ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 95 รับภารกิจ (1)
“จริง!” ผู้อาวุโสต้วนมีโทสะแล้ว ตอบกลับเสียงแข็ง
ลู่เซิ่งหัวเราะเหอะๆ ฟันดาบเชือดสุกรตามสบายสองสามครั้ง ในอากาศพลันแว่วเสียงกรีดลมหลายรอบ
ในเมื่อทราบว่าเขามีวิชาลมปราณแดงฉาน ยังกล้ากล่าววาจาเช่นนี้ แสดงว่าผู้อาวุโสต้วนผู้นี้คาดเดาอานุภาพที่เขาสำแดงได้ไว้แล้ว
ลู่เซิ่งคำนวนในใจ ใช้วิชาลมปราณแดงฉานระดับห้า ด้วยขีดความสามารถของเขา พลังยุทธ์ระดับนี้ไม่นับว่าโดดเด่นนัก
ควับ!
ดาบใหญ่สองเล่มฟันใส่หุ่นไม้ติดต่อกัน
เปรี้ยง!
เหมือนกับฟันใส่ยางที่มีความยืดหยุ่นถึงขีดสุด ลู่เซิ่งเพียงรู้สึกว่าด้ามดาบบนมือตนส่งแรงสะท้อนอันมหาศาลมาในพริบตา อึดใจเดียวก็ดีดสองดาบบนมือเขากลับมา
“มาอีก!” ไม่รอให้ผู้อาวุโสต้วนเยาะเย้ย เส้นเลือดปูดบนหน้าลู่เซิ่ง ดาบคู่เหมือนบานประตูสองบาน บังเกิดเสียงกรีดลมหนักอึ้งขณะฟันใส่ไม้อีกครั้ง
เปรี้ยง!
ดาบถูกดีดออกมาอีกครั้ง
“มาอีก!” ลู่เซิ่งมีน้ำโหบ้างแล้ว ดาบสองเล่มฟันใส่หุ่นไม้อย่างแรงเป็นครั้งที่สาม
ควับๆๆ…
ลมที่เกิดจากดาบคู่ พัดเครากับเสื้อผ้าของผู้อาวุโสต้วนให้พลิกกระพือไม่หยุด
เขาอ้าปากคิดกล่าวอันใด แต่เห็นลู่เซิ่งเลือดลมทั่วร่างซัดสาด ดาบคู่ฟันใส่คอหุ่นไม้อย่างรุนแรงติดต่อกัน พละกำลังอันมหาศาลกระแทกใส่หุ่นไม้ แม้แต่ห้องทดสอบก็กำลังสั่นไหว แผ่นหินใต้เท้าส่งความรู้สึกชามาไม่หยุด
เปรี้ยงๆๆ!
เสียงฟันอย่างหนักดังทึบขึ้นไม่หยุด ลู่เซิ่งคล้ายชอบใจแรงดีดสะท้อนมากมายนี้ แสยะยิ้มประหลาด ฟันดาบแล้วดาบเล่าใส่คอหุ่นไม้โดยไม่ส่งเสียงอย่างต่อเนื่อง
คมดาบเสียดสีกรีดเฉือนผิวหุ่นไม้อย่างรุนแรง สร้างบาดแผลหลายสายเหมือนกับเลื่อย ส่วนใหญ่อยู่ที่คอ ลึกและใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
เปรี้ยง!
