ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 995 โชคชะตา (1)
บนกระถางธูปสีเขียวสลักลวดลายหงส์มังกร
ลู่เซิ่งคลึงหินกลมสีแดงเข้มก้อนหนึ่งในมือเล่น สายตาจับอยู่ที่สการ์เลตที่นั่งอยู่เบื้องหน้า
“บอกที่อยู่ของหวังจิ้งมาเถอะ”
สการ์เล็ตเคร่งขรึมเล็กน้อย แม้ชายตรงหน้าจะไม่ใช่เทพแห่งการทำลายล้าง แต่ก็เป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกแล้ว ถึงเธอจะเป็นเทพแห่งการทำลายล้าง ไม่อาจถูกฆ่าได้
แต่ก็ไม่มีใครอยากโดนฆ่าโดยไม่มีเหตุผลเช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังไม่รู้ด้วยว่าชายตรงหน้ารับพลังของเทพแห่งการทำลายล้างมาหรือยัง
“ที่ข้ามานี่ ก็เพื่อจะถามเจ้าว่า เจ้ารู้ไหมว่าทำไมจนถึงตอนนี้หวังจิ้งก็ยังไม่ปรากฏตัว” สีหน้าของเธอแสดงความซับซ้อนที่บรรยายไม่ถูก
“บอกมาสิ” ลู่เซิ่งรู้ว่าถ้าเธอไม่มีเรื่องอะไร ไม่มีทางมาหาเขาแน่
สการ์เล็ตนึกย้อนถึงเหตุการณ์สุดท้าย เธอกับแพลทินัมเห็นหวังจิ้งกระโดดลงไป แม้ว่าจะผ่านไปหลายวันแล้ว แต่ภาพนั้นยังคงปรากฏในสมองของเธอซ้ำๆ
“ถ้าโลกมีเพียงลำแสงอย่างนั้นที่สาดส่องข้าได้จริงๆ” หวังจิ้งยืนอยู่ด้านหน้าเหวลึกรูปดวงตาที่ลึกล้ำสุดเปรียบปาน พายุพัดเสื้อผ้าเธอให้ปลิวไสวไปด้านหลังอย่างต่อเนื่อง
“อย่างนั้นข้ายอมใช้กำลังทั้งหมดที่นี่คว้ามันมาไว้ในมือให้ได้!”
“ทำแบบนี้เจ้าจะดับสูญโดยสิ้นเชิงนะ ไม่กลัวหรือไง” เวลานี้แพลทินัมเลิกยิ้มอย่างที่ทำเป็นประจำ จ้องมองเธอด้วยสีหน้าจริงจัง
“ข้าไม่ตายหรอก” หวังจิ้งก้าวออกไปด้านหน้าโดยไม่หันหลังกลับแล้วกระโดดลงไป
“โชคชะตา! ได้แต่อยู่ในมือข้าเท่านั้น”
ชั่วพริบตานั้นที่ก้นของเหวลึกสีเทาก็มีแสงสีแดงเข้มสว่างขึ้น
ฟิ้ว!
แสงสีดำสายหนึ่งพุ่งออกจากเหวลึกพร้อมกับจมลงในหุบเหวในพริบตาเดียว
“ตัวตนอย่างพวกเรามีโชคชะตาให้พูดถึงด้วยหรือไง?!” สการ์เล็ตกัดฟันพุ่งไปยังขอบเหว ชะโงกมองด้านล่าง
แต่เห็นแค่เพียงเสาแสงสีดำห่อหุ้มหวังจิ้งไว้ พลางหดเล็กหายไปยังก้นเหวอย่างรวดเร็วเท่านั้น
“ที่นั่นคืออะไร” ลู่เซิ่งเอ่ยเสียงเย็น “ในหุบเหวแห่งนั้น”
“มันคือดวงตาแห่งความเลวทราม เป็นสถานที่ที่พวกเราเทพแห่งการทำลายล้างฝากแกนกลางในร่างกายเอาไว้ ที่นั่นไม่ใช่มีแค่ความทรมานที่เจ็บปวดที่สุดเท่านั้น ยังมีแรงกดดันกับความทรงจำนับไม่ถ้วนที่พวกเราเคยหลีกหนีด้วย” สการ์เล็ตเอ่ยเสียงแห้งผาก
“เป็นเพราะพวกเราฝากแกนกลางไว้ในดวงตาแห่งความเลวทราม ดังนั้นเวลาอยู่ด้านนอกไม่ว่าจะทำอย่างไรพวกเราก็ไม่มีทางตาย แต่แบล็คมิสต์…เลือกสลัดหนีจากดวงตาแห่งความเลวทราม คิดจะเดินบนเส้นทางของตัวเอง นี่ไม่มีทางสำเร็จหรอก!?”
