ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 98 แลกเปลี่ยน (2)
“ข้าสมควรรู้จักพวกเจ้าหรือ” ลู่เซิ่งถามอย่างฉงน
ครั้งนี้เป็นจัวเหวินอวี่อ้าปากตาค้างแล้ว คนผู้นี้ไม่รู้อะไรสักอย่างเดียว มาถึงก็จัดการตนเองทันที
แต่อย่างไรนางก็มีความรู้กว้างขวาง ตอบสนองรวดเร็ว นึกหาวิธีได้
“ปล่อยข้าเถอะ ข้ารวบรวมข้อมูลส่วนหนึ่งของจัตุรัสแดงให้ท่านได้ ตอนนี้สภาพของตระกูลเจินไม่สู้ดี เชื่อข้า การปล่อยข้ามีผลดีมากกว่าผลเสียสำหรับท่าน”
“เอาของบนตัวเจ้าให้ข้า ถ้ามีของคล้ายๆ กันอีก ข้าจะพิจารณาปล่อยเจ้าได้” ลู่เซิ่งชี้ไปที่สร้อยไข่มุกที่ร้อยด้วยสายโลหะเส้นหนึ่ง
“ได้!” จัวเหวินอวี่ค่อนข้างประหลาดใจ สร้อยไข่มุกที่นางสวมไม่ใช่ของดีอันใด แต่เป็นเพราะมีอายุเล็กน้อย จึงมีค่าอยู่บ้าง คิดไม่ถึงอีกฝ่ายจะต้องการมัน
“ยังมีของในปากศพนั่น ข้าขอดูก่อนค่อยว่ากัน” ลู่เซิ่งเสนอเงื่อนไขต่อ
เขาไม่อยากฆ่าคนผู้นี้อยู่แล้ว อีกฝ่ายเป็นคนของหอแดง ขณะเดียวกันก็เป็นคนของจัตุรัสแดงด้วย ความเข้าใจที่อีกฝ่ายมีต่อภูตผีย่อมมากกว่าคนนอกอย่างพวกเขาพรรควาฬแดง
เขาต้องการเค้นข้อมูลจากปากอีกฝ่าย
“ของสิ่งนั้นไม่มีประโยชน์กับท่าน มีแค่ปีศาจอย่างพวกเราจึงใช้ได้” จัวเหวินอวี่อธิบาย สิ่งที่น่าประหลาดยิ่งก็คือ ทั้งๆ ที่นางบาดเจ็บสาหัสทั้งร่าง แต่ยามพูดคุยยังฉาดฉาน ไม่ได้รับผลกระทบเพราะบาดเจ็บสาหัสแม้แต่น้อย
“หนำซ้ำต่อให้เป็นพวกเรา ก็ดูดปราณศพประเภทนี้ลำบากมากเหมือนกัน ต้องใช้เวลาย่อยสลาย”
“ปราณศพหรือ” ลู่เซิ่งกระจ่างแจ้ง ถึงแม้เขาจะสัมผัสได้ว่าของในปากศพพิลึก แต่เป็นแค่ลางสังหรณ์ที่เลือนรางยิ่ง ไม่ใช่ความรู้สึกแจ่มชัด
ถึงอย่างไรถ้าไม่ใช่เครื่องมือปรับเปลี่ยน เขาก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ดังนั้นนอกจากปราณหยินกับปราณภายใน เขาสัมผัสอย่างอื่นไม่ได้
“ท่านแข็งแกร่งมาก นับเป็นคนกลุ่มน้อยที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่มนุษย์ พวกเขาเรียกตัวเองว่าขอบเขตเอกะฟ้า ส่วนใหญ่เร้นกายอยู่ตามที่ต่างๆ เหตุใดท่านมีขีดความสามารถร้ายกาจปานนี้แล้ว ยังอยู่ในค่ายพรรคแบบนี้อีก” จัวเหวินอวี่ถามกลับ
“ขีดความสามารถของข้าเทียบเท่าเอกะฟ้าหรือ” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างฉงน เขาเพิ่งใช้วิชาลมปราณแดงฉานระดับห้า บวกกับวิชาแข็งกร้าวอย่างวิชาหยินหยางกระเรียนหยก ระดับขีดความสามารถตามความเป็นจริงสมควรแข็งแกร่งเท่าประมุขพรรคเฒ่า แต่ไม่ได้ร้ายกาจเท่าใด นางบอกว่าระดับเช่นนี้เทียบเท่ากับเอกะฟ้า
