ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 954 หมอกขาว (2)
“เธอยากจะถามว่าฉันเป็นคนที่ช่วยเธอก่อนหน้านี้รึเปล่าใช่ไหม” ลู่เซิ่งตัดบทเธอและเอ่ยเสียงแผ่ว
จางฉีซวนลืมตาโต แสดงสีหน้าแตกตื่นหวาดกลัว สั่นสะท้าน และไม่ทราบจะรับมืออย่างไร
“เธอเป็นแค่คนธรรมดา อะไรไม่ควรรู้ก็อย่ารู้เลย ใช้ชีวิตให้ดี ตั้งใจเรียนไปเถอะ กลับที่นั่งซะ ไม่ต้องคิดมาก” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างสบายๆ
จางฉีซวนอยากจะถามอะไรอีก แต่ลู่เซิ่งกวาดตาใส่ พลันเสียวสันหลังวาบและตัวสั่น ไม่กล้าพูดมากอีก กลับที่นั่งของตัวเองแต่โดยดี
ไม่นานนักหยวนซวงซวงก็กลับมานั่งด้วยใบหน้าสงสัย
“เธอทะเลาะกับพี่สาวเหรอ ทำไมเขาทำท่ากลัวเธอมากเลยล่ะ ก่อนหน้านี้เขาไม่ใช่อย่างนี้นี่นา” ตาโตที่งดงามของหยวนซวงซวงเป็นประกายขณะจ้องมองลู่เซิ่ง ทำท่าฉงนฉงาย
“เปล่า เธอฝันร้าย เลยอยากให้ฉันปลอบ” ลู่เซิ่งว่า
“ผู้หญิงอย่างเขามาขอให้เธอปลอบเนี่ยนะ หรือว่าเธอจะมีความสามารถพิเศษ” หยวนซวงซวงสงสัยกว่าเดิม
ลู่เซิ่งกลอกตาขาว คร้านจะตอบ
“พอแล้ว พักผ่อนเถอะ”
หยวนซวงซวงอยากจะถามอีก แต่พอเห็นลู่เซิ่งพิงหน้าต่างเริ่มงีบหลัก ก็ไม่พูดอะไรอีก
เครื่องบินสั่นเล็กน้อยตอนขึ้นจากสนามบิน ไม่นานก็ส่ายโคลงเคลงรอบหนึ่ง นกเหล็กยักษ์โผบินขึ้นฟ้า มุ่งหน้าไปยังสาธารณรัฐหลันเก๋อหลั่งหนี
ระหว่างทางจางฉีซวนส่งข้อความมา ถามรายละเอียดเกี่ยวกับฝันร้าย แต่ลู่เซิ่งไม่ตอบ
หยวนซวงซวงนึกสงสัยกว่าเดิม คอยพูดคุยกับลู่เซิ่งตลอดเวลา
มีหลายครั้งที่จางฉีซวนคิดจะมาพูดกับลู่เซิ่ง แต่ลู่เซิ่งใช้สายตาบอกให้อยู่ไกลๆ
ตอนที่ใกล้ลงเครื่องบิน
“สามจิตวิญญาณของเธอถูกทำลาย” อยู่ๆ หวงย่าก็ส่งข้อความมา “ต่อจากนี้อาจจะฝันร้ายบ่อยๆ ทั้งยังเห็นมารมายาและสิ่งต่างๆ ได้ง่ายๆ”
ลู่เซิ่งเห็นข้อความนี้ตอนเปิดโทรศัพท์
เขาเงยหน้ามองจางฉีซวนที่สลึมสลืออยู่บนที่นั่ง ดูเหมือนเธอจะเพิ่งหลับ หน้าขาวซีด ไม่มีความเชื่อมั่นทะนงตนเหลืออยู่อีก เหมือนเด็กสาวน่าสงสารคนหนึ่ง มือจับที่พักแขนแน่น เหงื่อโผล่บนหน้าผาก
“เธอหาที่ตายเอง ไม่เกี่ยวกับฉัน” ลู่เซิ่งตอบ
“ช่วยไม่ได้ ได้แต่ฟื้นฟูด้วยตัวเอง บาดแผลทางวิญญาณต้องใช้เวลามากกว่าสามปีขึ้นไปถึงจะหายดี ตั้งแต่นี้ไป เธอจะเห็นวิญญาณประหลาดไม่น้อย และจะตกใจหวาดกลัวได้ง่ายๆ”
