ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 993 นอกสายธาร (1)
หวังจิ้งยืนอยู่ด้านในถ้ำ มองหนันเก๋อที่ฮัมเพลงอยู่ข้างๆ ก่อนจะหันกลับไปมองก้อนสีเทาที่ลอยอยู่กลางอากาศ
“เธอไม่เป็นห่วงเหรอ” หนันเก๋อพลางถามแค่นหัวเราะ “ดูเหมือนเธอกับตัวประหลาดนั้นเหมือนจะมีความสัมพันธ์ไม่เลวนะ”
“ไม่ นี่เป็นพิธีกรรม พิธีกรรม เป็นสิ่งที่ไม่มีทางตาย…” หวังจิ้งเอ่ยอย่างสงบ
หนันเก๋อไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธ
“ทำไมเธอถึงขัดขวางไม่ให้เขาเป็นเทพแห่งการทำลายล้างล่ะ เทพแห่งการทำลายล้างเป็นพลังที่อยู่บนจุดสูงสุดของโลกเลยนะ” หนันเก๋อถามอีก พูดตามจริงเธอก็สงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเหมือนกัน
หวังจิ้งส่ายหน้าน้อยๆ
“เธอ ไม่เข้าใจ เทพแห่งการทำลายล้าง จะเข้าใกล้กันมากเกินไปไม่ได้…ไม่อย่างนั้น ฉันกับเขา ต่างก็ต้องตาย”
หลังจากเห็นลู่เซิ่งที่แดนรกร้าง เธอก็ได้สติแล้วมายังที่นี่ทันที แต่เหมือนจะสายไปก้าวหนึ่ง…
ตราเทพเป็นรูปเป็นร่างแล้ว ตอนนี้ ถ้าหากขวางไม่ให้น้องชายกลายเป็นเทพแห่งการทำลายล้างจริงๆ อย่างนั้นตราเทพที่เกิดขึ้นจะเป็นยันต์สั่งตายของเขา
และถ้าเขากลายเป็นเทพแห่งการทำลายล้างจริงๆ พวกเขาคง…
หวังจิ้งหลับตาเบาๆ
“ในเมื่อ นี่เป็นทางเลือก ของเธอ…” เธอสูดหายใจลึกก่อนจะสาวเท้าไปด้านนอกถ้ำ
ในเมื่อน้องชายยืนกราน แม้เธอจะคิดขัดขวาง แต่ก็ตัดใจทำไม่ลง
ในเมื่อทำไม่ลงก็รีบจากไปดีกว่า
ถ้าบอกว่าเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว เธอเคยคิดว่าเมื่อไหร่ตัวเองจะดับสูญอย่างสิ้นเชิงเพื่อจบวัฏจักรไร้สิ้นสุดอันน่ากลัวนี้ได้
อย่างนั้นตอนนี้ เธอกลับหวังให้วัฏจักรนี้ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ
เธอคอยมองน้องชาย หรือผู้ชายที่เดิมเธอคิดว่าเป็นการไถ่ถอนเพียงหนึ่งเดียวของตัวเองอยู่ไกลๆ แบบนี้ก็ได้
เปรี้ยง!
