ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 957 ภัยพิบัติ (1)
นครเมอร์คิวรี
ยอดหอคอยฟานเซอร์รา จุดสุงสุดของนครเมอร์คิวรี นครหลวงแห่งจักรวรรดิอิงลีย์
บนยอดหอคอยสีขาวที่แทงทะลุฟ้าเหมือนหนามแหลม ชายชราผมขาวสวมมงกุฎสีเงินและเสื้อคลุมสีขาวสองคน คนหนึ่งนั่งขัดสมาธิ คนหนึ่งยืน กำลังทอดตามองเมืองหลวงกว้างใหญ่อันเจริญรุ่งเรืองที่อยู่ไกลออกไป
“เธอออกมาอีกแล้ว” ชายชราที่นั่งขัดสมาธิเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ
“ทุกๆ พันปีคือหนึ่งวัฏจักร เธอในวัฏจักรนี้น่าจะเพิ่งตื่นได้ไม่นาน ให้หนวดทั้งหมดกลับมาเถอะ ม่านสีดำกำลังจะมาถึง พวกเราอย่าไปขัดแย้งกับเธอดีกว่า” ชายชราที่ยืนเอ่ยเสียงราบเรียบ
“นี่คือตัวแปร ทิ้งความทรงจำ เปลี่ยนร่างจริงมาเกิดใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่สูญสลาย การเกิดใหม่แบบนี้มีความหมายจริงๆ หรือ แม้แต่ความทรงจำกับตราประทับการดำรงอยู่ของตัวเองก็ไม่มีเหลือแล้ว แบบนี้จะยังเป็นตัวเองคนเดิมอยู่อีกหรือ” ชายชราที่นั่งขัดสมาธิทอดถอนใจ
“ใครจะไปรู้ แต่การที่เธอแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ กลับเป็นเรื่องจริง”
“เรียกฐานทัพทั้งหมดในสาธารณรัฐหลันเก๋อหลั่งหนีกลับมา มอบดินแดนนั้นให้เธอ”
“ไม่ให้ก็ไม่ได้เสียด้วย อย่างไร พลังชนิดนั้นก็เป็นพลังที่ไม่อาจต้านทาน ขอแค่อยู่ข้างกายเธอนาน ก็จะเกิดปัญหาได้”
…
แสงอาทิตย์ยามเช้าตรู่สาดลอดหน้าต่างเข้ามาตกบนเตียงในห้องนอน
ผ้าห่มสีขาวน้ำนมกองอย่างไม่เป็นระเบียบ
ลู่เซิ่งค่อยๆ ลืมตาขึ้น ลุกขึ้นจากเตียง หลังจากจัดระเบียบและเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ เขาก็ดึงประตูเปิด
พ่อแม่ไม่อยู่ในห้องรับแขก วางกระดาษแผ่นหนึ่งไว้บนโต๊ะอย่างเคยชิน ส่วนพี่สาวหวังจิ้งนั่งบนโซฟา หลังยืดตรงแน่ว สวมเดรสสีขาวตัวหลวม ผมยาวสีดำย้อยลงมาตามหลัง
ใต้แสงอาทิตย์ ชายกระโปรงสีขาวสะท้อนแสงที่เจิดจ้าอยู่บ้าง
ราวกับได้ยินเสียง หวังจิ้งเงยหน้ายิ้มให้แก่ลู่เซิ่ง
ใบหน้างดงามซีดขาวชวนให้นึกถึงความงดงามที่บริสุทธิ์ราวกับคริสตัลในแสงอาทิตย์เช้าตรู่ได้อย่างไรก็ไม่ทราบ
แน่นอนว่า สำหรับลู่เซิ่งแล้ว นี่ไม่สอดคล้องกับทัศนะความงามของเขา ความงามนอกรีตที่เปราะบางราวกับเครื่องกระเบื้องนี้ไม่อาจนำมาชมเชยได้