หวงย่าส่งข้อความมาต่อ
จอมือถือสีขาวสะท้อนใบหน้าของลู่เซิ่ง เขาอ่านข้อความ ไม่ได้ตอบกลับทันที
ครุ่นคิดเล็กน้อย เขาก็ตอบอีกประโยค
“จากนั้นล่ะ”
“ถ้านายยอมเข้าสำนักเคลื่อนภูผา ฉันจะช่วยนายตอบสนองความปรารถนาของนายเอง” หวงย่าส่งข้อความมาแบบไม่มีต้นไม่มีปลาย
ลู่เซิ่งส่งเสียงขึ้นจมูก ไม่สนใจเธออีก จงใจพูดอย่างคลุมเครือ ให้เขาคาดเอาเอง แต่เขาไม่มีเวลามาเล่นกับเธอหรอก
เขาปิดจอโทรศัพท์ ลุกขึ้น คนด้านหน้าเริ่มลงเครื่องแล้ว เขาก็ถือกระเป๋าเดินทางตามลงเครื่องอย่างช้าๆ เช่นกัน
หยวนซวงซวงแลกเบอร์โทรกับเขา ทั้งยังบอกเขาว่าถ้ามีเวลาให้ออกไปเที่ยวด้วยกัน
ลู่เซิ่งไม่ตอบรับไม่ปฏิเสธ บอกกล่าวกับไกด์นำทาง ก่อนจะลากของไปตามลำพัง
เพิ่งจะออกจากที่รับสัมภาระ
เขาก็เห็นหวงย่ากับผู้ชายวัยกลางคนสวมสูทท่าทางภูมิฐาน ไว้เคราข้างแก้มคนหนึ่งง ยืนรอคนอยู่ที่ประตู
ด้านหลังคนทั้งสองมีชายหญิงสวมเครื่องแบบที่คล้ายลูกน้องอยู่หลายคน ราศีมันต่างกัน
พอเห็นลู่เซิ่งออกมา หวงย่าก็เป็นฝ่ายเข้าหาเขา
“หวังตง ไปดื่มกันสักแก้วดีไหม นายไม่อยากทำความเข้าใจสิ่งของในโลกของเราเหรอ โลกใบนี้ไม่ได้มีแค่ของที่นายได้เจอก่อนหน้านี้หรอกนะ”
ลู่เซิ่งกวาดตามองชายไว้เครา ก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ
ทั้งสามไปถึงเลานจ์ส่วนตัวใกล้ๆ สนามบิน เข้าไปในห้องที่จองไว้ก่อน
พวกเขานั่งลง ชายไว้เครานั่งตรงข้ามลู่เซิ่ง หวงย่านั่งเป็นเพื่อน ส่วนคนอื่นๆ รออยู่ด้านนอก
บริกรของเลานจน์ยกชาเขียวที่มีกลิ่นหอมเตะจมูกมาสามแก้ว ทั้งยังเสิรฟ์ขนมกับผลไม้บางส่วน ก่อนจะออกไปอย่างนอบน้อม
ประตูห้องปิดลงดังแกร๊ก
ฝ่ายผู้ชายยืดหลัง สายตามองลู่เซิ่งอย่างล้ำลึก
“เจอกันครั้งแรก ฉันชื่อหวงเย่เหอ เป็นลุงของหวงย่า ได้ยินเธอพูดถึงในโทรศัพท์ว่า นายใช้มือป้องกันคลื่นระเบิดของพลังวิญญาณได้ จริงหรือเปล่า”
ลู่เซิ่งมองหวงย่า เวลานี้หญิงสาวคนนี้ทำท่าเป็นนกกระทาฟังคำ ท่าทางเย่อหยิ่งตอนทะเลาะกับจ้าวจ้งจวินหายไปโดยสิ้นเชิง
“จริงครับ” ลู่เซิ่งพยักหน้ารองรับ
“อย่างนั้นขอให้นายวางมือลงบนโต๊ะ ฉันจะทำการทดสอบเล็กๆ” หวงเย่เหอเอ่ยเสียงเรียบ
ลู่เซิ่งวางมือลงไปและแบออกตามคำขอ
