ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 933 นัดพบแรก (1)
พิภพปฐพี เขาปรภพ
ปีกสีทองขนาดยักษ์กระพือด้านหลังสัตว์ประหลาดร่างยักษ์ที่เหมือนกับแรดตัวหนึ่ง
มันบินเลียบสันเขา แล้วทิ้งตัวลงบนที่ราบภูเขาแห่งหนึ่ง ร่างกายขนาดยักษ์กลายเป็นมนุษย์กลางหมอกหนาสีขาวกลุ่มหนึ่ง
“ตวนฟาง อามาเยี่ยมเจ้าแล้ว” มนุษย์ที่เปลี่ยนมาจากสัตว์ประหลาดแรดคือชายฉกรรจ์ร่างกำยำที่ไว้เคราข้างแก้ม สวมกางเกงหนังและอาภรณ์หนังสีน้ำตาล มัดแส้หนังหยาบใหญ่ที่ฝังอัญมณีจำนวนไม่น้อยไว้ที่เอว
เพิ่งจะสิ้นเสียง ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากที่ราบเนินเขาแผ่วเบา ไม่นานเงาคนขนาดเล็กสองสายก็โผล่ออกมาจากป่าด้านข้าง พุ่งไปหาผู้เป็นอา
“ท่านอา!”
ผู้ที่วิ่งอยู่ด้านหน้าคือชายหนุ่มหล่อเหลาบอบบาง เขาสวมเสื้อยาวสีเขียว ด้านหลังเขาเป็นหญิงสาวร่างอรชรสวมกระโปรงรัดเอวสีขาวคนหนึ่ง
ทั้งสองยืนหนึ่งหน้าหนึ่งหลังประจัญหน้าชายฉกรรจ์ ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม
“บิดามารดาของพวกเจ้าเล่า” ชายฉกรรจ์ถามพลางยิ้มพราย
“ออกไปเก็บสมุนไพรขอรับ ยังไม่กลับมา” ชายหนุ่มตอบอย่างจริงจัง
“อย่างนั้นก็ตามข้าไปก่อนเถอะ ครั้งก่อนบอกว่าจะพาพวกเจ้าไปเที่ยวที่ดีๆ ปกติข้าเข้าไปที่นั่นไม่ได้เช่นกัน ถ้าไม่ใช่เพราะตอนนี้โอกาสดี พวกเราก็คงหมดโอกาสเหมือนกัน” ชายฉกรรจ์แย้มยิ้ม
“ขอรับ พวกเราจะไปเอาของมาก่อน ท่านอาโปรดรอสักครู่” ชายหนุ่มตวนฟางรีบว่า
“ไม่มีปัญหา ไปเถอะๆ”
ตวนฟางพาหญิงสาวกลับไป ครู่หนึ่งก็พุ่งขึ้นฟ้า ทะลุลำธารเส้นหนึ่ง แล้วทิ้งตัวบนแท่นหินกว้างขวาง
ตวนฟางกำลังจะเข้าไปวิมานถ้ำซึ่งซ่อนเร้นไว้ระหว่างเถาวัลย์ บนแท่นหิน
“รอเดี๋ยว ท่านพี่ ท่านรู้สึกหรือไม่ว่าครั้งนี้ท่านอามี่ซานพิกลอยู่บ้าง” หญิงสาวพลันกดเสียงต่ำร้องเตือน
“พิกลหรือ” ตวนฟางงุนงงเล็กน้อย จากนั้นก็ทบทวนการเคลื่อนไหวของผู้เป็นอาอย่างละเอียด พบว่าพิกลอยู่บ้างจริงๆ
“บนตัวเขาเหมือนจะมีกลิ่นอายพิเศษที่บอกไม่ถูกชนิดหนึ่ง แทบไม่ได้กลิ่นของแรดมองจันทร์อย่างเมื่อก่อนหน้าแล้ว” หญิงสาวกล่าวต่อ “ตอนท่านพ่อออกไป ได้กำชับพวกเราเป็นกรณีพิเศษว่า ให้ระมัดระวังตัว ตอนนี้ท่านพ่อเพิ่งไปได้ไม่นาน ท่านอามี่ซานก็มาหาพวกเราเอง ส่วนทางท่านพ่อ…”