เวลานี้ก้อนสีเทาด้านในถ้ำระเบิดอย่างฉับพลัน
ลู่เซิ่ง สการ์เล็ต และแพลทินัมหลุดออกมา ก่อนจะทิ้งตัวลงบนพื้นสามแห่งอย่างมั่นคง
“ไป!” สการ์เล็ตเพิ่งจะออกมาก็หน้าซีดทันที หมุนตัวกลายเป็นเส้นสีแดงเส้นหนึ่งหายสาบสูญไปในพริบตา
แพลทินัมก็ไม่รีรอเช่นกัน ร่างระเบิดเป็นหมอกขาวหายตัวไปในทันใด
ทั้งสองได้เห็นโฉมหน้าที่น่ากลัวอย่างแท้จริงของลู่เซิ่งในโลกพิธีกรรมเมื่อครู่แล้ว พวกเขาที่มีพลังของเทพแห่งการทำลายล้างร่วมมือกันก็ยังเอาไม่อยู่
นี่มันช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ
แต่ถ้าเป็นสัตว์ประหลาดที่ปรากฏตัวในสถานที่นั้น ต่อให้แข็งแกร่งขนาดไหนก็ถือว่าปกติมาก พวกเขาไม่ใช่ว่าไม่เคยเห็นมาก่อน
ทั้งสองไม่เป็นกังวลถึงลู่เซิ่งแม้แต่น้อย เพราะอย่างไรอีกไม่นานก็จะมีผู้พิทักษ์ที่แข็งแกร่งกว่าปรากฏตัวออกมาแล้วฆ่าอีกฝ่ายทิ้ง
ลู่เซิ่งมองทั้งสองหลบหนีไปอย่างนิ่งเฉย สีหน้าไร้อารมณ์ใดๆ
ลวดลายสีแดงเข้มกระจายเต็มตัวเขา เค้าโครงกล้ามเนื้ออันกำยำเหมือนกับโลหะสำริดสีเข้ม
ขอแค่ไม่ขวางทางเขา เขาก็ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะหนีหรือไม่หนี อย่างไรเทพแห่งการทำลายล้างก็ฆ่าไม่ตาย เขาได้พิสูจน์เรื่องนี้ไปเมื่อกี้แล้ว
“ตราเทพคืออะไร” ลู่เซิ่งมองหนันเก๋อที่อยู่ด้านข้าง
“ตราประทับอมตะที่สร้างขึ้นเพื่อเจ้าโดยเฉพาะ ขอแค่เจ้าเติมพลังวิญญาณเข้าไปด้านใน ก็จะกลายเป็นเทพแห่งการทำลายล้างทันที” ในน้ำเสียงของหนันเก๋อแฝงความอิจฉาที่อธิบายไม่ถูก แม้เธอจะเป็นมารสวรรค์ กายเนื้อของเทพแห่งการทำลายล้างก็เป็นกายเนื้อในระดับสูงสุดเช่นกัน
อมตะหรือ…
ลู่เซิ่งพยักหน้าแล้วก้าวไปยังอุโมงค์ที่ปรากฏขึ้นมาใหม่แห่งนั้น
ร่างคนสีเทามากมายพุ่งผ่านตัวเขาไป พวกมันเหมือนจะรู้ว่าลู่เซิ่งเป็นคนที่กำลังจะรองรับความตั้งใจและพลังของพวกมัน
อย่างค่อยเป็นค่อยไป วิญญาณศักดิ์สิทธิ์อันเป็นมายาหลายดวงก็เริ่มบินวนเวียนรอบตัวเขาอย่างช้าๆ
ถ้ำเริ่มสั่นไหว
“แย่ล่ะ! โพรงหมื่นวิญญาณใกล้ถล่มแล้ว!” หนันเก๋อเห็นดังนั้นก็ทราบทันทีว่าสถานการณ์อันตราย
โพรงหมื่นวิญญาณเกิดขึ้นเพื่อเทพแห่งการทำลายล้างที่ถือกำเนิดใหม่
ตอนนี้เทพแห่งการทำลายล้างองค์ใหม่กำลังถือกำเนิด โพรงหมื่นวิญญาณจึงไม่มีความจำเป็นที่จะดำรงอยู่ต่อไป
เธอรีบเดินตามลู่เซิ่งไปยังส่วนลึกของอุโมงค์
ลู่เซิ่งมุ่งหน้าไปทีละก้าวๆ
ภาพวาดชีวิตนับไม่ถ้วนโผล่วูบวาบขึ้นด้านหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง นี่เป็นชีวิตแปลกหน้าและความทรงจำแปลกหน้าอันเหลือคณานับ