ของสวยๆ ที่ได้แต่ชมดูอยู่ไกลๆ แต่ไม่อาจเชยชมได้ อย่ามาโผล่ตรงหน้าจะดีกว่า แค่มองดูแต่ไม่กล้าแตะต้อง นั่นก็เท่ากับเสียเวลาไม่ใช่หรือ แม้แต่กินข้าวยังพิถีพิถันกับรสชาติหน้าตา แค่มองดูจะมีประโยชน์อะไร
“กินข้าวหรือยังครับ” ลู่เซิ่งเดินไปดูในครัว แล้วอุ่นโจ๊ก ข้างๆ มีซาลาเปาเนื้อหลายก้อน ลองลูบผิวดู เย็นไปบ้างแล้ว ดูเหมือนจะนึ่งมานานแล้ว
“ยังเลย”
หวังจิ้งตอบสั้นๆ
“งั้นก็กินด้วยกัน” ลู่เซิ่งยกซาลาเปากับโจ๊กมาวาง จากนั้นก็ตักให้คนละถ้วย
หวังจิ้งเพิ่งจะยกถ้วยขึ้น ก็ได้ยินเสียงน้องชายที่อยู่ด้านหน้าวางถ้วยลงตุบ เงยหน้ามองเห็นถ้วยใหญ่ด้านหน้าว่างเปล่าแล้ว
ลู่เซิ่งกำลังถือซาลาเปาสองลูก กินสองคำก็ยัดเข้าปากแล้วกลืนลงคอ กินซาลาเปาอย่างกับกินถั่วลิสง
หลังจากลู่เซิ่งกินโจ๊กอีกสามถ้วย ถือว่ารองท้อง ก่อนจะลุกขึ้นเก็บถ้วยกับตะเกียบ
“วันนี้มีแผนอะไรไหมครับ” ลู่เซิ่งถามอย่างใจเย็น
หวังจิ้งส่ายหน้า บอกว่าตนไม่มีแผนการอะไร
การที่พ่อแม่ออกไปแต่เช้า บอกได้ยากว่าไม่ได้หลบเธอ แต่ก็ไม่แปลก คนอย่างเธอไม่ควรจะมีใครอยากเข้าใกล้อยู่แล้ว
คนที่อยู่ใกล้ๆ เธอ จะประสบภัยพิบัติเพราะสาเหตุที่อธิบายไม่ได้
นี่ยังพอว่า สิ่งที่อันตรายที่สุดก็คือ คนที่อยู่ใกล้เธอเกินไปทุกคนจะเริ่มรังเกียจและขยะแขยงเธอโดยไม่รู้ตัว
อารมณ์นี้จะขยายขึ้นตามเวลา จนกระทั่งสุดท้าย ก็คิดจะฆ่าเธอให้ตาย
เป็นแบบนี้มาหลายปีไม่มีข้อยกเว้น
ไม่มีใครไม่กลัวเธอ
คนที่เข้าใกล้เธอ ต่างประสบภัยพิบัติ ต่างก็ตกสู่ในวังวนแห่งความชิงชังจนถอนตัวไม่ขึ้น
แม้แต่พ่อแม่ของเธอก็ไม่แตกต่าง
นานมาแล้วสาเหตุที่เธอถูกส่งเข้าโรงพยาบาลจิตเวช เป็นเพราะพ่อแม่เกือบจะบีบคอเธอจนตายเพราะผลกระทบจากพลังประหลาดนั้น
พวกหวังจัวที่ได้สติต่างก็หวาดกลัว สุดท้ายก็ตัดสินใจส่งเธอเข้าโรงพยาบาลจิตเวช เมื่ออยู่ที่นั่น หวังจิ้งจะมีพื้นที่ใคร่ครวญ มีคนรับผิดชอบเรื่องอาหารและที่อยู่
พวกหวังจัวจะได้ไม่คอยกลัวเธอ
พอกินข้าวเช้าเสร็จ ทั้งสองก็ทำเรื่องของใครของมัน
ลู่เซิ่งเพิ่มความแข็งแกร่งแก่คุณสมบัติร่างกายของตนทุกๆ วัน บรรลุถึงระดับที่ไม่อาจจินตนาการแต่แรกแล้ว
สิ่งที่ประหลาดก็คือ นับตั้งแต่วันนั้น คนของหมอกขาวก็ไม่เคยมาอีกเลย