“ข้าเข้าใจแล้ว” ตวนฟางพยักหน้า สีหน้าค่อยๆ เคร่งขรึมขึ้น เวลานี้ไฟสงครามของเผ่าปีศาจลุกลามไปไกล หากไม่ระวังอาจเกิดอันตรายขึ้นได้
“นอกจากนี้เมื่อครู่ ข้ายังเห็นบริวารของท่านอามี่ซู ขวางทางเข้าออกของพวกเราเอาไว้ด้วย” หญิงสาวเอ่ยต่อ
ตวนฟางที่เดิมลังเลอยู่บ้างพลันเคร่งขรึมขึ้น
“เจ้าแน่ใจหรือว่ามองไม่ผิด”
“ข้าแน่ใจ” หญิงสาวมั่นใจ
“ท่านอามี่ซานเป็นสหายสนิทของท่านพ่อ…เกิดอะไรขึ้นกัน” ตวนฟางมึนงงเล็กน้อย
“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ข้าสังหรณ์ว่า รูปแบบกับแผนการนี้…” หญิงสาวเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ตอนนี้เป็นช่วงสงคราม ระวังไว้ก่อนจะดีกว่า”
“พวกเราไปหาท่านอาไป๋เจ๋อกัน! ไปเถอะ รีบเก็บของ พวกเราจะไปทางลับ!” ตวนฟางตัดสินใจทันที
แม้มี่ซานจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับบิดาของพวกเขา แต่เป็นเพียงสหายสนิทเท่านั้น ไม่ได้สนิทสนมเท่าเทพปีศาจอย่างไป๋เจ๋อ
เด็กทั้งสองมีพรสวรรค์ล้ำเลิศ สามารถหลบเลี่ยงสิ่งมีชีวิตที่ต้องการหลบเลี่ยงได้ผ่านกลิ่นอาย หลังจากเก็บของลวกๆ ทั้งสองแอบบินหนีจากไป ผ่านทางลับที่อยู่ด้านหลัง
…
วังไป๋เจ๋อ
“พวกเจ้าบอกว่า มี่ซานเกิดความผิดปกติหรือ ทั้งยังพาบริวารมาจับพวกเจ้าอีก” ไป๋เจ๋อจ้องมองเด็กสองคนตรงหน้าด้วยสีหน้าพิลึก
พวกเขาคือลูกๆ ของเทพปีศาจที่แข็งแกร่งนามฝูเฟิงจื่อ สหายสนิทของเขา ฝูเฟิงจื่อไม่ชื่นชอบการต่อสู้ ปฏิเสธคำเชิญจากจักพรรดิสวรรค์ เร้นกายในเขาลึก มีแต่สหายสนิทไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ที่อยู่ของเขา
ไป๋เจ๋อขมวดคิ้ว ช่วงนี้สถานการณ์ของอุทยานปีศาจผิดปกติอย่างยิ่ง เทพปีศาจสองสามตนจับกลุ่มกัน เทพปีศาจที่เดิมทีไม่สนิทสนมกันส่วนหนึ่ง คล้ายจะชอบอยู่ด้วยกัน เหมือนปรึกษาเรื่องที่ไม่ต้องการให้ใครรู้
เขาใช้อิทธิฤทธิ์การทำนายของตัวเองหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่ได้รับคำตอบ นี่ทำให้ในใจเขาระแวดระวังขึ้นมา
“แล้วบิดาของพวกเจ้าเล่า ก่อนหน้านี้เขาบอกว่าจะไปเยี่ยมสหายที่เขาจิ่วหัว เขาจิ่วหัวห่างจากวิมานถ้ำของพวกเจ้าแค่เดินเท้าไม่กี่วัน ตอนนี้ยังไม่กลับอีกหรือ” ไป๋เจ๋อถามต่อ