จากนั้นก็เห็นหวงเย่เหอหยิบลูกบาศก์สีเขียวมรกตก้อนหนึ่งออกมาจากในกระเป๋าเสื้อ แล้ววางลงบนมือของตน
เพิ่งจะวางลงไป ก็เห็นลูกบาศก์เล็กเรืองแสง แสงสีเขียวอ่อนๆ ขับสะท้อนให้ใบหน้าของหวงเย่เหอกับหวงย่าเป็นสีเขียว
แต่สีหน้าของคนทั้งสองกลับยินดีอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“เยี่ยมมากๆ!” หวงเย่เหอสูดหายใจลึก อำพรางความตื่นตระหนกบนใบหน้า “ก่อนหน้านี้หวงย่าได้บอกเงื่อนไขพื้นฐานที่พวกเราจะให้ได้กับเธอไปแล้ว ตอนนี้ในเมื่อพิสูจน์แล้วว่าเธอมีความแข็งแกร่งทางวิญญาณสูงมาก พวกเราสำนักเคลื่อนภูผายินดีจะแสดงความจริงใจมากกว่าเดิม ในการเชิญเธอเข้าร่วมกับสำนักเรา”
“อย่างเช่นอะไร” ลู่เซิ่งถาม
“เช่น แต่ละปีจะเพิ่มเงินให้ถึงห้าสิบล้าน กำลังคนและแหล่งทรัพยากรระดับทองคำสามารถให้เธอเรียกใช้ได้ตามใจ คลังลับของสำนักจะเปิดให้เธอใช้ และให้เธอเลือกศัสตราภูตทั้งหมดตั้งแต่ระดับทองคำลงไปในคลังศัสตราภูต ขอแค่เธออยากได้อะไร เราจะตอบสนองอย่างเต็มกำลัง”
หวงเย่เหอตอบอย่างจริงจัง
ลู่เซิ่งมองชายผู้นี้ อีกฝ่ายมีความจริงใจจริงๆ คำพูดนี้เท่ากับพูดว่า เธอเปิดเงื่อนไขได้เลย ขอแค่พวกเราทำได้ จะตอบสนองให้เอง
เขาพิจารณาว่าตนต้องการกำลังคนจำนวนมากในการตามหาที่อยู่ของดวงตาแห่งความเลวทราม และต้องทำความเข้าใจความลับของพลังแห่งความว่างเปล่าพอดีด้วย พลังอันตรายแบบนี้ จะให้มันขยายตัวไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นวันหน้าอาจจะลำบาก
เขาใคร่ครวญครู่หนึ่ง
“เงื่อนไขภายนอกน่าจะไม่ให้แค่ฝ่ายพวกคุณเสนอฝ่ายเดียว แต่ความจริงผมไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้เท่าไร”
“แล้วนายสนใจเรื่องอะไรล่ะ ว่ามาได้เลย” หวงย่าสอดปากอย่างอดไม่ได้
ลู่เซิ่งครุ่นคิดเล็กน้อย
“ฉันไม่อยากจะแบ่งปันความทรงจำกับศัสตราภูต”
“ได้ หากใช้ทาสของขลังภูต จะหลีกเลี่ยงปัญหานี้ได้อย่างสิ้นเชิง เดิมทีในประวัติศาสตร์ก็ไม่ได้มีแค่เธอคนเดียวหรอกที่ไม่อยากแบ่งความทรงจำ” หวงเย่เหอพยักหน้า
“นอกจากนี้ ผมอยากจะขอยืมกองกำลังของพวกคุณในการตามหาของชิ้นหนึ่ง” ลู่เซิ่งบอกตรงๆ
“ของอะไรล่ะ” หวงเย่เหอถาม
“อีกเดี๋ยวผมจะส่งรูปให้พวกคุณเอง” ลู่เซิ่งเอ่ยเสียงแผ่ว “ยังมีข้อมูลทั้งหมดของมารมายา ผมต้องการเหมือนกัน”
