ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 955 พี่สาว (1)
“หมายความว่า พวกมันมาหาฉันเพื่อเชิญฉันเข้าหมอกขาวเหรอ” สิบนาทีต่อมา ลู่เซิ่งนั่งอยู่ในรถ มองดูรถตำรวจจัดการที่เกิดเหตุ และสะพานลอยถูกปิดทาง กล่าวอย่างหมดคำพูดขณะถือสัญญาไว้ในมือ
“พูดให้ถูกก็เป็นอย่างนั้น พวกเขามีความจริงใจมากพอ น่าจะวัดคุณสมบัติและศักยภาพของนายมาแล้ว” หวงย่าเอ่ยอย่างจนใจ
ลู่เซิ่งมองสัญญาเปื้อนเลือด หลายที่ถูกขยำจนแหลก บางส่วนเปื้อนเลือดสีแดงจนอ่านตัวหนังสือไม่ออก แต่บางส่วนที่ชัดเจนก็เขียนสัญญาข้อแรกไว้อย่างชัดเจนว่า มอบเงินสาธารณรัฐให้ปีละร้อยล้านหยวน
“ช่างเถอะ ไม่ต้องไปคิดมันแล้ว ในเมื่อหมอกขาวให้เงื่อนไขที่ดีกว่า…”
ลู่เซิ่งยังพูดไม่จบ หวงย่าก็พยักหน้าทันที
“ไม่ต้องห่วง พวกเราได้บอกผู้อาวุโสในสำนักแล้ว เงินประจำปีของนายจะเป็นหนึ่งร้อยล้านเหมือนกัน!”
เงินจำนวนนี้ไม่ใช่เงินน้อยๆ ต่อให้จะเป็นสำนักเคลื่อนภูผาที่ร่ำรวยมีอำนาจ ก็จำเป็นต้องระดมห่วงโซ่ผลประโยชน์ในแต่ละอุตสาหกรรมเช่นกัน หลังจากแบ่งสันปันส่วนใหญ่ ก็ค่อยแบ่งเค้กก้อนใหญ่ขนาดนี้ให้ลู่เซิ่งได้
“อย่างนั้นก็ดี” ลู่เซิ่งพยักหน้า
รถแล่นไปบนถนนต่อ ผ่านไปราวสิบกว่านาที มันก็จอดลงหน้าเขตเล็กๆ ที่หวังตงอาศัยอยู่
ลู่เซิ่งลงรถ ถือกระเป๋าสัมภาระพร้อมโบกมือไปด้านหลัง ก่อนจะเดินเข้าไปในเขตเล็กๆ นั้น
สิ่งก่อสร้างในเขตเก่าคร่ำคร่า แต่ว่าเงื่อนไขด้านสุขอนามัยถือว่าไม่เลว โดยรวมแล้วนับว่าสะอาด
มีรถเปิดประทุนที่จอดอยู่ด้านข้างบางส่วน แม้ยี่ห้อจะไม่หรู แต่ก็มีระดับกลางๆ ไม่น้อย แสดงให้เห็นว่าผู้อยู่อาศัยโดยรวมของที่นี่มีระดับรายรับพอใช้ได้
ลู่เซิ่งเดินไปตามป้ายบอกหมายเลขตึก จนกระทั่งนับถึงแถวที่สาม คอลัมน์ที่สอง และยืนยันหมายเลขตึก เขาก็หยิบกุญแจออกมา เดินขึ้นบันไดไปด้านบน
“ขอคุยด้วยได้ไหม” เสียงของจ้าวจ้งจวินดังมาจากหัวโค้งของบันไดด้านบน
ลู่เซิ่งเงยหน้ามอง เจ้าหมอนี่นั่งอยู่บนขั้นบันได เหมือนรอมานานแล้ว
“คุยอะไร” ลู่เซิ่งย้อนถาม
“การเข้าร่วมสำนักเคลื่อนภูผาไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุดของนาย” จ้าวจ้งจวินเอ่ยด้วยสีหนาจริงจัง
“ฉันไม่สนหรอกว่าจะเข้าร่วมกับขุมกำลังองค์กรไหน” ลู่เซิ่งว่า “ฉันแค่สนใจว่า ที่ไหนสะดวก สำหรับฉันแล้ว การเข้าร่วมขุมกำลังของพวกนายไม่ได้แตกต่างอะไรกันเลย เพราะยังไงพวกนายก็อ่อนแอเหมือนกัน”