“ยังขอรับ…ระหว่างทางพวกเราไปเขาจิ่วหัวมาแล้ว แต่ไม่เจออะไร” ตวนฟางสีหน้าซีดเซียวคร่ำเคร่งอยู่บ้าง
“ไม่ใช่แค่ท่านพ่อไม่อยู่เท่านั้น แม้แต่ราชาปีศาจจิ่วหัวก็ไม่อยู่เช่นกัน…” หญิงสาวชื่อตวนลี่กล่าวสำทับจากด้านหลังเขา
“การที่พวกเจ้ามาหาข้าทันที ถือว่าทำถูกต้องแล้ว ทางข้ามีธุระต้องการให้พวกเจ้าช่วยพอดี” ไป๋เจ๋อเอ่ยด้วยอาการเคร่งขรึม
“ตวนฟาง เจ้าสืบทอดอิทธิฤทธิ์โดยกำเนิดของบิดาเจ้า เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงขนาดที่เจ้าจะหาที่อยู่ของบิดาเจ้าเจอหรือไม่ ดังนั้น เจ้ายินดีช่วยข้าไหม” เขามองชายหนุ่มจริงจัง
ตวนฟางงุงงเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าอย่างไม่ลังเล
“พวกเรามาหาท่านอาเพื่อตามหาท่านพ่อแต่แรกแล้วขอรับ! มีอะไรให้ช่วยเหลือ ท่านอาบอกกล่าวได้เต็มที่” เขาทราบความพิเศษกับความแข็งแกร่งของอิทธิฤทธิ์ตัวเอง ตอนนี้หากต้องการตามหาท่านพ่อให้เจอโดยเร็วที่สุด เกรงว่าตนเองต้องลงแรงแล้วจริงๆ
อย่างไรพูดถึงการสะกดรอย ใต้หล้ายังไม่เจอใครที่เก่งกาจไปกว่าเขา
ไป๋เจ๋อพยักหน้า
“เจ้าต้องช่วยข้าตรวจสอบที่อยู่ของซากพลังปีศาจบางส่วน…ก่อนหน้านี้มีเทพปีศาจหลายตนหายตัวไปอย่างกะทันหัน จนถึงวันนี้ยังไม่กลับมา ข้าสงสัยว่าจะเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้น ไม่ว่าจะเป็นฝีมือของเผ่าเวทหรือไม่ พวกเราก็ต้องตรวจสอบความจริงของเรื่องราวให้กระจ่าง”
“ข้าเข้าใจแล้ว! ท่านอาโปรดนำทาง” ตวนฟางพยักหน้า
…
ณ วังหงส์เพลิง
ลู่เซิ่งเปิดประตู เดินเข้ามาในลาน
นับตั้งแต่วันที่เขาเอาชนะซังหยาง แล้วฝังกาฝากใส่ร่างอีกฝ่าย ก็ผ่านไปสิบกว่าวันแล้ว หลายวันมานี้เขาใช้เวลาเกือบทุกวันในการหลอมเปลี่ยนปฐมพลังของโลกที่หลงเหลืออยู่ในร่างกายตนเอง
ปฐมพลังของโลกที่มาจากโลกเทพนอกรีตชนิดนี้ ความสูงส่งของคุณภาพ ความแข็งแกร่ง และความหนาแน่น หากใครได้ยินเป็นต้องตกตะลึง
เขาใช้พลังของเก้ากระทิงสองพยัคฆ์ ค่อยๆ หลอมเปลี่ยนและหลอมรวมปฐมพลังของโลกสองสายเข้ากับจิตปฐมของตัวเอง
ทว่าก็ต้องเสียอัคคีเทพหงส์เพลิงกับพลังเทพนอกรีตไปอย่างมหาศาล แน่นอนว่าสิ่งที่เสียมากสุดคือพลังอาวรณ์ พลังอาวรณ์ที่เพิ่งได้มาถูกใช้จนหมดเกลี้ยงอีกครั้ง