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความทรงจำของเหล่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่เขากำลังจะรองรับความตั้งใจเอาไว้
เขาตัดผ่านอุโมงค์ยาวอย่างรวดเร็ว แล้วเดินเข้าไปในถ้ำซึ่งมีผนังสีรุ้งเรียบลื่นทรงครึ่งวงกลมแห่งหนึ่ง
ลวดลายลี้ลับมากมายเปล่งประกายระยิบระยับอยู่บนผนังถ้ำ
วิญญาณศักดิ์สิทธิ์หลายดวงบินวนอยู่ตรงกลางอย่างบ้าคลั่ง คล้ายกำลังรวมตัวเป็นรูปเป็นร่างด้วยความเร็วสูง
สิ่งที่ทำให้ลู่เซิ่งงุนงงที่สุดก็คือ ในถ้ำมีคนอยู่ด้วย
เป็นชายหนุ่มหล่อเหลาที่สวมเสื้อคลุมสีขาวและสองตาเปล่งแสงสีเลือด ยืนถือกระบี่ยาวที่กะพริบแสงสีแดงเล่มหนึ่งอยู่ใกล้ๆ เหมือนกับกำลังชมดูทุกสิ่งตรงหน้า
“ไม่ใช่! นี่ไม่ใช่ตราเทพ!” พอหนันเก๋อพุ่งเข้ามาก็พบความผิดปกติทันที
เธอมองวัตถุน่ากลัวที่กำลังรวมตัวกันตรงกลางถ้ำด้วยความเร็วสูงอย่างตื่นตะลึง
นั่นมันเหมือนกับกำลังให้กำเนิดตัวตนบางอย่างที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าตราเทพ
พลังลึกลับนับไม่ถ้วนไหลตามเส้นสายนับไม่ถ้วนในความว่างเปล่าเข้าไปในถ้ำ แล้วแยกเป็นเส้นสีขาวมากมายตรงผนังด้านในรอบๆ แล้วทะลักเข้าสู่ก้อนแสงสีรุ้งที่ลอยอยู่ตรงกลาง
วิญญาณศักดิ์สิทธิ์หลายดวงพุ่งเข้าไปด้านในอย่างบ้าคลั่งเพื่อหลอมรวมตัวเอง
“พลังนี้มัน…!?” หนันเก๋อไม่เคยเห็นพลังที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้รวมตัวกันที่จุดเดียวมาก่อน เธอจึงก้าวถอยหลังออกจากปากถ้ำอย่างไม่รู้ตัว
พลังนั้น ต่อให้ทำลายดาวเคราะห์ดวงนี้ก็เกรงว่าจะง่ายเพียงยกมือ
“อ้าว? มีคนมาแล้วนี้” ชายสวมเสื้อคลุมสีขาวเบือนสายตามามองลู่เซิ่ง “อย่างนั้น เขาก็คือความหวังที่เจ้าคิดพึ่งพางั้นหรือ” ดวงตาเขาปรากฏรอยยิ้ม แต่มุมปากกลับแฝงความเย็นชา
ลู่เซิ่งหยีตาจ้องอีกฝ่ายแวบหนึ่ง แต่ไม่นานเขาก็สังเกตเห็นว่า อีกฝ่ายเป็นเงามายาที่ไม่มีพลังใดๆ กลุ่มหนึ่ง
จากนั้นเขาก็เพ่งสายตาไปยังสสารลึกลับที่กำลังรวมตัวกันอย่างบ้าคลั่ง
ความเร็วในการรวมตัวของพลังงานที่แกนกลางกลุ่มนี้ได้ไปถึงขั้นที่ทำให้ร่างหลักของเขาตื่นตกใจแล้ว
ความรู้สึกนั้น เหมือนกับจักรวาลแห่งนี้กำลังรวมพลังที่ใช้งานได้ทั้งหมดมาไว้ตรงนี้โดยไม่สนใจค่าตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น
อย่างค่อยเป็นค่อยไป สิ่งที่รวมตัวกันกลางอากาศก็เริ่มแสดงเค้าโครง
ลู่เซิ่งจดจำกลิ่นอายของมันได้ทันที
‘นี่มัน…หลักฐานแห่งราชันหรือ’ เขาผุดสีหน้างงงัน
พริบตานั้นเขานึกถึงเรื่องราวมากมายที่ได้เจอหลังจากตนจุติมายังจักรวาลแห่งนี้