สการ์เล็ตพูดถึงตอนท้าย อารมณ์กลับพลุ่งพล่านขึ้นเล็กน้อย
“เธอเคยลองไหม” ลู่เซิ่งย้อนถาม
“…” สการ์เล็ตไม่ตอบ
“ฉันเชื่อในตัวหวังจิ้ง เธอจะต้องทำสำเร็จแน่” ลู่เซิ่งลุกขึ้น เขาสวมสูทหนังสีดำ แบะคอเสื้อแหลม เผยให้เห็นกล้ามอกที่กำยำบึกบึน
ถุงเนื้อสีเทาที่เหมือนเนื้องอกถุงหนึ่งงอกอยู่บนหน้าอก เส้นเลือดเล็กๆ กระจายอยู่ตามผิวเนื้องอก มันกำลังเต้นเหมือนกับหัวใจ
“อย่างนั้นที่เธอมาหาฉัน อยากให้ฉันทำอะไร”
สการ์เล็ตนิ่งไป
“ข้าเองก็ไม่รู้…” ความจริงเธอก็ไม่รู้ว่าตัวเองมาแจ้งข่าวลู่เซิ่งทำไม
บางทีเธออาจไม่อยากให้หวังจิ้งไปรับการท้าทายที่โหดเหี้ยมที่สุดแบบนี้คนเดียว
อย่างไรถ้าล้มเหลว นั่นจะไม่น่าสังเวชเกินไปหรือ ยอมละทิ้งชีวิตที่แทบเป็นนิรันดร์ของตัวเองเพื่อให้ได้ผลลัพธ์แบบนั้น
“รู้แล้ว ไปเถอะ” ลู่เซิ่งเปิดประตูสาวเท้าออกไป
ด้านนอกประตูมีชายชราท่าทางสง่าที่ใส่สูทสีขาวและสวมหมวกสีขาวทรงกลมโผล่มาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ
“ท่านต้องการออกเดินทางหรือ” ชายชราถามเสียงแผ่ว
“ช่วยเตรียมการทุกอย่างให้ที ฉันต้องการให้เริ่มได้ทุกเวลา” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างราบเรียบ
“รับบัญชา” ชายชราเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ลู่เซิ่งรับเสื้อคลุมสีดำที่ชายชราส่งมาให้ พร้อมกับสวมแว่นกันแดดปิดบังสองตา
“ขอให้เดินทางปลอดภัยไม่มีอันตราย” ด้านหลังมีเสียงอวยพรของชายชราดังมา
“อันตรายต้องกลัวฉัน” ลู่เซิ่งโบกมือก่อนจะก้าวจากไป
สการ์เล็ตรีบตามออกมา ขณะมองเงาหลังของลู่เซิ่งที่ค่อยๆ ห่างออกไป เธอก็กัดฟันไล่ตามไปติดๆ
นั่นไม่ใช่แค่การดิ้นรนของหวังจิ้งเท่านั้น ยังเป็นโชคชะตาร่วมกันของเธอกับแพลทินัมอีกด้วย
…
ณ แดนรกร้าง
กลิ่นอายพลังวิญญาณสีเทาเหลือคณานับหลั่งไหลอยู่ในหุบเหวรูปดวงตาสีเทาขนาดมหึมาที่ทอดยาวติดต่อกันหลายพันเมตร
พลังวิญญาณที่สั่งสมมาหลายพันหลายหมื่นปีพลิกตัวอยู่ที่ก้นหุบเหวอย่างไร้สิ้นสุด
ลู่เซิ่งยืนอยู่ริมขอบเหวพร้อมชะโงกมองลงไป
แสงสีดำกะพริบช้าๆ อยู่ที่ก้นขอบเหว รอบๆ มีสัตว์ประหลาดสีเทานับไม่ถ้วนพุ่งใส่แสงสีดำซึ่งอยู่ตรงกลางอย่างบ้าคลั่ง