“หรือว่าไม่ใช่” จัวเหวินอวี่ย้อนถาม “ข้าเคยสู้กับยอดฝีมือเอกะฟ้าหลายคน ขีดความสามารถเท่ากับท่าน”
“เอาเถอะ ยังไม่ต้องพูดถึง มาดูก่อนว่าของเล่นชิ้นนี้เป็นสิ่งใด” ลู่เซิ่งมองสร้อยไข่มุกบนคอนางอย่างไร้ความเกรงใจ
จัวเหวินอวี่ใช้มือข้างหนึ่งกระชากมันออกมา ก่อนโยนให้ลู่เซิ่ง “กล่าวตามจริง ข้าไม่เข้าใจนักว่าท่านต้องการของเล่นชิ้นนี้ทำไม สิ่งนี้นอกจากมีอายุบ้าง ล้ำค่าเล็กน้อย อย่างอื่นก็เป็นแค่สร้อยคอทั่วไป ถ้าท่านต้องการ ข้ามอบให้ได้หลายชิ้น”
“ข้าต้องการ ย่อมมีเหตุผลของข้า” ลู่เซิ่งรับสร้อยมา เดินไปถึงข้างเตียง ใช้ดาบทำลายศีรษะศพ ของที่อมอยู่ในปากก็โผล่ออกมา
นั่นเป็นกระถางติ่งกลมๆ สีดำสนิทที่ขนาดเล็กยิ่ง ผิวสลักลวดลายถี่หยิบเหมือนตัวหนังสือ รอบๆ มีหกหู ขนาดเท่าไข่ไก่ ผิววัสดุไม่ใช่ทองไม่ใช่หยก
ลู่เซิ่งใช้ปลายดาบเขี่ยมันขึ้นมา แล้วมองจัวเหวินอวี่ ตาของสตรีนางนี้เป็นสีเขียว เป็นดวงตามีสีเขียวเข้มอย่างแท้จริง จ้องมองกระถางติ่งขนาดเท่าไข่ไก่เขม็ง
“เจ้าปรารถนาสิ่งนี้ใช่หรือไม่” ลู่เซิ่งยิ้มมุมปาก เอ่ยขึ้น
“แน่นอน” จัวเหวินอวี่ไม่ปิดบังแม้แต่น้อย
ลู่เซิ่งรู้สึกว่ามีปราณหยินหลายสายส่งมาจากสร้อยไข่มุกที่กำอยู่ “ถ้าเจ้ายังมีของที่เหมือนสร้อยเส้นนี้ ข้าจะมอบของเล่นนี้แก่เจ้า”
“จริงหรือ” จัวเหวินอวี่ขมวดคิ้วกล่าวอย่างไม่อาจเข้าใจ “ท่านแน่ใจว่าต้องการแค่สร้อยไข่มุกแบบนั้น”
“ไม่ ข้าไม่ได้ต้องการสร้อยแบบนี้ สิ่งที่ข้าต้องการคือของที่มีอายุคล้ายๆ กันนี้ ส่วนใหญ่เป็นของฝังร่วมในหลุมศพ ให้ดีที่สุดเป็นของที่ผู้ตายสวมใส่ หรือไม่ก็สัมผัสโดยตรง” ลู่เซิ่งอธิบาย
จัวเหวินอวี่งุนงง ก้มหน้าใคร่ครวญ
“ท่านดูว่าของแบบนี้ใช้ได้หรือไม่” นางล้วงถุงบัวดิ้นทองสีม่วงใบหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ ส่งให้ลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งรับมา สัมผัสได้ถึงปราณหยินเล็กๆ อีกรอบ รู้สึกยินดี ทราบว่าการร่วมมือกับปีศาจตนนี้มาถูกทางแล้ว
“ได้! เอามาอีกสิบชิ้น ข้าจึงจะให้กระถางติ่งเจ้า”
“ได้” จัวเหวินอวี่ตอบรับอย่างแน่วแน่
ลู่เซิ่งงงงัน เห็นนางตอบรับอย่างเต็มใจขนาดนี้ พลันทราบว่าตนเสนอราคาต่ำไป
“ไม่ล่ะ… เมื่อครู่ข้ากล่าวผิด” เขานึกหาวิธีได้ หัวเราะเหอะๆ “ข้าต้องการของแบบนี้อีกหนึ่งร้อยชิ้น! ร้อยชิ้นข้าจะมอบของวิเศษชิ้นนี้ให้เจ้า!”