ดีที่ตอนนี้ช่วงปิดเทอมของเขายาวมาก และไม่ต้องเรียนพิเศษ หลังหลับตาพักผ่อนสักพัก ก็เริ่มเปิดโทรศัพท์ตรวจสอบข้อมูลดิจิทัลที่พวกสำนักเคลื่อนภูผาส่งมา
หวังจิ้งนั่งข้างหน้าต่างอย่างแปลกประหลาด คอยหันไปดูด้านนอกตลอดเวลา
ในหนึ่งวัน เธอนั่งฆ่าเวลาได้ทั้งวัน
หลังจากหวังจิ้งกลับบ้าน พวกหวังจัวนานๆ ครั้งจะกลับมา ถ้าไม่ไปอยู่กับทางฝั่งยาย ก็ทำงานล่วงเวลาจนกลับไม่ได้
ก่อนหน้านี้พวกเขาอยากจะแอบเรียกลู่เซิ่งไป แต่ถูกชายหนุ่มปฏิเสธ
สำหรับลู่เซิ่ง นอกจากจะเงียบไปบ้างแล้ว หวังจิ้งก็ไม่ต่างจากหญิงสาวทั่วไป ไม่มีอะไรให้ต้องกลัว
เวลาเลื่อนไหลอย่างช้าๆ ผ่านไปหลายวัน พวกหวังจัวก็เริ่มไม่กลับบ้าน ในบ้านจึงเหลือแต่ลู่เซิ่งกับหวังจิ้งสองคน
“ชอบฟังเพลงไหม” ลู่เซิงโบกเครื่องเล่นซีดีไปมาหน้าหวังจิ้ง
หวังจิ้งส่ายหน้าอย่างเงียบเชียบ
“หาอะไรสักอย่างทำเถอะ อีกสองสามวันผมอาจต้องออกไปด้านนอก พี่อยู่บ้านคนเดียวก็พักผ่อนให้ดี ไม่มีอะไรทำก็ออกไปเดินเล่นแก้เซ็งด้านนอกก็ได้” ลู่เซิ่งอยู่กับวังจิ้งมาหลายวัน ยังไม่พบสถานการณ์ผิดปกติ
เพียงแต่หวังจิ้งมักสวมกระโปรงสีขาว ผมยาวย้อยสยาย ไม่ชอบเปิดไฟตอนกลางคืน ถ้าเป็นคนทั่วไป อาจตกใจเข้าได้จริงๆ
ดีที่ลู่เซิ่งฆ่าคนระดับทั้งดวงดาวมาแล้ว ย่อมไม่ตกใจเพราะเรื่องเล็กๆ แค่นี้ ทั้งยังได้บอกกับเธอไปหลายครั้งแล้วว่าอย่าเพ่นพ่านตอนกลางคืน แต่เธอไม่ฟัง ก็เลยเลิกสนใจเธอ
ถึงเวลาเที่ยงแล้ว
ทั้งสองนั่งกินข้าว ข้าวสั่งมาจากภัตตาคารด้านนอก มีครบทั้งหน้าตาและรสชาติ เดิมทีพวกหวังจัวให้เงินพวกเขาไว้ส่วนหนึ่ง เพื่อให้พวกเขาหากินเอง
แต่ลู่เซิ่งมีเงินอยู่หลายล้าน ย่อมปรนเปรอตัวเองด้านการกินอย่างเต็มที่ หาภัตตาคารที่รสชาติไม่เลวแห่งหนึ่งใกล้ๆ จากนั้นก็ซื้อตั๋วอาหารระยะยาว
“ก่อนหน้านี้เธอบอกว่าจะไปไหนนะ” หวังจิ้งนึกได้ว่าตอนเช้าลู่เซิ่งจะไปด้านนอก พลันเงยหน้าขึ้น ตาโตกระจ่างและงดงามจ้องมองเขาอย่างเงียบๆ
เธอชอบความรู้สึกแบบนี้ กินข้าว พักผ่อน ดูทีวี และนอนหลับทุกวันอย่างสงบสุข ข้างตัวมีคนที่คอยอยู่เป็นเพื่อน เป็นคนที่ไม่กลัวตน
ภายใต้การสังเกตตลอดหลายวันมานี้ คล้ายกับว่าความสามารถภัยพิบัติตามธรรมชาตินั้นจะไม่เกิดผลกับน้องชาย
นี่ทำให้เธอที่ระวังตัว เริ่มผ่อนคลายลง