สัตว์ประหลาดพวกนั้นมีรูปร่างพิลึกกึกกือ เหมือนกับเปลี่ยนรูปร่างตลอดเวลา
“เป็นที่นี่ ดวงตาแห่งความเลวทรามอยู่ที่ส่วนลึกของตรงนี้ ความจริงสัตว์ประหลาดสีเทาพวกนั้นต่างเป็นส่วนหนึ่งที่มาจากตัวหวังจิ้ง เป็นส่วนหนึ่งที่นางจงใจปล่อยออกมาเพื่อใช้วัฏจักรหลีกหนี” สการ์เล็ตยืนอยู่ข้างลู่เซิ่ง มองด้านล่างด้วยแววตาซับซ้อน
“ฉันแค่อยากถามว่า ฉันช่วยได้ไหม” ลู่เซิ่งเอ่ยเสียงขรึม
“ไม่ พวกมันเป็นสิ่งที่นางต้องเผชิญเอง คิดจะสลัดให้หลุดจากพันธนาการของดวงตาแห่งความเลวทราม นางจะต้องเผชิญหน้ากับตัวตนที่เคยทอดทิ้งเพียงลำพัง” สการ์เล็ตส่ายหน้า
“เธอบอกมาแค่ได้กับไม่ได้ก็พอ” ลู่เซิ่งคร้านจะกล่าวคำพูดไร้สาระ
“ไม่ได้” สการ์เล็ตตอบอย่างเรียบง่าย “เป็นเพราะ ดวงตาแห่งความเลวทรามไม่มีทางอนุญาตให้นายรบกวน…”
ลู่เซิ่งไม่พูดอะไรสักคำเดียว ถอดแว่นกันแดดออก เผยให้เห็นสองตาที่กำลังเปล่งแสงไฟสีแดงอมทองช้าๆ
เขายกแขนขวาขึ้น
“ด้วยนามของข้า”
ฟ้าว!
สายฟ้าสีทองที่สั่นไหวและเหมือนกับมีเสียงนกร้องนับไม่ถ้วนสายหนึ่งรวมตัวกลางฝ่ามือเขา
“จงมา!” แสงสีรุ้งสายหนึ่งพุ่งจากกลางฝ่ามือเขาขึ้นด้านบน หงส์ชาดสีแดงทองกับมังกรรุ้งซึ่งเรืองแสงสีรุ้งเกี่ยวกระหวัดกันพุ่งสู่ท้องฟ้า แล้วกลายเป็นเสาแสงทะลวงชั้นเมฆ
ชั่วขณะนั้น ท้องฟ้าสีเทามืดสลัวลงด้วยความเร็วสูง
เมฆนับไม่ถ้วนทะลักไหล เหมือนมีวัตถุขนาดใหญ่โตมโหฬารค่อยๆ เข้ามาใกล้จากเบื้องบน
สการ์เล็ตอดอ้าปากค้างไม่ได้ ถูกพลังกระแสอากาศที่บ้าคลั่งกดดันถอยหลังไปหลายก้าว
เธอเงยหน้ามองท้องฟ้าอย่างตกตะลึง
ตอนแรกเธอนึกว่าลู่เซิ่งจะกระโดดลงไปช่วยหวังจิ้งสู้กับทุกสิ่งเอง
แต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในตอนนี้ กลับอยู่เหนือความเข้าใจของเธอไปแล้ว
ท้องฟ้าแดนรกร้างที่เดิมทีเงียบสงบเหมือนกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้
“การดำรงอยู่ของที่นี่อยู่ติดกับแดนรกร้าง กฎเกณฑ์ไม่คงอยู่ จึงไร้การจำกัดใดๆ”
ลู่เซิ่งค่อยๆ ลดมือลง บีบแว่นกันแดดจนแหลกแล้วโยนทิ้ง
“ดังนั้น…ไม่ว่าจะเป็นพลังอะไร” เขาชี้เหวลึกด้านล่าง
“ไปเลยทาสของข้า!”