“ท่าน!” จัวเหวินอวี่มองชายฉกรรจ์หัวล้านตรงหน้า โมโหขึ้นมา “มนุษย์จอมเจ้าเล่ห์! อย่าทำเกินไปนัก!”
“นี่ไม่ใช่เกินไป นี่เรียกรอราคาดีค่อยขาย” ลู่เซิ่งหัวเราะ “ผู้ใดให้เจ้าปรารถนาของสิ่งนี้เล่า”
จัวเหวินอวี่ถลึงมองลู่เซิ่ง เพิ่งรู้สึกดีกับเขา สุดท้ายตัวเองตกที่นั่งลำบาก นางปรารถนากระถางติ่งเล็กๆ ใบนี้จริงๆ
“มากสุดได้สิบกว่าชิ้น ของอย่างนี้นับว่าเก่าแก่ ราคาไม่ถูก หนำซ้ำส่วนใหญ่เป็นของรักข้างกาย ต่อให้มีเยอะกว่านี้ข้าไปค้นหาอย่างละเอียดก็ไม่แน่จะหาเจอ”
ลู่เซิ่งดูท่าทางของนาง ทราบว่าครั้งนี้นับว่าพอประมาณแล้ว อีกฝ่ายกล่าวความจริง
“เอามาทีเดียวได้หรือไม่ ใช้ของแลกของ ไม่มีปัญหากระมัง”
“ไม่ได้! ของเหล่านี้ข้าจำเป็นต้องใช้เวลารวบรวม ไม่ใช่เอามาได้หมดในเวลาสั้นๆ นอกจากนี้ส่วนใหญ่เป็นของรักของคนอื่น ข้าเอามาให้ท่านดูได้ก่อน ถ้าท่านต้องการจริงๆ ข้าค่อยให้” ตอนแรกจัวเหวินอวี่นึกว่าลู่เซิ่งเพียงสนใจ ตอนนี้ดูแล้วเหมือนเขาต้องการมากจริงๆ จึงเสนอความคิด
“แต่ถ้าท่านอยากได้ของสิ่งนี้ในระยะยาว ข้าหาช่องทางที่แน่นอน หาของให้ท่านได้ แต่ท่านก็ต้องช่วยข้าหาสิ่งของที่มีแต่พวกท่านจึงจะเอามาได้ ให้ข้าด้วย”
“อ้อ? วาจานี้เป็นจริงหรือ” ลู่เซิ่งพลันสนใจ ปราณหยินบนสร้อยไข่มุกชิ้นนี้มีไม่มากนัก เทียบเท่ากับผงที่เปลี่ยนจากผีอาภรณ์ขาวซึ่งเขาฆ่าตายตัวแรก เอามาเรียนรู้วรยุทธ์ระดับต่ำทั่วไปยังทำได้ แต่ใช้กับวรยุทธ์ระดับสูงเห็นชัดว่าไม่เพียงพอแล้ว แต่ถ้ามากกว่านี้ ถึงขั้นมีช่องทางแน่นอน เช่นนั้นก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว
“เป็นจริง!” จัวเหวินอวี่พยักหน้า ตอนนี้ชีวิตอยู่ในกำมือผู้อื่น อาการบาดเจ็บบนร่างก็ปวดแสบปวดร้อน นางไม่คิดใช้คำโกหกเพื่อเอาตัวรอด
“ก็ได้ เช่นนั้นตกลงตามนี้” ลู่เซิ่งดึงผ้าบนพื้นขึ้นมา ใช้ปลายดาบเขี่ยกระถางติ่งใบเล็กขึ้น โยนไปบนผ้าก่อนห่อ แล้วยกของขึ้น มองไปที่จัวเหวินอวี่
“ภายหลังพวกเราติดต่อกันอย่างไร”
“ที่นี่เป็นอย่างไร เมื่อข้ามาจะวางหินสามเหลี่ยมไว้ใต้ต้นไม้แห้งนอกกำแพงต้นนั้น” จัวเหวินอวี่เอ่ย “ท่านส่งคนมาเฝ้าที่นี่ก็ได้”