อีกหนึ่งดาบฟันใส่คอหุ่นไม้อย่างหนักหน่วงรุนแรงเหมือนสายฟ้า ห้องทั้งห้องสั่นสะเทือน
ผู้อาวุโสต้วนหนังตากระตุก มองลู่เซิ่งชักดาบอีกเล่มออกมา คมดาบแหลมคมฟันรอยแผลลึกสายหนึ่งบนหุ่นไม้ที่น่าสงสาร
“ไม่เลว ฟันไม่พังจริงๆ…” ลู่เซิ่งหันไปมองเขาแล้วฉีกยิ้ม
ผู้อาวุโสต้วนมองหุ่นไม้ หุ่นไม้ที่น่าสงสารตอนนี้ศีรษะเหลือแค่ครึ่งเล็กๆ ห้อยบนคอ แขน ขา ลำตัวไม่คล้ายคนแล้ว มีแต่รอยดาบที่แตกต่างกันทั้งแนวตั้งและแนวขวาง เละจนทนดูไม่ได้
หุ่นไม้ตัวใหม่ที่เพิ่งซื้อ ใช้ได้ไม่กี่วันก็กลายเป็นของอายุสิบกว่าปีที่เพิ่งเอาทิ้ง…
เขาอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา หุ่นไม้ไม้เคิงราคาแพงสุดขีด ทนและแข็งแกร่งถึงที่สุด ดังนั้นซื้อตัวหนึ่งมาก็ใช้ได้หลายปี แต่ว่าพอลู่เซิ่งมาแม้ไม่พังจริงๆ แต่ว่าหุ่นไม้ที่เหลืออยู่ใช้ไม่ได้แล้ว…
“ช่างเถอะๆ นับว่าข้าโชคร้าย หัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอกลู่รีบไปเถอะ เอาเงินให้ห้องบัญชีด้านนอก ข้าอยู่ที่นี่ไม่ไปด้วยแล้ว” ผู้อาวุโสต้วนมองจนปวดใจ ประสานมือ ตาไม่เห็นก็สบายใจ
ลู่เซิ่งไม่ถือสา เขาจงใจอยู่แล้ว บอกลาผู้อาวุโสต้วน ออกจากแผนกอาวุธ ขี่ม้ากลับที่พัก
ตอนนี้มีอาวุธชั้นดีแล้ว ดาบคู่สองเล่มนี้สมควรใช้ได้สักระยะ ต่อจากนี้ ใช้สมาธิจิตใจทั้งหมดยกระดับวิชากำลังภายในก็พอ
เพียงแต่คิดจะยกระดับวิชาลมปราณแดงฉานระดับเจ็ดในตอนนี้อีก ได้แต่ใช้ปราณหยินเรียนรู้น เป็นเพราะว่ามันถึงระดับสูงสุดแล้ว ส่วนวิชาโซ่เก้าสินธุก็แค่วิชาระดับพลังปลอดโปร่ง เอาไว้เพิ่มการป้องกันร่างกายเท่านั้น ไม่ใช่แก่นหลักที่แท้จริง จุดสำคัญต่อจากนี้ยังอยู่ที่วิชาลมปราณแดงฉาน
…
ห้าวันให้หลัง เมืองต้นฉัตร
ชั้นเมฆดำทะมืน กระจายเต็มท้องฟ้า สายฝนสีเทาตกลงมาเหมือนกับเส้นด้าย
ถนนภายในเมืองเย็นเฉียบ บางครั้งมีคนเดินถนนที่วิ่งหลบฝนสองสามคนผ่านไป ไม่ทันไรก็ไร้เงา หายไปในตรอกเล็กตรงมุมถนน
ใต้ชายคาบ้านตระกูลหู คุณชายวัยเยาว์ถือร่มกระดาษน้ำมันสีดำคนหนึ่งเงยหน้ามองท้องฟ้า
มองข้ามชายคารูปนกนางแอ่นเหินลมที่มีปลายแหลม ท้องฟ้าดำมืด สายฝนเหมือนไม่มีทีท่าว่าจะซา ตกแบบนี้ได้ตลอดกาล
นอกประตูบ้านตระกูลหูทางฝั่งซ้ายมีราชสีห์ศิลาเฝ้าประตู คุณชายคนนี้อาศัยชายคาที่ยื่นออกมายืนหลบฝนอยู่
