ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 996 โชคชะตา (2)
ลู่เซิ่งเดินไปด้านล่างทีละก้าวๆ
ทุกครั้งที่เขาก้าวเท้า ร่างจะข้ามระยะห่างหลายร้อยเมตรในพริบตา
เทวทูตและสิ่งมีชีวิตจากเทพนอกรีตที่แปลงจากหนวดจำนวนมากมายกำลังเข่นฆ่าสัตว์ประหลาดสีเทาอยู่ในหุบเหว
พลังวิญญาณสีเทามากมายจับตัวเป็นรูปร่างที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกมัน ถูกเทวทูตกับสิ่งมีชีวิตจากเทพนอกรีตฉีกทึ้งและกลืนกินอย่างต่อเนื่อง
ผลิตผลจากพลังวิญญาณที่บริสุทธิ์ที่สุดพวกนี้ เคยเป็นวิญญาณอารมณ์ด้านลบที่หวังจิ้งเคยละทิ้ง
หุบเหวมีสภาพเลวร้าย นี่แทบจะเป็นการสังหารเอาฝ่ายเดียว
เทวทูตกับสิ่งมีชีวิตจากเทพนอกรีตทุกตนที่ฆ่าจบแล้ว ต่างก็คุกเข่าลงข้างหนึ่งทำความเคารพลู่เซิ่งอย่างควบคุมไม่ได้ในตอนที่เขาเดินผ่าน
ลู่เซิ่งมุ่งหน้าลงด้านล่างเรื่อยๆ พริบตาเดียวก็ไปถึงก้นเหว
เหล่าปีศาจสีเทานับไม่ถ้วนห้อมล้อมสัตว์ประหลาดยักษ์ตรงกลางเอาไว้ คอยป้องกันการบุกโจมตีของพวกเทวทูตรอบนอก
สัตว์ประหลาดตรงนี้ มีพลังแข็งแกร่งกว่าสัตว์ประหลาดสีเทาด้านบนอย่างเห็นได้ชัด คล้ายกับในนี้มีพลังแห่งความรกร้างปะปนอยู่ไม่น้อย
ลู่เซิ่งจ้องมองบริเวณตรงกลางที่สัตว์ประหลาดนับไม่ถ้วนโอบล้อมไว้
ตรงนั้นมีมังกรที่เขาคุ้นตาอยู่ตัวหนึ่ง
มังกรตัวนั้นหมอบอยู่กับพื้น บาดแผลกระจายทั่วร่าง ลวดลายเสือมากมายพาดบนตัว หัวมังกรสองหัวกะพริบตาช้าๆ ปรากฏไอความตายอยู่จางๆ
“ตงตง…” เสียงที่อ่อนแรงดังเข้าหูลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งหยีตา จำเจ้าของเสียงได้
เขาชะงักฝีเท้า มองดูมังกรประหลาดสองหัวที่ถูกสัตว์ประหลาดสีเทาห้อมล้อมไว้
“พี่จิ้งหรือ” เขาถามเบาๆ
“เธอ…ไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ ด้วยสินะ…” หวังจิ้งเหมือนอยู่ในสภาพเหนื่อยล้าอิดโรย
ในดวงตาของเธอมีไอความตาย แต่จิตที่แข็งกล้ากำลังรวมตัว
“สภาพของพี่…อัปลักษณ์มากเลยใช่ไหม” เธอกล่าวอย่างระมัดระวังและจนใจ
“เธอไม่เคยเห็นใครมีสองหัวหรอกใช่ไหม” เธอส่ายศีรษะสองข้างของตัวเอง พลางกล่าวอย่างเศร้าสร้อย “พี่เคยใส่อารมณ์ด้านลบทั้งหมดเข้าไปในหัวมังกรอีกข้าง ตอนนี้…เธอมาหาพี่แล้ว…”
ลู่เซิ่งนิ่งไปเล็กน้อย
ซู่ม!
