพนอกรีตอยู่ ก็น่าจะเป็นพลังต้นกำเนิดของจักรวาลแห่งนี้
“เรากลายเป็นลูกรักของโลกเทพนอกรีตจริงๆ แล้วสินะ…” ลู่เซิ่งสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า ตอนที่ไหลผ่านร่างกายของตัวเอง พลังงานสีเทาที่โกลาหลหลายสายนั้น ไม่เพียงแต่ไม่สร้างความเสียหายแก่กายเนื้อและจิตปฐมของเขาเท่านั้น ยังมีวัตถุลึกลับอันอัศจรรย์ชนิดหนึ่งซึมออกมา เพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่จิตปฐมของเขาไม่หยุด
และในทางตรงกันข้าม ปราณวิญญาณฟ้าดินรอบๆ รวมถึงพลังงานต่างๆ ในจักรวาลผืนนี้ ก็เกิดการปฏิเสธอย่างรุนแรงต่อร่างนี้ของเขาอย่างเห็นได้ชัด
“เป็นอย่างที่คิด…การกัดกร่อนซังหยางอาจจะกระตุ้นการต่อต้านของจักรวาลแห่งนี้เข้า พลังฝึกปรือของซังหยางใกล้ถึงขอบเขตจอมอริยะ หมายความว่า จอมอริยะได้สัมผัสกับกฏเกณฑ์ส่วนหนึ่งแล้ว และกฎเกณฑ์ส่วนนี้ก็เป็นเขตฝังระเบิดที่จักรวาลแห่งนี้ไม่อนุญาตให้ผู้มาจากภายนอกแตะต้อง…ดังนั้น ถือว่าเราเดินชนตอเข้าแล้ว มิน่าถึงจัดการซังหยางไม่ได้สักที แต่ดีที่เราถือหลักฐานแห่งราชันจากโลกเทพนอกรีต เหมือนจะกลายเป็นผู้บุกเบิกและลูกรักของเทพนอกรีต…ไม่เลว…ข้าชอบ”
ลู่เซิ่งยิ้มอย่างอึมครึม
โลกเทพนอกรีตไม่ได้ส่งจิตที่ชัดเจนใดๆ ให้แก่เขา หรือควรบอกว่าจิตของโลกคือความโกลาหล พวกมันมอบรางวัลให้แก่สิ่งที่มีผลดีต่อตน และลงทัณฑ์สิ่งที่ส่งผลเสียต่อตน
นี่เป็นสัญชาตญาณของโลก
และตอนนี้ ลู่เซิ่งที่พกสัญลักษณ์แห่งราชันจากโลกเทพนอกรีต ก็ใช้หนวดพลังเทพนอกรีตกัดกินเทพปีศาจอย่างต่อเนื่อง จนได้รับความรู้ในระดับสูงจากโลกเทพนอกรีต เขาคือผู้ที่ได้รับการดูแลจากสัญลักษณ์แห่งราชัน ตอนนี้ยิ่งได้รับแนวโน้มโดยสัญชาตญาณจากโลกเทพนอกรีตเป็นจำนวนมาก
พลังต้นกำเนิดของโลกเทพนอกรีตที่โกลาหลและชั่วร้ายทะลักเข้ามาในร่างลู่เซิ่งอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย
นี่ไม่ใช่พลังเทพนอกรีต แต่เป็นพลังอันแข็งแกร่งที่ยิ่งใหญ่กว่า ยุ่งเหยิงกว่าพลังเทพนอกรีต รองรับทุกสิ่ง กลืนกินทุกอย่าง
“นี่คือปฐมพลังของโลกหรือ…” ลู่เซิ่งเคยเห็นพลังมานับไม่ถ้วน แต่เพิ่งเคยเห็นปฐมพลังของโลกเป็นครั้งแรก
ปฐมพลังของโลกเป็นพลังขับเคลื่อนที่เป็นบ่อเกิดของโลก ทั้งยังเป็นพลังอันแข็งแกร่งที่แยกพลังงานลูกทั้งหมดออกเป็นสาขา กล่าวได้ว่าเป็นต้นกำเนิดของทุกสิ่ง
แต่พลังงานแบบนี้ก็เป็นสิ่งที่สัมผัสได้ยากที่สุดเช่นกัน ตัวมันคือสมดุลอันเปราะบาง ไม่ใช่แค่รวมพลังทั้งหมดของจักรวาลเข้าไว้ด้วยกัน แล้วจะให้กำเนิดปฐมพลังของโลกได้