เขามองท้องถนนที่ว่างเปล่า ใต้ชายคาของบ้านแต่ละหลังต่างเป็นเงามืดดำสนิท ไม่เห็นผู้คน มีแค่ความเงียบสงัด
ถนนทอดยาวขนาดใหญ่เมื่อมองไปทุกที่เป็นที่ว่างดำสนิท ในหน้าต่างสองฟากทางไม่ได้จุดไฟ เหมือนกับถนนทั้งสายไม่มีคนอยู่ ทะมึนมืดไปหมด
ท้องฟ้ามืดครึ้ม ในห้องก็มืดครึ้ม แสงไฟสลัวลงเรื่อยๆ
คุณชายขมวดคิ้วน้อยๆ ก้มหน้ามองเสื้อคลุมสีดำบนร่างของตน ชายเสื้อคลุมเปียกน้ำฝนแนบติดกับรองเท้าหนังปักลายสีแดง
“ข้าเกลียดฝน” เขาถอนใจ
เสียงไม่ดัง แต่ว่าบนถนนในหน้าฝนที่เย็นเยียบกลับดังเป็นพิเศษ
เป็นเพราะบนถนนนอกจากเขาแล้วก็ไม่เห็นใครสักคน
“ทุกครั้งที่ฝนตก ข้าจะอารมณ์ไม่ดี” คุณชายพูดต่ออย่างเชื่องช้า
ไม่มีคนตอบ
สายฝนเล็กละเอียดตกใส่ชายคา น้ำหยดลงตามจะงอยแหลมของชายคารูปนกนางแอ่นเหิน จากนั้นตกลงข้างเท้าของคุณชาย กระเซ็นใส่ชายเสื้อเขา
“ที่นี่ห่างจากเมืองป่าบูรพาตั้งไกล คิดไม่ถึงพวกท่านจะไล่ตามมาได้” คุณชายพูดโดยไม่สนใจผู้ใด คล้ายกับรอบๆ มีคนฟังอยู่จริงๆ
แอ๊ด…
ประตูใหญ่บ้านตระกูลหูพลันเปิดออกช้าๆ ด้านในว่างเปล่า วัชพืชงอกเงย ไม่เห็นคนเปิดประตู แต่ประตูใหญ่ยังคงแง้มออกเอง
สตรีกระโปรงแดงคนหนึ่งกางร่มกระดาษน้ำมันสีแดง เดินออกมาช้าๆ
ร่มกระดาษบังใบหน้านาง แต่ดูจากรูปร่าง กลับอ้อนแอ้นอรชร สะโอดสะองอวบอิ่ม
“เจินอี้…สังหารท่าน…ต่อให้เป็นจินสวิน…ก็จะเจ็บปวด…” เสียงสตรีติดขัด ขาดๆ ต่อๆ เหมือนกำลังบีบคอพูด แหลมและแปลกประหลาด
คุณชายสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง พิงร่มไว้บนกำแพง มองสตรีที่ประตูใหญ่ของบ้านตระกูลหู
“คิดไม่ถึงแม้แต่ท่านก็มา ดูเหมือนจัตุรัสแดงจะไม่กลัวรังเก่าถูกทลายจริงๆ”
“ไม่มีประโยชน์…หรอก…มีพี่สาวอยู่…ต่อให้เจินสวินไป…ก็ไร้ประโยชน์ คิกๆ” สตรีเดินเข้ามาหาเจินอี้ช้าๆ ส่งเสียงหัวเราะประหลาด
เจินอี้ถอนใจ การต่อสู้กับจัตุรัสแดงในที่สุดก็ยกระดับถึงขั้นดุเดือด วันนี้ไม่ว่าเขาตายลงที่นี่ หรือสตรีกางร่มตายที่นี่ ผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นในตอนสุดท้ายก็กลายเป็นภัยพิบัติ
เขาไม่รู้ว่าจัตุรัสแดงมีเป้าหมายอะไร จึงได้ทุ่มหมดหน้าตัก ส่งบุคคลสำคัญอย่างสตรีกางร่มผู้นี้มาลงมือด้วยตัวเอง
แต่ในเมื่อกำหนดสถานการณ์ไว้แล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจพลิกกลับได้อีก