“นายอาจจะเข้าใจผิดไป พลังอย่างนายอยู่ในวงการเราเป็นแค่คนธรรมดาเท่านั้น นายก็เห็นที่ฉันกับหวงย่าลงมือเมื่อก่อนหน้านี้แล้วนี่ นั่นก็แค่เด็กๆ เล่นพ่อแม่ลูกกัน ระดับต่ำโคตรๆ” จ้าวจ้งจวินหน้าบึ้ง เอ่ยอย่างเอาจริงเอาจัง
“จากนั้นล่ะ” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างหงุดหงิดบ้างแล้ว
“ระดับบนขององค์กรที่ฉันอยู่อยากจะพบนายสักครั้ง” จ้าวจ้งจวินเอ่ยอยางจริงจัง
“ฉันไม่สนใจองค์กรของพวกนาย” ลู่เซิ่งเดินผ่านจ้าวจ้งจวินไปด้านบน มาถึงหน้าประตูของห้องห้องแรกทางซ้ายมือบนชั้นสี่อย่างเรียบเฉย
เสียบกุญแจเข้าไปแล้วบิดเบาๆ รูปถ่ายรวมของหวังตง พ่อแม่ และสาวสวยคนหนึ่งแขวนอยู่บนผนังในห้องรับแขก หันหน้าเข้าหาประตูใหญ่
ลู่เซิ่งมองหญิงสาวบนภาพ หรือก็คือพี่สาวของร่างร่างนี้
พี่สาวแท้ๆ
หญิงสาวที่ชื่อหวังจิ้งอยู่ที่โรงพยาบาลจิตเวชในเมือง มีอาการโรคประสาทมาได้สามปีแล้ว
เพื่อหวังจิ้ง พ่อแม่จะไปดูแลเธอทุกๆ ช่วงเวลาหนึ่ง
ในความทรงจำของหวังตง พี่สาวคนนี้นอกจากจะชอบหยิกแก้มของเขาตอนเด็กๆ ที่เหลือก็ไม่มีความทรงจำอะไรแล้ว
เดินเข้าไปในห้องรับแขก ลู่เซิ่งวางกระเป๋าเดินทางในมือลงที่มุมห้อง จากนั้นก็เห็นข้อความที่วางอยู่บนโต๊ะ
“พวกเราไปโรงพยาบาลจิตเวชที่สาม ในหม้อมีข้าวอยู่ เอากับข้าวอุ่นในโมโครเวฟนะ—พ่อ หวังจัว”
ลู่เซิ่งเก็บข้อความ พลันนึกถึงโรคของพี่สาว หรือจะเกี่ยวกับผู้สื่อวิญญาณที่ว่า
เขาส่งข้อความหาหวงเย่ จากนั้นก็เริ่มอุ่นข้าว ร่างกายร่างนี้อยู่ในวัยเจริญเติบโต บวกกับการยกระดับความแข็งแกร่งต้องการพลังจำนวนมาก
อาหารจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
ถึงปราณปฐพีของร่างหลักจะมอบพลังงานที่บริสุทธิ์ให้ได้ แต่ว่าแร่ธาตุวิตามินและสสารพื้นฐานจำนวนมากก็เป็นสิ่งที่แทนที่ไม่ได้ ดังนั้นยังคงต้องกิน
ไม่นานนัก หวงย่าก็ตอบกลับมา
“พวกเราตรวจสอบสถานการณ์ของพี่สาวคุณแล้ว ไม่มีบันทึกว่าสัมผัสกับผู้สื่อวิญญาณ แต่สิ่งที่แปลก็คือ เคสของพี่คุณเหมือนจะมีบันทึกรายละเอียดไม่น้อยที่ไม่ครอบคลุม”
ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว หรือจะมีเลศนัยจริงๆ
ในไม่ช้าข้อความที่สองของหวงย่าก็มาถึงอีกครั้ง
“คุณสะดวกรับสายไหม”
ลู่เซิ่งไม่พูดพร่ำทำเพลง โทรหาทันที
ตู้ด…
ไม่ถึงหนึ่งวินาทีทางนั้นก็รับสาย