“ถ้านี่เป็นปฐมพลังของโลก อย่างนั้น…พลังงานของซังหยาง…” ลู่เซิ่งสัมผัสซังหยางที่กำลังดิ้นรนมีชีวิตอยู่ไม่ไกลออกไปอย่างละเอียดผ่านจิตปฐม
ในตัวเขามีพลังงานอีกสายที่ไม่ด้อยไปกว่าพลังต้นกำเนิดของโลกเทพนอกรีตเลย
ยุ่งเหยิงเหมือนกัน กว้างขวางและแข็งแกร่งเหมือนกัน แต่กลับให้ความรู้สึกสูงส่ง เย็นชาไร้อารมณ์
“ปฐมพลังของโลกชนิดต่างๆ ก็มีการแบ่งประเภทไม่เหมือนกันด้วยหรือ” ลู่เซิ่งเข้าใจ
เขายื่นมือออกมาช้าๆ สิ่งของเล็กจ้อยก้อนหนึ่งแยกออกมาจากในร่างหลัก นั่นคือวัตถุทรงไข่สีเทา
มันปรากฏกลางฝ่ามือของเขา แสงสายฟ้าสีเทาหลายสายส่องประกายอยู่ด้านใน
นี่คือหลักฐานแห่งราชัน ของวิเศษลึกลับที่เขาได้มาจากโลกเทพนอกรีต
ลู่เซิ่งใคร่ครวญเล็กน้อย แล้วใส่จิตปฐมเข้าไป
หลักฐานแห่งราชันเคลื่อนไหวไม่ได้ เป็นเพียงสิ่งของเท่านั้น ก่อนหน้านี้ลู่เซิ่งไม่ได้ข้อมูลใดๆ ทว่าตอนนี้ เขาได้อ่านข้อมูลตกค้างอันกระจัดกระจายส่วนหนึ่งผ่านจิตปฐมแล้ว
ผ่านไปชั่วครู่ ลู่เซิ่งก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้…” ดวงตาของเขากระจ่างแจ้งกว่าก่อนหน้านี้อยู่ไม่น้อย
ข้อมูลที่เหลืออยู่ในหลักฐานแห่งราชันมีไม่มาก แต่ก็ยังมากพอที่จะให้เขาทำความเข้าใจเนื้อหาไม่น้อย
“กลับไปก่อนค่อยว่ากัน” ลู่เซิ่งบีบฝ่ามือ หนวดสีเทาพลันขาดสะบั้นลง
ร่างเขาวูบไหวหายไปจากที่เดิมทันที
ครู่ต่อมาตอนที่ปรากฏตัวอีกครั้ง มือขวาของเขาก็หิ้วร่างที่ไหม้เกรียมสองร่างไว้แล้ว
อัคคีเทพหงส์เพลิงสีทองขาวกลุ่มใหญ่ปกคลุมเขากับอีกสองร่างเอาไว้ เปลี่ยนทั้งสามให้กลายเป็นเพลิง
แสงเพลิงพุ่งสู่ฟ้า บินออกไป
ไม่นานนัก ไกลออกไปก็มีแสงอีกสองสายบินติดตามลู่เซิ่ง
ส่วนซากป่าหินที่ซังหยางอยู่ก่อนหน้า เวลานี้ความร้อนลดลงอย่างรวดเร็ว กลายเป็นเขตหินหลอมเหลวผืนใหญ่
…
ณ วังหงส์เพลิง
ลู่เซิ่งกลับวังหงส์เพลิงโดยไม่มีใครทราบ ตอนนี้เขาก้าวสู่ขอบเขตจอมอริยะแล้ว ทุกๆ การเคลื่อนไหวจะกระตุ้นอานุภาพของเพลิงอันยิ่งใหญ่ได้อย่างง่ายดาย
และหลังจากได้รับโองการยันต์หยกสีม่วง เขาก็รู้สึกได้ว่าปราณวิญญาณสายอัคคีมากมายรอบตัวกำลังเคลื่อนไหวด้วยระดับมากกว่าเดิมหลายสิบเท่า
เหมือนโองการยันต์แผ่นนั้นมอบอำนาจควบคุมปราณวิญญาณสายอัคคีให้แก่เขา
ตอนนี้หากเขาปล่อยเปลวอัคคีออกมาสักสาย จะถูกปราณวิญญาณสายอัคคีขยายด้วยความเร็วสูง อานุภาพสูงขึ้นเป็นหลายสิบเท่า หรือหลายร้อยเท่าจากของเดิม
ถึงแม้อัคคีเทพหงส์เพลิงอันเป็นแกนกลางจะไม่แข็งแกร่งขึ้น แต่อาณาเขตโจมตีเพิ่มขึ้นกว่าก่อนหน้า