ครืน!
สายฟ้าผ่าลงมา
ชั้นเมฆหนาถูกทะลวง ชายร่างผอมสูงที่ทั้งตัวห่อหุ้มด้วยแสงทองอร่ามคนหนึ่ง ลงมาจากฟ้าเป็นคนแรก ก่อนพุ่งใส่หุบเหว
เขากระพือปีกยักษ์โปร่งใสแวววาวหกคู่ที่อยู่ด้านหลัง ใส่เกราะศึกสีเงิน ถืออาวุธที่คมกริบในมือ
ถัดจากนั้นก็ตามมาด้วยร่างที่สอง ร่างที่สาม ร่างที่สี่…
สิบสองเทวทูตเทพมารพุ่งสู่หุบเหว ด้วยร่างที่ลุกไหม้เหมือนอุกกาบาต
ท้องฟ้าเหมือนกับมีฝนเพลิงร่วงลงมา
“เจ้า…เป็นใครกันแน่!?” สการ์เล็ตสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่แข็งแกร่งถึงขีดสุดนับไม่ถ้วนซึ่งพุ่งลงมาจากท้องฟ้า
กลิ่นอายเทวทูตพวกนี้แทบจะเทียบเท่ากับเธอ
และตอนนี้ แค่ในคลองจักษุก็มีเทวทูตหลายร้อยองค์ลงมาเยือนแล้ว
สีหน้าของเธอฉายแววกระสับกระส่ายและหวาดกลัว
พลังระดับนี้อยู่เหนือความคาดหมายของเธอไปแล้ว
ลู่เซิ่งกางแขนออก สองข้างซ้ายขวาของเขา ปรากฏร่างสองร่างขึ้น
ทางซ้ายคือนักรบสูงใหญ่กึ่งมนุษย์กึ่งปีศาจ สวมเกราะรบวิจิตรงดงาม
ทางขวาคือผู้หญิงสวมชุดคลุมสีเงินที่ถือคทาไม้สีขาว รอบๆ ตัวปรากฏไข่มุกเวทมนตร์สีรุ้ง
“ไปเถอะ จงทำลายทุกอย่างที่เห็น…” ลู่เซิ่งสั่ง
“รับบัญชา ท่านราชาแห่งแสงรุ้งและราชาเทพมารผู้ยิ่งใหญ่!”
ทั้งสองค้อมตัวเล็กน้อยพร้อมส่งเสียงที่เหมือนคนมากมายกำลังขับร้องบทเพลง
แค่สการ์เล็ตได้ยินเสียงของพวกเขา ความรู้สึกศรัทธาที่ไม่อาจกดข่มก็ทะลักออกมาจากใจ
ลู่เซิ่งพยักหน้าน้อยๆ แล้วก้าวออกไปด้านหน้า
เปรี้ยง!