“ไม่มีปัญหา พวกเราไม่เพียงจะมอบข้อมูลมารมายาทั้งหมดให้เท่านั้น ข้อมูลเกี่ยวกับขุมกำลังของผู้สื่อวิญญาณทั้งหมด ก็จะมอบให้เธอด้วย ข้อนี้ไม่ใช่แค่เธอเท่านั้น ผู้สื่อวิญญาณจำนวนมากในกลุ่มพวกเราต่างก็รู้เรื่องเช่นกัน” หวงเย่เหอเอ่ยเสียงทุ้ม
“อย่างนั้น ยินดีมากที่ได้เข้าร่วมสำนักเคลื่อนภูผา” ลู่เซิ่งยื่นมือออกไป
ในที่สุดหวงเย่เหอก็ยิ้มมุมปาก ยื่นมือไปจับกับลู่เซิ่ง
“ยินดีต้อนรับ เชื่อฉันเถอะว่าเธอไม่เสียใจแน่”
หนึ่งชั่วโมงต่อมา ลู่เซิ่งก็ออกจากเลานจ์ ขึ้นรถกลับบ้านพร้อมกับหวงย่า
คนทั้งสองนั่งอยู่หลังรถ
“นายบอกว่านายเจอคนผมขาวที่ตามหาจ้าวจ้งจวินไปทั่วเหรอ” หวงย่างุนงงเล็กน้อย “นั่นอาจจะเป็นคนของหมอกขาวก็ได้”
“หมอกขาวหรือ”
“ใช่ บนโลกมีสามองค์กรผู้สื่อวิญญาณ องค์กรหนึ่งคือหมอกขาว อีกสององค์กรคือทับทิม กับเงาสลัว ช่วงนี้หมอกขาวตามล่าจ้าวจ้งจวิน คล้ายจะเป็นเพราะเขาไปทำลายแผนการของคนใหญ่คนโตคนหนึ่งในหมอกขาวเข้า” หวงย่าอธิบาย
ลู่เซิ่งยืดแขน รู้สึกว่าร่างกายแข็งแกร่งเป็นสิบสามเท่าของคนธรรมดาแล้ว เมื่อมาถึงขั้นนี้ คิดจะคงสภาพของมนุษย์ธรรมดาต่อไปก็ยากแล้ว
ดีที่เขาคุ้นเคยกับทางนี้ดี พลิกหาในความทรงจำสักพัก ไม่นานก็เจอวิชาลับสำหรับคงขนาดร่างในตอนนี้ไว้
วิชาลับนี้ทำให้เขายกระดับเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ตัวเอง พร้อมทั้งคงสภาพร่างกายในตอนนี้ได้ต่อ ข้อจำกัดเพียงหนึ่งเดียวก็คือ พลังที่สภาพนี้แสดงออกมาได้อย่างมากสุดก็พียงสิบสามเท่าเท่านั้น
หากอยากแสดงพลังมากกว่านี้ ต้องปลดวิชาลับ เปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์
“คนของหมอกขาวมีพลังค่อนข้างไม่ธรรมดา มีระดับเฉลี่ยอยู่ที่ระดับเงินเป็นอย่างต่ำ ระดับทองก็มีไม่น้อยเหมือนกัน ว่ากันว่าสิบสองแม่ทัพเทพระดับผู้นำขององค์กรต่างก็มีพลังระดับเทพจุติ ยังดีที่นายแค่เจอพวกเขา ไม่อย่างนั้นหากหาเรื่องเข้า จะแก้ไขได้ยากจริงๆ” หวงย่าแนะนำเสียงเบา
ลู่เซิ่งไม่ได้บอกเธอว่า ตนไม่เพียงเจอคนของหมอกขาวเท่านั้น ยังระเบิดหัวของอีกฝ่ายด้วยกำปั้นเดียวอีกด้วย