บรรยายง่ายๆ ก็คือ ยามทุบตีใครก่อนหน้านี้ต้องถอดเสื้อเข้าโรมรันใส่ แต่จะทุบตีคนในยามนี้นั้น ให้ลูกน้องที่มีไม่หมดไม่สิ้นของตนเข้าไปรุมสะกรัมก่อน หากลูกน้องสู้ไม่ได้ เขาถึงค่อยลงมือเอง
นี่เพิ่มพลังทำลายของเขาทางอ้อม
ลู่เซิ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ในตำหนักข้างแห่งหนึ่ง ณ ส่วนลึกของวังหงส์เพลิง มือถือสุราเซียนที่บ่มมาใหม่ๆ ฟังเสียงพิณไพเราะด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
เสี่ยวหนิงนั่งดีดพิณยาวอยู่ด้านข้างเบาๆ ใบหน้างามแอบเหลือบมองลู่เซิ่งเป็นระยะ เย้ายวนกระเง้ากระงอดยิ่ง
นับตั้งแต่ลู่เซิ่งมาถึงอุทยานสวรรค์ เหล่าหญิงสาวของเผ่าหงส์เพลิงก็มักจะชอบวนเวียนอยู่รอบตัวเขาเหมือนกับต้องมนตร์
แม้แต่พวกหงส์เพลิงบุรุษเพศที่มีไม่กี่คน เวลาคุยกับลู่เซิ่ง ก็ให้ความรู้สึกออดอ้อนออเซาะเช่นกัน
แต่สิ่งที่ยังดีก็คือ ต่อให้เป็นหงส์เพลิงบุรุษเพศ รูปร่างหน้าตาก็ไม่ด้อยกว่าสตรีเพศ ถึงขั้นงามกว่า แม้ลู่เซิ่งจะไม่รับความปรารถนาดี แต่ก็ดูเป็นอาหารตาได้
เวลานี้เขาหลับตาดื่มสุรา ดูเหมือนกำลังดื่มด่ำ แต่ในใจกลับใคร่ครวญถึงสภาพประหลาดตอนฝังกาฝากในตัวซังหยางก่อนหน้านี้
สุดท้ายซังหยางก็โดนฝังกาฝากสำเร็จ พลังของจักรวาลผืนนี้ถูกพลังของโลกเทพนอกรีตกดข่มไว้
ลู่เซิ่งสัมผัสได้ว่าหลักฐานแห่งราชันที่ตนครอบครองเหมือนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ เพราะการฝังกาฝากในรอบนี้สำเร็จ
พลังเทพนอกรีตบนตัวเขาที่เดิมทีควรจะหล่อเลี้ยงอีกนาน อาศัยจังหวะนี้กลับมาอยู่ในสภาพเดิมเช่นกัน
สิ่งที่ทำให้เขาสับสนที่สุดก็คือ นาฬิกานับถอยหลังบนทรวงอกของร่างหลักของเขาหายไปโดยสิ้นเชิง ในการปะทะระหว่างปฐมพลังของโลกครั้งนั้น
นาฬิกานับถอยหลังเรือนนั้นเป็นเบาะแสเพียงหนึ่งเดียว ที่เขาคิดจะใช้ค้นหาแองจิส เหยี่ยววัฏปฐม
ตอนนี้ถึงกับขาดสะบั้นลงภายใต้การชำระล้างจากปฐมพลังของโลก
“ดูจากข้อมูลที่ได้จากหลักฐานแห่งราชัน ปฐมพลังแห่งจักรวาลถือเป็นระดับที่อยู่ในระดับค่อนข้างสูง แต่อ่อนด้อยกว่าพลังของธารมารดาขั้นหนึ่ง ระหว่างจักรวาลนับไม่ถ้วน พลังประหลาดต่างๆ มีคุณสมบัติพิเศษมากมายจนนับไม่หวาดไม่ไหว เวลา มิติ ก่อเกิดและดับสูญตลอดเวลา จักรวาลมีขึ้นมีลง มีเกิดมีดับเช่นกัน บางทีไม่มีสิ่งที่รองรับทุกอย่างได้จริง สิ่งที่ปฐมพลังของจักรวาลรองรับได้ น่าจะเป็นพลังงานทั้งหมดของจักรวาลนั้นๆ ส่วนในความว่างเปล่าชั้นนอก ถึงขั้นแม้แต่พลังของธารมารดา ก็เป็นเพียงพลังแข็งแกร่งชนิดหนึ่งเท่านั้น”
ข้อมูลที่เหลืออยู่ในหลักฐานแห่งราชันมีอยู่ไม่มาก แต่ความรู้เกี่ยวกับจักรวาลและมิติเวลาทั้งหมด ก็ทำให้ลู่เซิ่งได้เปิดหูเปิดตาแล้ว