เจินอี้มองสตรีกางร่มกระโปรงแดงที่ค่อยๆ เดินเข้ามา ถอนใจอีกรอบ มีดสั้นสีขาวเล่มหนึ่งไหลออกมาจากแขนเสื้ออย่างไร้สุ้มเสียง เดินเข้าหาอีกฝ่ายเช่นกัน
…
ฝนตกต่อเนื่อง ลู่เซิ่งนั่งกินแตงหวานคำโตบนที่นั่ง เนื้อแตงชนิดนี้เป็นสีเหลือง ให้ความรู้สึกเหมือนผลไม้มีน้ำเช่นแตงโม เหมาะแก่การชดเชยน้ำ แก้กระหายหลังจากเพิ่งฝึกเสร็จในอากาศแบบนี้ที่สุด
ห้องเพาะดอกไม้ในตอนนี้ถูกปรับเป็นลานฝึกวิชาโดยเฉพาะอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น ยังมีบริวารไม่น้อยมาฝึกฝน ปรับเอ็นกระดูกแต่เช้าตรู่
เพิ่งกินแตงไปได้ไม่กี่ชิ้น ลู่เซิ่งลูบศีรษะ ผมยังไม่งอก อึดอัดอยู่บ้าง หลังจากโดนเผาในกองเพลิงรอบหนึ่ง ขนบนตัวก็ไม่มีวี่แววว่าจะงอกอีก นี่ทำให้ตัวเขาในตอนนี้ประหลาดยิ่ง
‘ถึงตอนแรกเราจะไม่หล่อเหลา แต่ก็ไม่ถึงกับมีสารรูปอย่างตอนนี้ตลอด เฮ้อ…’ ลู่เซิ่งถอนใจ กวาดตามองบนพื้นลาน มีบริวารหลายคนกำลังออกกำลังฝึกวิชา อย่างไรก็แค่ฝึกรูปแบบท่วงท่า หรือไม่ก็วิชาพื้นฐาน ไม่รู้จักวิชาเดินลมปราณ จึงไม่กลัวถูกคนแอบเรียน
“เอ๋?” ทันใดนั้นสายตาเขาขยับ เห็นเงาร่างเล็กๆ สองสายอยู่ตรงมุมหนึ่ง ประหลาดใจอยู่บ้าง
พวกหลิ่วฉินสองพี่น้องมาฝึกฝนด้วยเช่นกัน พวกนางหลบอยู่ในมุม ซักซ้อมกระบวนท่าพุ่งจู่โจมซ้ำไปซ้ำมา
‘คล้ายเป็นวิธีใช้มีดสั้นแทงสังหาร ยังนับว่าไม่เลว’ ช่วงนี้ลู่เซิ่งไปอ่านวิทยายุทธพื้นฐานที่ไม่มีค่าใช้จ่ายจากศาลาประกาศยุทธในพรรคมา ความรู้เพิ่มขึ้นมาก เพียงมองก็รู้ว่าท่วงท่าฝึกฝนของสองพี่น้องใช้อาวุธอะไร
เขาหยีตา เดิมคิดรับสองพี่น้องไว้เพราะฉุกใจสัมผัสได้ถึงปราณหยิน ส่วนเหตุผลที่ว่าสงสารอันใดในภายหลังก็แค่คำพูดพอเป็นพิธี เขาแม้ไม่ใช่คนร้าย แต่ก็ไม่นับเป็นคนดี ไหนเลยสร้างบุญคุณ มอบความช่วยเหลือให้อย่างไร้สาเหตุ
นอกเสียจากว่าให้สองพี่น้องเป็นเครื่องมือดึงดูดผี กลับคิดไม่ถึงภายหลังจะได้ยินความลับอันไม่ธรรมดา
ตอนนี้เขายังลังเลเล็กน้อยว่าจะรับทั้งสองคนไว้ต่อ หรือให้พวกนางจากไป
อย่างไรเขาก็ไม่แน่ใจว่าขุมกำลังที่คุกคามพวกนางอยู่เบื้องหลัง มีพลังแข็งแกร่งขนาดไหน ควรให้ความสำคัญกับพวกนางมากเท่าใด
คิดถึงตรงนี้ ลู่เซิ่งลุกขึ้น ค่อยๆ เดินไปหาสองพี่น้อง
โครม!