แน่นอนว่าเขาคิดว่าทุกอย่างนี้คุ้มค่า
คนเผ่าหงส์เพลิงในตัวลาน ต่างก็บรรเลงเพลงเฉกเช่นที่เคยทำ
มีเพียงหญิงสาวเย็นชาสวมกระโปรงแดงที่นั่งอ่านหนังสืออยู่มุมหนึ่งคนเดียวเท่านั้น
ลู่เซิ่งไม่ได้สนใจหญิงสาวคนนั้น เดินออกจากตัวลาน จากนั้นก็มียันต์หยกแสงอัคคีสายหนึ่งพุ่งมา หล่นใส่กลางฝ่ามือของเขา
ยันต์อัคคีสลายไป ข้อมูลสายหนึ่งผุดขึ้นในหัวเขา
“นายท่าน การซุ่มโจมตีกุ่ยเชอล้มเหลว เขาเหมือนสัมผัสบางอย่างได้ก่อน จึงไม่ได้ผ่านตำแหน่งนั้น”
“หือ” ลู่เซิ่งหางตากระตุก รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
“ดูเหมือนในที่สุดอุทยานปีศาจก็สัมผัสบางอย่างได้ เริ่มระมัดระวังตัวแล้ว แต่ตอนนี้ขุนนางเก้าส่วนของเทพปีศาจในอุทยานปีศาจถูกเราควบคุมไว้แล้ว พวกที่เหลือมีแค่ไม่กี่ตน ต่อให้ถูกพบ ก็สายไปแล้ว”
เขาอดหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ ก่อนจะสลายร่องรอยยันต์อัคคีในมือ
“พี่ใหญ่ลู่เซิ่ง” เสี่ยวหนิงเหยียบเมฆบินลอยมาหาเขา
นางเปลี่ยนมาสวมกระโปรงยาวสีแดงเพลิง ยามบินชายกระโปรงพริ้วไหว ล่องลอยดั่งเซียน ให้ความสุนทรีย์ไปอีกแบบ
เมฆเพลิงร่อนลงด้านหน้าลู่เซิ่ง เสี่ยวหนิงยิ้มพรายพร้อมพุ่งเข้าใส่ลู่เซิ่ง
“พี่เซิ่ง วันนี้เหตุใดจึงมีอารมณ์ออกมาเดินเล่นเล่า ช่วงนี้พี่ไม่สนใจข้าเลย หากไม่อ่านหนังสือก็ลงไปเที่ยวโลกเบื้องล่าง แต่กลับไม่ชวนข้า”
ลู่เซิ่งกดไหล่ของเสี่ยวหนิงด้วยมือข้างหนึ่ง ให้นางหยุดลงบนพื้น หลีกเลี่ยงอ้อมกอดของนาง
“แค่กำลังยุ่งกับเรื่องบางส่วนด้านการฝึกฝน เจ้าเองก็รู้ว่าข้าเพิ่งขึ้นมาจากโลกเบื้องล่าง หลายสิ่งหลายอย่างทิ้งไว้ด้านล่าง จำเป็นต้องขึ้นๆ ลงๆ เพื่อขนย้าย หนำซ้ำบริวารของข้าก็ต้องการที่อยู่เช่นกัน”
บริวารของลัทธิแสงสว่างได้ถูกปล่อยกลับไปอยู่ที่เดิมในโลกเบื้องล่างนานแล้ว ลู่เซิ่งสั่งให้พวกเขาขยายขุมกำลังในสถานที่ต่างๆ เป็นระยะ
ในเมื่อค้นพบแล้วว่าการฝังพลังเทพนอกรีตมีประโยชน์ต่อเขา ลู่เซิ่งก็ให้บริวารจำนวนมากของตัวเองที่ถูกฝังกาฝาก แผ่ขยายออกไป เพื่อให้พวกเขาฝังกาฝากใส่สิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่พบเห็น
และสาวกของลัทธิแสงสว่างก็ทำอย่างนี้จริงๆ
ช่วงนี้ลู่เซิ่งเริ่มรู้สึกอีกครั้งอย่างเลือนรางว่า การจ้องมองของโลกเทพนอกรีตเพ่งมายังตนนั้นชัดกว่าครั้งก่อน