อาจเป็นเพราะข้อมูลที่เจ้าของหลักฐานแห่งราชันคนเก่าทิ้งเอาไว้ หรืออาจจะเป็นเศษซากร่องรอยที่โลกเทพนอกรีตส่งถ่ายเข้ามา ไม่ว่าอย่างไร ลู่เซิ่งก็ได้รับข้อมูลลับมาไม่น้อย จากร่องรอยกับเศษโครงสร้างพลังงานที่หลงเหลืออยู่ในหลักฐานแห่งราชัน
ด้านในสิ่งนี้ไม่ได้มีแค่ปฐมพลังของโลกเท่านั้น ยังมีพลังของธารมารดาอยู่นิดหน่อย แม้เทียบกับพลังแปลกประหลาดและแข็งแกร่งชนิดอื่นๆ มันจะเป็นเพียงร่องรอยหลงเหลือน้อยนิด แต่ก็ทำให้ลู่เซิ่งต้องถอนใจชมเชย
เขาแยกแยะวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมาก ผ่านการจัดเรียง ความขัดแย้ง และสมดุลทางธรรมชาติระหว่างพลังงานพวกนี้
“ในเมื่อเรากลายเป็นผู้บุกเบิกกับลูกรักของโลกเทพนอกรีตอย่างอ้อมๆ แล้ว อย่างนั้น…อาจจะใช้พลังเทพนอกรีตได้คล่องกว่าเดิมก็ได้”
ลู่เซิ่งวางจอกสุราลงบนโต๊ะเบาๆ
สำหรับพลัง ไม่ว่าจะเป็นพลังอะไร เขาล้วนไม่สนใจ ขอแค่ทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น และได้รับอิสระมากกว่าเดิม ไม่ว่าอะไรเขาก็รับได้ทั้งสิ้น
ปฐมพลังของโลกที่โลกเทพนอกรีตเติมเต็มเข้ามาให้ สูงกว่าพลังเทพนอกรีตของร่างหลักขั้นหนึ่ง ดูเหมือนพลังชนิดนี้จะปรับเปลี่ยนจิตวิญญาณกับกายเนื้อของร่างหลักเพียงเล็กน้อย เพื่อเป็นการมอบของรางวัลจากการที่เขากัดกร่อนซังหยางได้
“แต่สุดท้ายแล้วพลังสายนี้ก็ยืมมาใช้เท่านั้น เราสัมผัสได้ว่า ผ่านไปอีกสิบวัน ปฐมพลังจากเทพนอกรีตทั้งหมดจะสลายหายไปอย่างสมบูรณ์ ไม่ใช่พลังอันแข็งแกร่งที่เราฝึกฝนออกมา ย่อมเก็บไว้ไม่ได้”
ลู่เซิ่งไตร่ตรองครู่หนึ่ง
“ดูเหมือนได้แต่ใช้ดีปบลู ทดลองหลอมเปลี่ยนเป็นพลังของร่างหลักดู…”
เขาเคยทดลองมาก่อน ถ้าหากเทียบสัดส่วนอัคคีเทพหงส์เพลิงกับพลังเทพนอกรีตแบบหนึ่งต่อหนึ่ง
ต้องรวมสองสิ่งให้ได้แสนหน่วย ถึงจะงัดปฐมพลังเทพนอกรีตหนึ่งหน่วย แล้วหลอมรวมมันเข้ากับร่างหลักได้
พลังงานชนิดนี้รองรับทุกสิ่ง คุณสมบัติคือความยุ่งเหยิงโกลาหล มีแต่การทำลายสมดุลความโกลาหลด้านในเท่านั้น ถึงจะดูดซับหลอมเปลี่ยนมันได้
เพียงแต่การทำแบบนี้มีประสิทธิภาพต่ำเกินไป พูดอีกอย่างก็คือ ลู่เซิ่งต้องบดอัดผลาญอัคคีเทพหงส์เพลิงกับพลังเทพนอกรีตแสนหน่วย ถึงจะพอหลอมเปลี่ยนปฐมพลังของโลกหนึ่งหน่วยได้
เพียงแต่สำหรับเขาแล้ว ขอแค่งัดได้ ปัญหาหนึ่งเดียวของดีปบลูก็คือจำนวนพลังอาวรณ์เท่านั้น
หากยึดตามการแยกแยะประเมินของเขา เกรงว่าปฐมพลังของโลกใบนี้จะเป็นพลังงานแข็งแกร่งที่เหมือนกับปราณม่วงเวิ้งว้างในจักรวาลแห่งนี้
หากไม่รีบนำมาครอบครอง ก็สูญเปล่าจริงๆ แล้ว
……………………………………….