“น่าเสียดายมาก หวังตง สถานการณ์ของหวังจิ้งพี่สาวคุณประหลาดมาก เธอเคยมีประวัติป่วยทางจิตตั้งแต่ยังเด็ก เคสที่พวกเราตรวจสอบบันทึกไว้ว่า ตอนคุณอายุได้สามขวบ พี่สาวคุณหวังจิ้งก็ทำพฤติกรรมประหลาดที่ผิดแผกไปจากธรรมดามากมาย”
น้ำเสียงของหวงย่าขรึมอยู่บ้าง
“หือ? อยางนั้นพวกเธอช่วยฉันตรวจสอบได้ไหม” ลู่เซิ่งถามพลางขมวดคิ้ว
“ทรัพยากรกับอำนาจที่ระดับของคุณในตอนนี้ใช้ได้ยังไม่เพียงพอ แต่ฉันจะพยายาม” หวงย่าลำบากใจเล็กน้อย
“ไม่เป็นไร ลองดูเถอะ เล่าสิ่งที่ตรวจสอบเจอแล้วให้ฉันฟังก่อน” ลู่เซิ่งเอ่ยเสียงขรึม
เขารู้สึกผิดปกติเล็กน้อย
“ได้ค่ะ”
เสียงพลิกหน้าหนังสือข้อมูลดังมาจากทางหวงย่า ไม่รู้ว่าตอนนี้เธออยู่ไหน
“แฟ้มรายงานฉบับแรกของหวังจิ้งอยู่ที่เมืองสยงเป่ย ตอนนั้นพี่สาวของคุณไปพัวพันกับคดีฆาตกรรมนักเรียนในโรงเรียนที่แปลกประหลาดคดีหนึ่ง ทางตำรวจไม่เจอฆาตกร จึงลากพี่สาวคุณที่มีประวัติทางจิตเวชไปสอบสวนที่โรงพักต่อมาไม่นาน ตำรวจสองนายที่รับผิดชอบสอบสวนพี่สาวคุณก็ลาออกไปในสภาพเสียสติ ไม่นานให้หลัง คนหนึ่งหายสาบสูญ คนหนึ่งฆ่าตัวตาย”
ลู่เซิ่งหยีตาน้อยๆ ดูเหมือนจะผิดปกติบ้างแล้ว…
“จากนั้นครั้งที่สอง หลังจากหวังจิ้งเข้ามัธยมแห่งที่สามในเมือง ในชั้นเรียนก็มีนักเรียนสามคนให้การว่าเห็นหวังจิ้งมักจะเดินอยู่ในชั้นเรียนตอนกลางคืนคนเดียว แต่จากการตรวจสอบ เวลานั้นหวังจิ้งอยู่แต่ในบ้าน ไม่ได้ออกไปไหนเลย”
“คดีครั้งที่สาม เป็นเพราะตรวจสอบหลายครั้ง จึงค้นพบว่าหวังจิ้งมีอาการคลุ้มคลั่งทางจิตเวชอย่างรุนแรง จึงถูกส่งเข้าไปรับการรักษาที่สถาบันฟื้นฟูจิตอ้ายเจีย หมอรักษาหลักของเธอคือหมอที่ชื่อซ่งเฉิงคัง สองเดือนต่อมา…ซ่งเฉิงคังจุดแก๊สระเบิดบ้าน คนสี่คนได้แก่เขา ภรรยา และลูกๆ ต่างก็เสียชีวิต”
“ถ้าหากว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องบังเอิญ คดีอีกหลายคดีต่อจากนั้นก็ได้พิสูจน์ว่าหวังจิ้ง หรือพี่สาวของคุณ เป็นผู้ต้องสงสัยสูงสุด” เสียงของหวงย่าเคร่งขรึมกว่าเดิม
เห็นได้ชัดว่า ตอนแรกเธอเพียงแค่ช่วยลู่เซิ่งตรวจสอบสถานการณ์ของพี่สาวเท่านั้น แต่พอตรวจถึงตอนนี้ ก็รู้สึกผิดปติมากกว่าเดิม
“เล่าต่อหน่อย” ลู่เซิ่งเอ่ยเสียงทุ้ม
“ต่อจากนั้นพี่สาวของคุณอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวชแท้ๆ แต่มีไม่ต่ำกว่าหนึ่งครั้งที่นักเรียนรายงานว่า ตอนดึกมักจะมีนักเรียนหญิงที่มีรูปร่างเหมือนเธอเดินอยู่ในชั้นเรียนที่เคยเรียนตามลำพัง ผู้สื่อวิญญาณเคยได้รับการว่าจ้างให้ไปตรวจสอบ แต่ก็ไม่ได้ผลลัพธ์อะไร ไม่มีการตอบสนองทางพลังวิญญาณใดๆ ทั้งสิ้น”