ทุกอย่างเหมือนกับถูกกำหนดไว้ก่อนแล้ว
นับตั้งแต่มาถึงที่นี่ ทุกอย่างก็ราบรื่นและง่ายดาย คล้ายกลับอยากได้อะไรก็ได้สิ่งนั้น
ครืน…
เวลานี้แสงสีรุ้งในถ้ำค่อยๆ สั่นไหว ในที่สุดหลักฐานแห่งราชันที่รวมตัวกันก็เป็นรูปเป็นร่างโดยสมบูรณ์ มันคือก้อนกลมสีเทาที่เหมือนกับตาไม้
พลังงานที่แผ่ตลบอบอวลไปทั่ว ค่อยๆ ส่งความนึกคิดของการวิงวอนออกมา
คล้ายกับสัมผัสได้ถึงความลังเลสงสัยของลู่เซิ่ง ความนึกคิดที่กำลังวิงวอนนี้จึงรุนแรงขึ้น
หลักฐานแห่งราชันลอยมาถึงตรงหน้าลู่เซิ่งอย่างช้าๆ อยู่ห่างจากเขาเพียงครึ่งเมตร ราวกับต้องการเข้าไปในมือเขาเอง
‘นี่มันหมายความว่ายังไง ขอความช่วยเหลือหรือ’ ลู่เซิ่งสายตาเย็นชาลง
เขาไม่ใช่คนดี และไม่ใช่พ่อพระที่หาเรื่องใส่ตัวส่งเดช
โลกใบนี้ต้องการให้เขาช่วยเหลือ โดยใช้หลักฐานแห่งราชันเป็นของตอบแทน
แต่นี่มันหมายความว่ายังไง
วางปมเงื่อนไว้มากมายจากจุดเริ่มต้น ตั้งแต่สถานะ ถึงพลัง เพื่อทำให้เขาผูกติดกับโลกใบนี้มากกว่าเดิมหรือ
เขาไม่ชอบเรื่องแบบนี้
ความรู้สึกที่ถูกคนคอยกำกับนี้ทำให้เขาไม่พอใจมาก
“พลังของเทพแห่งการทำลายล้างหรือ น่าขำ” ลู่เซิ่งหยีตา เทพแห่งการทำลายล้างสององค์ร่วมมือกันยังได้แต่หนีไปอย่างลนลานเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ในเมื่อตอนนี้เขาแข็งแกร่งที่สุดในโลกแล้ว ยังต้องการพลังของเทพแห่งการทำลายล้างไปทำไมอีก
พอเข้าใจทุกอย่างแล้ว ลู่เซิ่งก็หมุนตัวเดินไปยังทางที่มาอย่างไร้ความเสียดาย
ครืน…
พลังงานสีรุ้งบนเส้นสีขาวนับไม่ถ้วนสั่นไหวอย่างบ้าคลั่ง พร้อมกับส่งความคิดวิงวอนขอร้องออกมา
ลู่เซิ่งไม่สนใจ เดินออกนอกถ้ำต่อ
“หลักฐานแห่งราชันหรือ จุ๊ๆ…พยายามตั้งมากมายขนาดนี้เพื่ออะไรกัน” คนชุดขาวคนนั้นพลันหัวเราะ
“น่าขำจริงๆ…คิดจะฝากความหวังไว้ที่มารสวรรค์ตัวน้อยเพียงตนเดียว…เพื่อขับไล่ดวงตาแห่งความเลวทรามที่ข้าปลูกด้วยตัวเองหรือ…”
เท้าที่เกือบจะก้าวออกจากถ้ำของลู่เซิ่งหยุดลงทันที
เขาหันไปจ้องคนชุดขาว
“เมื่อกี้แกว่าอะไรนะ”
คนชุดขาวงุนงง ก่อนจะเลื่อนสายตามา
“อะไรกันเด็กน้อย คิดจะขัดขืนดูหรือ” เขาหัวเราะเบาๆ ในดวงตาสีเลือดคู่นั้นเหมือนมีแสงดาวนับไม่ถ้วนเปล่งประกาย
อานุภาพจิตน่ากลัวที่ไร้รูปร่างสายหนึ่งปกคลุมถ้ำทั้งถ้ำอย่างเงียบเชียบ
ร่างกายของลู่เซิ่งหนักอึ้ง ตรงหน้าเขาพร่ามัว สองตาของอีกฝ่ายขยายใหญ่ขึ้นด้านหน้าเขาเรื่อยๆ
พริบตาเดียวก็เกือบจะยึดครองคลองจักษุทั้งหมดไป
แรงกดดันยิ่งใหญ่ที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อนส่งมาจากร่างชายชุดขาว