หลิ่วไฉ่อวิ๋นเหยียบเท้าพลาด จุดศูนย์ถ่วงไม่มั่นคง ล้มลงเหมือนที่แล้วมา
“เอียงอีกแล้ว” เสียงของหลิ่วฉินผู้เป็นพี่ดังมา “ไฉ่อวิ๋น ข้ารู้สึกว่าตอนก้าวไปด้านหน้าสมควรใช้ฝ่าเท้าปักหลักก่อนไม่ใช่ก้าวตาม ยังมีตอนหมุนตัว ทางที่ดีอย่าให้เอียง”
“แต่ตอนข้าหมุนตัว เท้าจะเจ็บ ถ้าไม่เอียงแล้วจะเห็นด้านหลังได้อย่างไร” หลิ่วไฉ่อวิ๋นไม่เข้าใจ
“ไม่ดูไม่ได้หรือ จินตนาการเอาก็ได้นี่” หลิ่วฉินกล่าวอย่างไม่เข้าใจ
“ข้าทำไม่ได้…” หลิ่วไฉ่อวิ๋นส่ายหน้า
สองคนวิเคราะห์ ลู่เซิ่งเดินไปหาอย่างแช่มช้า
เพียงแต่ขณะมองการเคลื่อนไหวของคนทั้งสอง เขามีความเคลือบแคลงอยู่บ้าง ถ้าพวกนางมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลขุนนาง และเป็นสายรองของตระกูลขุนนางที่สู้กับภูตผีปีศาจได้จริงๆ ก็ไม่น่าใช้ทักษะพื้นฐานแค่นี้ไม่ได้ เพียงแต่มองการเคลื่อนไหวของคนทั้งสอง เป็นการเลียนแบบอย่างลวกๆ ของคนทั่วไป
“พวกเจ้ากำลังฝึกกระบวนท่าแทงสังหารของมีดสั้นอยู่กระมัง” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างแช่มช้า
“คุณชายลู่” หลิ่วฉินคำนับเขา การเคลื่อนไหวเป็นการถอนสายบัวของคุณหนูตระกูลใหญ่ตามมาตรฐาน คืองอหัวเข่าก้มศีรษะเล็กน้อย
“พวกเราไม่เคยเรียนวิธีใช้มีดสั้น เพียงแต่แอบมองคนอื่นฝึกไปเรื่อย จึงได้แต่พื้นฐานเล็กน้อย…” นางตอบอย่างจนปัญญาอยู่บ้าง
“พวกเจ้าฝึกแบบนี้ กระบวนท่าแม้ไม่เลว แต่ว่ากระบวนท่านี้สมควรเป็นท่าหนึ่งในกระบวนท่าติดต่อ พึงทราบว่า กระบวนท่าหนึ่งแฝงท่าเปลี่ยนแปลงไว้รับมือสถานการณ์หลากหลายถึงจะใช้ได้ ส่วนสิ่งที่พวกเจ้าแอบเรียนเป็นแค่ท่าเปลี่ยนแปลงท่าหนึ่ง นี่เหมาะกับสถานการณ์พิเศษบางส่วนค่อยใช้ได้” ลู่เซิ่งอธิบายด้วยรอยยิ้ม
“ที่แท้เป็นแบบนี้เอง…” สองพี่น้องพลันแสดงสีหน้ากระจ่างแจ้ง ที่แล้วมาพวกนางรู้สึกว่ากระบวนท่าที่ตนฝึกมีปัญหาอยู่บ้าง กลับไม่ทราบว่าตรงไหนมีปัญหา ตอนนี้ได้ฟังลู่เซิ่งอธิบาย พลันสังเกตเห็นจุดที่มีปัญหา
……………………………………….