หวงย่าพูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงก็จริงจังอย่างยิ่ง
“หมายความว่า เป็นไปได้อย่างยิ่งที่หวังจิ้งพี่ของฉันจะเป็นผู้ต้องสงสัยสูงสุดสินะ” ลู่เซิ่งถามกลับ
“…ไม่ตัดความเป็นไปได้นี้ แต่ขนาดผู้สื่อวิญญาณก็สืบคดีไม่ได้…รอเดี๋ยว!” ทันใดนั้นทางหวงย่าก็มีเสียงของคนอื่นดังมา เหมือนกำลังกระซิบกับเธอ
ครู่หนึ่งเสียงของหวงย่าก็ดังอีกครั้ง
“ขอโทษด้วยหวังตง เรื่องของหวังจิ้งพี่สาวนาย ผู้อาวุโสของสำนักเคลื่อนภูผาเคยไปตรวจสอบมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ผลลัพธ์เหมือนกัน มิหนำซ้ำบนเอกสารยังมีคำคำหนึ่งแจ้งเตือนไว้ด้วย”
“คำว่าอะไร”
“อันตราย” หวงย่าถอนใจอย่างจนปัญญา ก่อนจะกล่าวต่อ “ขอโทษด้วยที่ฉันช่วยอะไรไม่ได้”
“มากพอแล้ว ช่วยฉันได้เยอะทีเดียว” ลู่เซิ่งปลอบ
วางสายโทรศัพท์ ลู่เซิ่งถือโทรศัพท์ไว้ในมือ ลุกขึ้นยกกับข้าวมาวางบนโต๊ะ แล้วใช้ตะเกียบกินอย่างช้าๆ
ถ้าหากตอนแรกเขานึกว่าชีวิตของหวังตงเป็นเพียงคนหนุ่มสาวธรรมดา อย่างนั้นตอนนี้ การปรากฏตัวของหวังจิ้งก็ได้เปลี่ยนความคิดของเขาอย่างใหญ่หลวงแล้ว
…
ตุบ
มือใหญ่ข้างหนึ่งกดลงบนแฟ้มคดีเหลืองเก่าด้านหน้าหวงย่า
“ไม่ต้องตรวจแล้วย่าย่า” ชายชราผมขาวที่หน้าตาคล้ายหวงเย่เหอคนหนึ่งก้มหน้าพูดกับหวงย่าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“คุณตา!” พอหวงย่าเงยหน้า ก็สะดุ้งจนรีบลุกขึ้น “คุณปู่มาได้ยังไงคะ คุณปู่ยังอยู่ที่สวนสาลี่ที่ลานกลางไม่ใช่เหรอคะ”
“ข้อมูลที่หลานขอ เกี่ยวกับคดีต้องห้าม ดังนั้นตาก็เลยมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น” หวงอวิ๋นซื่อตาของหวงย่าเอ่ยด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง
“คดีต้องห้ามหรือ” หวงย่าอ้าปาก เหลือเชื่ออยู่บ้าง
“บนโลกใบนี้ พวกเราควรจะยำเกรงต่อสิ่งที่ไม่รู้” หวงอวิ๋นซื่อกล่าวเสียงแผ่วต่ำ “คดีที่หลานตรวจสอบไม่มีการบันทึกไว้ในเอกสาร แต่ตอนนั้นไม่เพียงสำนักเคลื่อนภูผาของพวกเรา ยังมีองค์กรผู้สื่อวิญญาณที่แข้งแกร่งในประเทศอีกสององค์กรส่งคนไปตรวจสอบมาก่อน ทว่าสุดท้าย ทั้งสามฝ่ายต่างเสียหายอย่างหนัก ต้องยกธงยอมแพ้”
“ร้ายแรงขนาดนั้นเชียวหรือคะ?!” หวงย่าตกใจ