ชั่วขณะนั้นเขาขนลุกขนพอง
ศักยภาพและพลังวิญญาณทั้งหมดของกายเนื้อกายนี้ระเบิดออกมาโดยสัญชาตญาณอย่างฉับพลันเหมือนเผชิญศัตรูธรรมชาติ หมายจะดิ้นให้หลุดจากแรงกดดันนี้
แต่พลังวิญญาณสีเทากลับไม่อาจกระแทกอานุภาพออกไปได้ ได้แต่ไหลเวียนอย่างบ้าคลั่งสับสนอยู่บนผิวของลู่เซิ่งเท่านั้น
“ในฐานะจักรวาลขนาดเล็กที่มีระดับพลังงานไม่สูง จักรวาลผืนนี้มีขนาดแค่ระบบดาวไม่กี่สิบระบบเท่านั้น สามารถสร้างหลักฐานแห่งราชันออกมาได้ชิ้นหนึ่ง ถือว่าอุตสาหะมากแล้ว…” ชายชุดขาวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“น่าเสียดายที่…ความอุตสาหะนี้ไม่มีความหมายสำหรับข้า…” เขาค่อยๆ ยื่นนิ้วเข้าหาลู่เซิ่งเบาๆ
“ตาย”
ลู่เซิ่งร่างแข็งทื่อ เปลวไฟสีเทาอมม่วงนับไม่ถ้วนลุกไหม้ขึ้นบนร่างอย่างฉับพลัน ผิวเริ่มแยกตัวและหลอมละลาย ลวดลายสีแดงเข้มบนทรวงอกรัดกล้ามเนื้อกับโครงกระดูกแน่นกว่าเดิม กลายเป็นยันต์สั่งตายแทน
“อึก...!” ลู่เซิ่งคิดจะพูดบางอย่าง แต่กลับส่งเสียงไม่ได้เพราะแรงกดดันอันยิ่งใหญ่
เขารู้สึกว่าสันหลังของตัวเองเหมือนแบกรับระบบดาวฤกษ์ทั้งหมดไว้
ความรู้สึกที่หนักอึ้งจนแทบหายใจไม่ออกนั้นทำให้หัวใจที่แข็งแกร่งของเขาเต้นอย่างบ้าคลั่ง หมายจะส่งแรงดิ้นรนมากกว่าเดิม
“อย่าได้กลัว! มันไม่มีพลังอะไรทั้งสิ้น มันก็แค่ใช้พลังของตัวเจ้าเอง เอาชนะเจ้าเท่านั้น! ฟื้นสติกลับมา! ฟื้นสติกลับมา!”
จิตที่พร่ามัวส่งเข้ามาในก้นบึ้งจิตใจของลู่เซิ่งอย่างร้อนรน
“อย่าได้กลัว!”
“อย่าได้กลัว!”
“ฟื้นสติกลับมาสิ! อย่าได้กลัว!”
“รีบฟื้นสติกลับมา…!”
“หนวกหูโว้ย!”
ลู่เซิ่งเงยหน้าร้องคำราม เลือดนับไม่ถ้วนบนร่างกระจัดกระจาย ก้อนกลมสีดำสนิทขนาดเท่าเม็ดข้าวเม็ดหนึ่งลอยออกมาจากหว่างคิ้วของเขา ก่อนจะระเบิดหายไปกลางอากาศ
พลังวิญญาณมากกว่าแสนล้านดูราเหมือนกับท้องทะเลไร้ขอบเขต ระเบิดบนร่างเขาอย่างสะเทือนเลื่อนลั่น
พลังวิญญาณพุ่งออกจากถ้ำ พุ่งออกจากโพรงหมื่นวิญญาณ ทะลักสู่บนพื้นดิน ทะลักไปยังผืนดินหลายร้อยกิโลเมตรรอบๆ
พลังวิญญาณสีเทาอันมหาศาลชะล้างสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่ขวางหน้าเหมือนกับกระแสน้ำ
“โห?” ชายชุดขาวแปลกใจเล็กน้อย “หลุดจากการสะกดของข้าได้หรือนี่ แต่มันจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้” เขามองลู่เซิ่งแปลกๆ
“เปลี่ยนอะไรได้งั้นหรือ” ลู่เซิ่งลุกขึ้นจากพื้นอย่างยากลำบาก เลือดบนตัวไหลตามผิวหนังลงด้านล่าง
เพียงแต่ดวงตาของเขาบ้าคลั่งและโหดเหี้ยมเหมือนกับสัตว์ร้ายก่อนตาย
……………………………………….