พื้นที่เขาเหยียบผ่าน ลุกไหม้เป็นเปลวไฟสีแดงอมเทาอันร้อนระอุ
เปลวเพลิงกระจายออกไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว ทำให้ทุกอย่างที่ลุกไหม้ได้ติดไฟ
พริบตาเดียวผืนดินรอบๆ ก็กลายเป็นทะเลเพลิง
มีแต่ตำแหน่งที่สการ์เล็ตยืนอยู่เท่านั้นที่ยังรักษาดินแดนบริสุทธิ์เอาไว้
เธออดทนต่อความร้อนอันแผดเผา พยายามมองไปทางลู่เซิ่ง ทว่าสิ่งที่เห็นกลับเป็นแผ่นหลังที่ก้าวเดินไปสู่หุบเหวทีละก้าวๆ
ความว่างเปล่าในหุบเหวเหมือนกลายเป็นพื้นข้างใต้ฝ่าเท้าเขา ไฟสีทองอมแดงนับไม่ถ้วนจับตัวเป็นขั้นบันได เหยียดยื่นลงไปด้านล่างโดยอัตโนมัติ
ตูม!
บนพื้นดินที่อยู่ไกลออกไปสั่นไหว ต้นไม้ยักษ์สีเขียวเข้มที่มีกิ่งใบนับไม่ถ้วนต้นหนึ่งแผดเสียงด้วยร่างที่สั่นสะเทือน
ก้อนเนื้อขนาดมหึมาที่ใหญ่หลายพันกิโลเมตรกลางท้องฟ้าขยับตัวช้าๆ มือคนขาวซีดนับไม่ถ้วนยื่นออกมาจากด้านใน โปรยละอองสีเทามากมายออกมา
ละอองโปรยลงมาถึงพื้นดิน ก็หยั่งรากแตกหน่อเหมือนกับเมล็ดพันธุ์ หนวดหยาบใหญ่ที่เต็มไปด้วยจานดูดและฟันเลื่อยงอกออกมาหลายเส้น
หนวดสีดำนับไม่ถ้วนกระจายไปทั่วต้นไม้ยักษ์ทันที
ก้อนเนื้อขนาดใหญ่โตก้อนนั้นส่งเสียงละเมอเพ้อคลั่งที่ฟังไม่เข้าใจออกมา คำศัพท์ด้านลบที่นึกออกมากมายเช่นความชั่วร้าย ลี้ลับ น่ากลัว และบ้าคลั่งดังขั้นในทันทีที่เห็นก้อนเนื้อก้อนนั้น
เปรี้ยง!
ยักษ์ไร้หน้าที่ใบหน้ามีหนวดงอกเต็มไปหมดตนหนึ่งรวมตัวขึ้นจากหนวดนับไม่ถ้วนบนพื้น ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้น แล้วก้าวฝ่าเท้าขนาดยักษ์พุ่งใส่ต้นไม้ยักษ์
สการ์เลตไม่อาจทำใจเชื่อได้ว่าที่นี่คือแดนรกร้างในอดีต
พรมเนื้ออันแปลกประหลาดกับเปลวเพลิงสีแดงทอง ยึดครองจุดที่มองเห็นทั้งหมดเอาไว้
อาณาเขตทั้งหมดแทบจะกลายเป็นนรก
“นี่มันคือ…อะไรกันแน่…!?” เธอทรุดนั่งลงกับพื้น เหงื่อแตกเต็มตัว
ซู่…
ทันใดนั้นบนท้องฟ้าไกลออกไปก็ปรากฏรูก้นหอยขนาดมหึมาที่ไม่อาจบรรยายได้ขึ้นรูหนึ่ง
ชั้นเมฆมากมายกระจายอยู่ด้านหน้ารู รูนั้นค่อยๆ เปิดออกเหมือนเกสรดอกไม้ เผยให้เห็นช่องที่ดำสนิทและลึกลับด้านใน
ครืน…
แสงสีขาวสว่างไสวที่เจิดจ้าค่อยๆ สว่างขึ้นในรู
พลังงานทำลายล้างเหลือคณนารวมตัวอยู่ด้านใน
……………………………………….