แม้จะเป็นเวลาแค่สัปดาห์กว่าๆ แต่เธอชอบวันเวลาที่เรียบง่ายเช่นนี้
“ข้างนอกครับ” ลู่เซิ่งตอบง่ายๆ
“พี่จะไปด้วย” หวังจิ้งเอ่ยอย่างราบเรียบ ยกตะเกียบขึ้นกินช้าๆ
“ผมจะไปจัดการธุระ” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างจริงจัง
“…” หวังจิ้งไม่พูดอะไร ใบหน้างดงามขาวผ่องก้มลง ดวงตาอึมครึม
แม้แต่เธอก็จะหนีจากฉันไปเหรอ
ควันดำประหลาดหลายสายไหลขึ้นบนตัวเธอ ความคิดอำมหิตบังเกิดในสมอง
“ก่อนหน้านี้ผมไปก่อปัญหาขึ้น มีคนต้องการตามหาผม ดังนั้นผมต้องออกไปจัดการ” ลู่เซิ่งอธิบายอย่างรวบรัด
“ไปด้วยกัน” หวังจิ้งเอ่ยอย่างราบเรียบ
“อยากจะทิ้งฉันมากขนาดนั้นเลยเหรอ”
ควันดำบนตัวเธอเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ
ลู่เซิ่งปวดหัวอยู่บ้าง
“ช่างเถอะ ไปด้วยกันก็ได้ ผมไปซื้อของก่อน ประเดี๋ยวก็กลับ พี่อยากดื่มอะไรไหมล่ะ น้ำบ๊วยเปรี้ยวไหม”
ควันดำบนตัวหวังจิ้งหายไปในพริบตา เธอชอบน้ำบ๊วยเปรี้ยว ผงกศีรษะเล็กน้อย มองดูลู่เซิ่งวางถ้วยเปล่า สวมเสื้อนอกผลักประตูออกไป
ตึง
ประตูปิดลง
ลู่เซิ่งเดินเข้าลิฟต์และกดปุ่มชั้นแรกอย่างหมดคำพูด
สถานการณ์ของหวังจิ้งเริ่มทำให้เขาปวดหัวมากขึ้น บนตัวพี่สาวคนนี้เหมือนจะมีคุณสมบัติที่เหมือนกับความประหลาดลี้ลับ แต่ก็คล้ายแตกต่างจากความประหลาดลี้ลับ
เขายังไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร
แต่ดูแล้ว เธอจะชอบน้องชายอย่างตนจริงๆ
พอลงถึงชั้นแรก ประตูลิฟต์ค่อยๆ เปิดออก ลู่เซิ่งก็เดินออกมา
ตูม!
แจกันดอกไม้ใบหนึ่งตกลงมาใส่หัวเขา
แจกันแตกออก แผ่นกระเบื้องที่คมกระแทกกับผนังทางขวา วาดผ่านเส้นเลือดใหญ่บนคอลู่เซิ่งอย่างแรง เพียงทิ้งรอยขาวไว้เล็กๆ เท่านั้น
“เฮ้ย! ฉันเพิ่งสระผมไปเองนะ!” ลู่เซิ่งกำลังใช้ความคิด พอโดนแจกันตกใส่อย่างกะทันหัน พลันรีบหลบ ก้มหัวลงตบดินที่อยู่บนศีรษะ
เขามองไปด้านบนอย่างหงุดหงิด
ไม่รู้ว่าเป็นแจกันที่ตกมาจากห้องไหน มิหนำซ้ำด้วยคุณสมบัติร่างกายในปัจจุบันของเขา ถึงกับหลบการลอบโจมตีนี้ไม่พ้น นี่มันน่าเหลือเชื่อจริงๆ
แต่ว่าลู่เซิ่งชินเสียแล้ว ในหลายวันมานี้ เขาเจอเรื่องแบบนี้ไม่ต่ำกว่าหนึ่งครั้ง
หลังจากปัดดินบนหัวจนสะอาด เขาก็เดินออกจากประตูบันได แล้วลัดเลาะตามทางเดินออกจากเขตตึก
เอี๊ยด!