นางฉีกเลือดเนื้อก้อนเล็กๆ จากบาดแผลตรงท้ายทอยอย่างแผ่วเบา ก่อนยื่นส่งให้ลู่เซิ่ง “นี่มอบให้ท่าน ถ้าต้องการติดต่อข้าให้เผามัน”
ลู่เซิ่งใช้ปลายดาบรับเลือดเนื้อก้อนนี้มาตรวจสอบอย่างละเอียด ไม่พบว่ามีพิษ จึงค่อยใช้ห่อผ้าขาดเมื่อก่อนหน้าห่อมันเอาไว้
สร้อยคอกับถุงบัวต่างมีปราณหยินไม่เพียงพอ ถึงตอนนี้ถูกดูดจนหมดอย่างรวดเร็ว ทว่าบวกกับปราณหยินที่ได้จากภูตผีที่ฆ่าไปก่อนหน้า สมควรมากพอจะยกระดับวิชาลมปราณแดงฉานอีกครั้งหนึ่งแล้ว
“หวังว่าพวกเราจะร่วมงานกันด้วยดี ยังมี เจ้ารีบไปจะดีกว่า ข้าจะเผาที่นี่แล้ว” ลู่เซิ่งมองกระถางติ่งใบเล็ก หมุนตัวจากไปพร้อมกับหัวเราะเหอะๆ
เขาไม่สนใจว่าจัวเหวินอวี่จะหนีอย่างไร ถือห่อผ้าเข้าตัวลานอย่างรวดเร็ว แล้วออกประตูใหญ่ ฟืนแห้งกองเต็มนอกกำแพง ทั้งราดน้ำมันไว้ เป็นเขาสั่งการไว้แล้ว
สวีชุยชูคบเพลิงรออยู่ด้านนอก
“ยังมีวิธีเก็บกวาดอันใดสบายไปกว่าการเผาให้ราบอีก ถึงอย่างไรก็เผาไปครั้งหนึ่งแล้ว ทำอีกครั้งไม่ใช่ดีกว่าเดิมหรือ” ลู่เซิ่งหันไปมอง รับคบเพลิงจากมือสวีชุย แล้วโยนไปยังฟืนแห้งข้างประตูใหญ่อย่างเอ้อระเหย
ตุบ
คบเพลิงตกบนกองฟืน ติดน้ำมันอย่างรวดเร็ว หย่อมเพลิงสีเหลืองลามออกมา ไม่ทันไรก็เกิดควันหนา ไฟค่อยๆ ห้อมล้อมหมู่บ้านตระกูลซ่ง
ครั้งนี้ลู่เซิ่งให้คนนำฟืนแห้งมาเป็นจำนวนมาก ก็เพื่อเผาสถานที่ผีสางแหงนี้ให้ราบโดยสมบูรณ์ เทียบกับการจุดไฟอย่างฉุกละหุกเมื่อก่อนหน้า เตรียมตัวพร้อมกว่ามาก
จัวเหวินอวี่นั่นจะต้องซุกซ่อนความลับไม่น้อยแน่ แต่ก็ไม่เป็นไร ขอแค่นางหาวัตถุมีปราณหยินให้ตนได้ ลู่เซิ่งก็ไม่ถือสาว่านางจะซ่อนอันใด
“พี่ใหญ่ แบบนี้ก็ได้แล้วหรือ” สวีชุยถามเสียงทุ้ม “สตรีคนก่อนหน้านั้น…”
“นางหนีไปได้ แต่ก็ถูกข้าเล่นงานสาหัสเหมือนกัน ไม่ต้องห่วง” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างไม่นำพา “กลับไปก่อนเถอะ ที่นี่เรียบร้อยแล้ว พวกพี่น้องยังรออยู่รอบนอก”
“ขอรับ” สวีชุยพยักหน้าตอบ