“เอาล่ะ นอกจากขุมกำลังพวกนี้ ระดับต่อไป ก็คือสิบตระกูลใหญ่ พวกเราสำนักเคลื่อนภูผาเป็นหนึ่งในนี้ สิบตระกูลใหญ่โด่งดังขึ้นมาเพราะเคยผนึกจอมมารร้ายกาจตนหนึ่งร่วมกัน ในสิบตระกูลใหญ่ ผู้ที่มีพลังเข้มแข็งก็มีขุมกำลังใหญ่อย่างสำนักเคลื่อนภูผาของเรา ซึ่งกระจายไปทั่วสาธารณรัฐ พวกอ่อนแอมีกระท่อมหลังเดียว มีผู้สืบทอดคนเดียว แม้แต่เสื้อผ้าที่อยู่อาศัยก็ต้องหาเงินมาใช้จ่าย” หวงย่าถอนใจ
“คุณหนู ด้านหน้ามีคนครับ” คนขับรถพลันส่งเสียงเตือน
หวงย่าผุดสีหน้างุนงง เงยหน้ามองไป
ห่างออกไปด้านหน้าร้อยเมตร มีหนุ่มสาวผมขาวสามคนที่สวมชุดทะมัดทะแมงสีขาวยืนอยู่กลางถนน
ชายสวมเสื้อขาวที่อยู่ตรงกลางสุดอมยิ้มมุมปาก ให้ความรู้สึกชั่วร้ายอึมครึม มองดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนธรรมดา
เขายกนิ้วชี้มาที่รถ
ปัง
เขาขยับริมฝีปากมุบมิบ ส่งเสียงยิงปืน
“คนของหมอกขาว!” หวงย่าสีหน้าเปลี่ยนแปลง
คนขับรถรีบเบรก รอบๆ คือสะพานลอย สองฟากข้างมีรถราไหลไปมาไม่ขาดสาย แต่รถกลับหยุดลง
ทั้งสองลงจากรถ หวงย่ากัดฟันพูดเสียงดัง
“รุ่นพี่จากหมอกขาว พวกเราคือคนของสำนักเคลื่อนภูผา ระหว่างพวกเรามีความเข้าใจผิดอะไรกันหรือเปล่า ขอให้รุ่นพี่ได้โปรด…”
เปรี้ยง!
หวงย่ามองดูลู่เซิ่งชักมือออกมาจากหน้าอกของคนผมขาวคนหนึ่งด้วยสีหน้าอึ้งงัน เลือดในปากของคนคนนั้นทะลักออกมาอย่างเต็มที่
ในพริบตาเมื่อครู่นี้ ลู่เซิ่งพุ่งผ่านด้านข้างเขาในพริบตา จากนั้นก็อาศัยจังหวะที่คนทั้งหมดไม่ทันตอบสนอง ต่อยกระดูกอกของคนผมขาวตรงกลางจนบุ๋ม กระอักเลือดออกมา
เปรี้ยง!
คนผมขาวอีกสองคนเพิ่งจะระเบิดแสงออกมาจากร่าง ก็ถูกลู่เซิ่งกวาดแขนขวาใส่ ทั้งสองปลิวออกไปกระแทกใส่ตอม่อซีเมนต์ใกล้ๆ อย่างแรง ก่อนจะหมดลมหายใจ
ลู่เซิ่งชักมือกลับ หมุนตัวเดินไปหาหวงย่า
“ก่อนหน้านี้ฉันฆ่าไปคนหนึ่ง ไม่มีอะไรต้องพูดกันหรอก ตอนนี้พวกมันต้องออกมาแก้แค้นแน่ ในเมื่อมาแก้แค้น อย่างนั้นก็ต้องเอาให้ตายทันที”
เวลานี้คนขับรถนั่งลงตรวจสอบอยู่ด้านข้างศพศพหนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ
“ไม่…บนตัวพวกเขามีสัญญาเชิญมาด้วย…น่าจะมาอย่างสันติ…”
“น่าจะไม่ทันเอาสัญญาออกมา…” คนขับรถเสริมอีกประโยค ก็ถูกคนฆ่าเสียก่อน
ประโยคหลังเขาไม่ได้พูด
“…….” ลู่เซิ่งหยุดนิ่งอยู่กับที่
“…….”
หวงย่าไร้คำพูดโต้ตอบ
……………………………………….