“บนโลกใบนี้มีปริศนาที่ยังไม่รู้เยอะเกินไป ตอนนั้นพวกเราส่งคนหกคนไปทำคดีนี้ ระดับเงินห้า ระดับทองหนึ่ง แต่ยังไม่ทันรู้เรื่อง ก็ตายไปหมด” หวงอวิ๋นซื่อว่าพลางส่ายหน้า
“ดังนั้นตาขอให้หลานหยุดเท่านี้ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่พวกเราจะจัดการได้ ขอแค่คิดแก้ไข ราคาที่ต้องจ่ายก็มากเกินไป มากจนพวกเรารับไม่ไหว และไม่อาจชดเชยได้”
หวงย่ากัดริมฝีปาก ไม่ได้พูดอะไรอีก
…
พอกินข้าวเสร็จ ลู่เซิ่งโทรหาคนนำกลุ่มสวี่ฟานเพื่อแจ้งว่าปลอดภัยแล้ว จากนั้นก็ได้รับข่าวว่า พ่อแม่ให้เขาไปที่โรงพยาบาลจิตเวชที่สามในเมือง หลังจากไปเยี่ยมพี่สาว ทุกคนจะกินข้าวด้านนอกด้วยกัน ก่อนจะกลับ
ลู่เซิ่งจึงเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกไปด้านนอก
พอดีที่ขีดจำกัดของคุณสมบัติร่างกายได้เพิ่มเป็นสิบห้าเท่าแล้ว คุณสมบัติร่างกายสิบห้าเท่าของคนธรรมดาหมายถึง เขาสามารถพุ่งเป็นระยะทางมากกว่าพันเมตรได้ในเวลาสิบวินาที
สามารถกลั้นหายใจโดยไม่ได้รับผลกระทบอะไรได้เป็นเวลายี่สิบนาที
สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างเป็นปกติในความร้อนที่สูงกว่าร้อยองศาได้
สามารถถือของหนักสี่ตันกว่าๆ และเคลื่อนไหวได้สบายๆ
นี่เหนือกว่ามนุษย์ธรรมดาไปแล้ว ถ้าระเบิดพลังทั้งหมด หมัดหนึ่งของเขาสามารถสร้างพลังทำลายอันน่ากลัวถึงสิบกว่าตันได้
นี่หมายความว่าสสารเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ในความเป็นจริงต้านทานกำปั้นของเขาไม่ได้
ลู่เซิ่งออกจากบ้าน จากนั้นก็เรียกรถแท็กซี่คันหนึ่งมาเพราะมีเงิน ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลจิตเวชที่สามนอกชานเมือง
หลังจากแล่นเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง รถแท็กซี่ก็ออกจากเขตมือง แล้วไปจอดลงหน้าประตูโรงพยาบาลอันเงียบเหงาเก่าคร่ำคร่า ซึ่งกำแพงเป็นสีเหลืองแห่งหนึ่ง
“น้องชาย ฉันว่าเธออย่าอยู่นี่นานดีกว่า ที่นี่ดูน่ากลัวมากเลย” โชเฟอร์ขับรถอดเตือนไม่ได้
“ขอบคุณครับ” ลู่เซิ่งขานรับแล้วเปิดประตูลงรถ
เขายืนอยู่หน้าประตูโรงพยาบาล พิจารณาสภาพแวดล้อมรอบๆ อย่างละเอียด
โรงพยาบาลสร้างอยู่ในป่าเมเปิ้ลที่ใบไม้ตกกระจัดกระจาย พื้นเกลื่อนด้วยกองใบไม้หนา มีแต่เส้นทางสายหนึ่งเท่านั้นที่เชื่อมกับทางหลวง
เก้าอี้ยาวสองฟากข้างของถนนขึ้นสนิมจนคนนั่งไม่ได้
……………………………………….