ลู่เซิ่งนำคนกลับตำหนักใหญ่อย่างรวดเร็ว หลังรายงานสถานการณ์ภารกิจแก่หงหมิงจือประมุขพรรคเฒ่าเรียบร้อย เขาก็แทบอดทนรอกลับถึงห้องเพาะดอกไม้หยกทองไม่ได้
หอ ศาลาและลานของที่นี่สร้างไปมากแล้ว เป็นเพราะใช้ไม้ผสมกับอิฐหิน จึงสร้างได้รวดเร็ว สามารถเข้าไปอยู่ได้
ที่อยู่ของลู่เซิ่งย้ายจากบ้านหลังเล็กๆ ก่อนหน้ามาเป็นหอเล็กๆ สองชั้น
พอเข้าไปในหอ เขาก็รีบเข้าห้องสงบใจสำหรับฝึกฝน ลงกลอนหน้าต่างประตู ออกคำสั่งไม่ให้ใครรบกวนตน จากนั้นก็ตั้งสมาธินั่งบนเบาะกลมภายในห้อง
‘ครั้งนี้สมควรทำลายขีดจำกัดของวิชาลมปราณแดงฉาน เรียนรู้วิชาลมปราณใหม่ได้!’ ลู่เซิ่งคาดหวังรอคอย
วิชาลมปราณแดงฉานแข็งแกร่งยิ่ง ระดับห้าก่อนหน้าบวกกับวิชาหยินหยางกระเรียนหยก และวิชาแข็งกร้าว เล่นงานจัวเหวินอวี่ที่เคยสู้กับยอดฝีมือขอบเขตเอกะฟ้าจนสาหัสได้ในเวลาสั้นๆ
ถ้าหากว่าลงมือสุดกำลัง ระเบิดวิชาแดงฉานระดับเจ็ด อานุภาพจะต้องเหนือกว่าหลายเท่า! ถึงแม้ระดับแบบนี้ยังคงห่างไกลจากระดับพันธนาการมากก็ตาม
แต่ลู่เซิ่งสัมผัสได้ว่า ตนกำลังเข้าใจทีละนิดๆ เข้าใกล้เส้นแบ่งระยะห่างที่เหมือนร่องน้ำตามธรรมชาติระหว่างคนธรรมดาและตระกูลขุนนาง รวมถึงความประหลาดลี้ลับ
เขาสูดหายใจลึก หลับตานึกเงียบๆ
‘ดีปบลู’
ฟุ่บ!
กรอบสีน้ำเงินอ่อนโผล่ขึ้น ลอยนิ่งอยู่ด้านหน้าเขา
กรอบข้อความกรอบหนึ่งเด้งขึ้นมาทันที
[ดำเนินการเรียนรู้วรยุทธ์หรือไม่]
ลู่เซิ่งสงบความตื่นเต้นในใจ เมื่อใจเย็นลงแล้ว ค่อยใช้ความคิด
[ใช่]
กรอบข้อความหายไปในพริบตา
หลังจากยืนยันการเรียนรู้ ความรู้สึกอัศจรรย์นั้นโผล่ขึ้นมาอีกครั้ง ลู่เซิ่งรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า วรยุทธ์ในกรอบทั้งหมดบนเครื่องมือปรับเปลี่ยนดำเนินการเรียนรู้หลอมรวมได้
เขามองวิชาลมปราณแดงฉานทันที
[วิชาลมปราณแดงฉาน: ระดับเจ็ด ผลพิเศษ: ตาข่ายโลหิต เสริมแกร่งพิษอัคคี แรงกระแทกหกชั้น เสริมจุดไฟ] มีปุ่มที่เรียนรู้ได้โผล่ขึ้นด้านหลังอย่างที่คิดไว้
เขาสูดหายใจลึก เปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง สำนึกกดบนปุ่มนั้นอย่างแผ่วเบา
……………………………………….