ในการแยกแยะและสัมผัสตลอดเวลาสิบกว่าวัน เขารู้สึกได้ว่า โลกเทพนอกรีตที่มองดูเขามีทั้งหมดสี่สิบกว่าใบ
โลกเทพนอกรีตพวกนี้เป็นเพียงแนวโน้มพร่ามัวส่วนหนึ่ง ไม่ได้มีสติปัญญาพิเศษแต่อย่างใด
เขาเหมือนกับทำตามกฎเก่าแก่บางอย่าง ขอแค่เติมเต็มเงื่อนไขสักอย่างได้ ก็จะมอบรางวัลให้
แต่ลู่เซิ่งไม่มีทางทำงานให้พวกมันเปล่าๆ ตามเหตุผลปฐมพลังของโลกที่เข้าสู่ร่างกายของเขาก็ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้แก่จิตวิญญาณและจิตปฐมของร่างกายเป็นอย่างมากเท่านั้น จากนั้นก็จะหายไปเอง แต่คิดว่าโลกเทพนอกรีตก็คงนึกไม่ถึงเหมือนกันว่า ปฐมพลังของโลกที่แข็งแกร่งเช่นนี้ จะถูกลู่เซิ่งใช้ดีปบูลเคี้ยวไปสองคำ
ปฐมพลังของโลกสองหน่วยถูกลู่เซิ่งหลอมรวมเข้ากับจิตปฐมของตัวเอง
ลู่เซิ่งได้สติกลับมา มองเสี่ยวหนิงที่อยู่ตรงหน้า
“เหตุใดวันนี้เจ้ากลับมาเร็วขนาดนี้เล่า”
“ท่านพี่อวี่ซวนจะกลับมาแล้ว และวังที่ข้าไปวันนี้ไม่มีงานเลี้ยงพอดี เทพปีศาจที่อยู่ที่นั่นได้รับคำสั่งเคลื่อนทัพไปยังโลกเบื้องล่าง ดังนั้นจึงกลับมาก่อน” เสี่ยวหนิงว่าพลางยิ้มแฉ่ง “จริงสิ พี่เซิ่ง”
นางพลันชะโงกหน้าเข้ากระซิบ
“ใต้กระโปรงข้าน่ะ ไม่มีอะไรเลยนะ…ท่านอยากจะลูบสักหน่อย…”
โอ๊ย…!
ลู่เซิ่งหยิกแก้มเสี่ยวหนิง บิดเบี้ยวจนเหมือนแป้งทำขนม
“ท่าน...กำลัง…ทำอะราย…” เสี่ยวหนิงพูดไม่เป็นคำ คิดจะสลัดหลุด แต่ก็สู้แรงไม่ได้
“เป็นสาวเป็นแส้ ขนยังไม่ทันขึ้น วันๆ เอาแต่คิดอะไร” ลู่เซิ่งออกแรงบิดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“ถุ้ยๆๆ!” เสี่ยวหนิงถอยหลังก้าวหนึ่ง แก้มสองข้างถูกหยิกจนแดงแจ๋
“ข้าขนขึ้นแล้ว! ไม่เชื่อท่านก็ดูสิ!”
นางเปิดกระโปรงขึ้น ฉีกขาออก
“ไปแล้ว” เสียงของลู่เซิ่งดังห่างไปสิบกว่าหมี่ “ผู้หญิงต้องรักนวลสงวนตัวสิ”
“เชอะ! เสี่ยวเฟยรักนวลสงวนตัวแล้วสินะ ตอนนี้แม้แต่มือท่านก็ไม่ได้แตะ โอกาสมีไว้ให้แก่ผู้เตรียมพร้อมเท่านั้น! นี่เป็นคำของท่านพี่เซิ่ง!” เสี่ยวหนิงปล่อยกระโปรงลงอย่างอับอายโมโห ก่อนจะหมุนตัวไล่ตามลู่เซิ่งไป
ทั้งสองหนึ่งหน้าหนึ่งหลังระหว่างรั้วหยกขาวของวังหงส์เพลิง ไม่นานก็เข้าไปในตำหนักหลักหงส์เพลิง
……………………………………….