ทันใดนั้นมีรถยนตร์คันเล็กเสียหลักพุ่งใส่เขาจากด้านหลัง
ลู่เซิ่งเดินไปทางซ้ายสองสามก้าว รถเฉียดผ่านร่างเขาไปชนใส่ต้นไม้ลำต้นที่คดงอคันหนึ่งแล้วหยุดนิ่ง
ลู่เซิ่งดูเวลา พอยืนยันว่าสองฟากข้างไม่มีรถแล้ว ก็เร่งฝีเท้าตัดข้ามทางม้าลาย
ตอนที่เดินผ่านฝาท่อระบายน้ำ ฝาท่อพลันจมลงอย่างไร้เค้าลาง ลู่เซิ่งใช้เท้าข้างหนึ่งเหยียบด้านข้างเพื่อยืมแรง ตั้งหลักร่างอย่างผ่อนคลาย ก่อนจะเดินต่อไป
ไม่นานก็มาถึงหน้าห้างสรรพสินค้าเล็กๆ ริมถนนแห่งหนึ่ง เขาเลือกเครื่องดื่มสองสามอย่าง บวกกับน้ำบ๊วยเปรี้ยวที่หวังจิ้งต้องการ จากนั้นก็หยิบของใช้ประจำวันสำหรับผู้หญิงมาส่วนหนึ่ง เช่นพวกสบู่ ครีมอาบน้ำ
“คิดเงินครับ” เขาเดินไปหน้าเคาน์เตอร์
หลังเคาน์เตอร์คือคนหนุ่มผมยุ่งคนหนึ่ง คิดเงินที่ต้องชำระให้เขาอย่างรวดเร็ว
พอจ่ายเงินเสร็จ ลู่เซิ่งก็เดินออกจากห้างสรรพสินค้า ด้านหลังมีเสียงถอนใจดังมาเบาๆ
“ระวัง!”
อยู่ๆ ชายหนุ่มด้านหลังก็ตะโกนขึ้น
ลู่เซิ่งเงยหน้า ป้ายโฆษณาที่แขวนอยู่ด้านบน หล่นลงมาอย่างไร้เสียง มุมป้ายโฆษณาที่แหลมคมอันเป็นท่อนล่างของตัวอักษรสองตัวพุ่งใส่เขาอย่างแรง
เปรี้ยง
เศษชิ้นส่วนกระจัดกระจาย
ลู่เซิ่งยืนอยู่ตรงกลางอย่างสบายดี ด้านหน้าคือป้ายโฆษณาที่เพิ่งหล่นลงมา
ในพริบตาเมื่อครู่ เขาก้าวไปด้านหน้าดุจสายฟ้าแลบ หลบป้ายโฆษณาได้อย่างหวุดหวิด
“เปลี่ยนเป็นคนธรรมดา คงจะตายไปไม่รู้กี่ครั้งแล้ว” ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว
ลู่เซิ่งถือสิ่งของที่ได้รับมาฟรีๆ เดินไปยังที่พักของตน ภายใต้การโค้งตัวขอโทษขอโพยของเจ้าของ
เขาแปลกใจอยู่บ้าง แม้ก่อนหน้านี้จะไม่ใช่ไม่มีอุบัติเหตุอย่างนี้มาก่อน แต่นี่เพิ่งผ่านไปแค่สิบนาที เขาก็เจออุบัติเหตุหลายครั้งแล้ว
นี่มันสมกับคำว่าคราเคราะห์มาเยือน เทพแห่งความซวยสิงร่างโดยแท้!
……………………………………….