เลือดเนื้อนับไม่ถ้วนทะลักออกมาจากข้างใต้ตัวเขา หมอกดำกลุ่มหนึ่งระเบิดบนผิวเขาอย่างฉับพลัน ห่อหุ้มเขาไว้ข้างใน
หมอกดำกระจายตัวอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นสัตว์ประหลาดหางยาวร่างสูงชะลูดและห่มเกราะสีดำตัวหนึ่ง
“ไม่ต้องห่วง ผมมีหัวเยอะกว่าพี่หัวหนึ่ง เวลาคุยสะดวกมาก ไม่ต้องคอยหันหน้าไปมา” ใบหน้าสามข้างของลู่เซิ่งมองมังกรสองหัวพร้อมกันพร้อมกับเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
มังกรสองหัวตกตะลึง เหมือนนึกไม่ถึงว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงแบบนี้ด้วย
“เธอ…เธอ…”
“ผมอะไร ผมก็น้องชายพี่หวังตงไง เป็นอะไรไป จำผมไม่ได้แล้วเหรอ” ลู่เซิ่งส่ายหางที่เต็มไปด้วยหนามแหลม พร้อมกับค่อยๆ เดินเข้าหาอีกฝ่าย
“ก่อนหน้านี้บอกว่าจะอยู่กับผมตลอดไปไม่ใช่เหรอ ทำไมพอกลายเป็นแบบนี้พี่กลับไม่ชอบผมแล้วล่ะ” ลู่เซิ่งค่อยๆ เข้าใกล้
“พี่ไม่ต้องห่วง ความจริงผมยังงอกหัวเพิ่มได้อีก เพียงแต่ไม่จำเป็นเท่านั้น หัวสามหัวแบบนี้แสดงพลังได้ดีที่สุด” ลู่เซิ่งอธิบาย
หวังจิ้งมองเขาอย่างนิ่งอึ้งขณะอ้าปากค้าง
พรมเนื้อสีแดงเข้มกระจายจากข้างใต้ตัวเขาไปยังบริเวณรอบๆ
“ขอโทษที ถ้าพี่ไม่ชอบร่างนี้ ผมเปลี่ยนได้อีกนะ” ลู่เซิ่งระเบิดหมอกดำบนร่างอีกรอบ
หมอกดำกระจายตัว เผยให้เห็นสัตว์ยักษ์สีดำน่ากลัวที่เหมือนกับเซนทอร์
ปากของสัตว์ยักษ์เต็มไปด้วยฟันเลื่อยหลายชั้น ฟันหลายชนิดที่คมกริบอย่างสูงกระจายในปากเป็นแถวๆ
อัคคีอนธการสีดำที่เข้มข้นลุกไหม้บนขาสี่ข้างและแขนทั้งสองข้างของลู่เซิ่ง
“ดูสิ ร่างนี้สุดยอดที่สุด กินจุที่สุด พละกำลังแข็งแกร่งสุด แต่ไม่สมบูรณ์แบบและสมดุลเท่ากับร่างเมื่อกี้ ถ้าพี่ชอบหัวเยอะกว่านี้ ผมเปลี่ยนเป็นร่างอื่นได้อีก ผมมีอีกร่างที่นานๆ ใช้ที แต่หัวเยอะสุด อยางน้อยหลายพันหัว พี่อยากเห็นไหม”
ลู่เซิ่งไม่รู้ว่าจะปลอบหญิงสาวอย่างไร แต่สำหรับเขา ขอแค่จ่ายยาให้ถูกตามอาการจะต้องไม่มีปัญหาแน่
หวังจิ้งหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้
แม้จะเข้าใจความคิดของน้องชาย แต่พอเห็นสัตว์ยักษ์ที่มีปากใหญ่เหมือนตนเองนั่งน้ำลายไหลอยู่ข้างๆ ความรู้สึกนั้นกลับย่ำแย่ยิ่งนัก
โดยเฉพาะฟันของสัตว์ยักษ์ตัวนี้ยังมีมากมายอีกต่างหาก
ลู่เซิ่งที่เป็นคนเอาใจใส่ รู้ว่าเธอคิดอย่างไร จึงกลับคืนร่างมนุษย์อย่างรวดเร็ว
“ไม่ต้องห่วง อีกไม่นานผมจะพาพี่ออกไป” เขาก้าวเท้ายาวๆ ไปหามังกรสองหัวที่อยู่กลางฝูงสัตว์ประหลาดสีเทา
“ไม่ต้องหรอก” หวังจิ้งส่ายหน้าน้อยๆ
“พวกที่อยู่รอบนอกก่อนหน้านี้ยังกำจัดได้ แต่ความจริงสัตว์วิญญาณทุกตัวที่อยู่ตรงนี้เป็นส่วนหนึ่งของพี่ การทดสอบนี้เป็นการทดสอบของพี่คนเดียว เป็นชะตาของพี่เอง ดวงตาแห่งความเลวทรามเป็นแค่พลังที่ควบคุมตัวพี่ไว้เท่านั้น”
“ถึงพลังหมดก็ฝึกฝนกลับมาใหม่ได้ ไม่เป็นไรหรอก” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างไม่สนใจ
“ไม่…นี่เป็นการทดสอบของพี่ ชะตาไม่เคยดูแลใครคนใดคนหนึ่ง ความจริงทุกๆ การดูแลคือการทดสอบ” หวังจิ้งสีหน้าผ่อนคลายลงมาก หลังจากลู่เซิ่งปลอบ เธอก็เหมือนจะมีกำลังใจมากขึ้นแล้ว
“ถึงอย่างไร พี่ก็เป็นราชาที่รองรับคนนับไม่ถ้วน…” ในน้ำเสียงราบเรียบของหวังจิ้งแสดงความทระนงตนจางๆ
ลู่เซิ่งเข้าใจความหมายของเธอแล้ว นี่เป็นเส้นทางของเธอและอนาคตของเธอ
ถ้าเขาชอบเธอจริงๆ ก็ห้ามเข้าไปยุ่ง นี่เป็นความภาคภูมิของเธอที่เป็นราชา
ราชาที่กล้านำพาคนของตนเข้าต่อสู้กับโลกทั้งใบ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางไร้ความกล้า
“ผมเข้าใจแล้ว…” ลู่เซิ่งพยักหน้า “ถ้านี่เป็นความต้องการของพี่”
เขาวาดแขนขวาเบาๆ ตราหกเหลี่ยมสีดำชิ้นหนึ่งจับตัวออกมากลางอากาศ
พลังสามชนิดที่เป็นสัญลักษณ์ของเขายึดครองพื้นที่บนตราไว้
พลังมารสวรรค์ของร่างหลัก พลังเทพนอกรีต รวมถึงอัคคีหงส์ชาด
พลังสามชนิดนี้เป็นพลังที่เขาใช้มากที่สุดในบรรดาพลังทั้งหมด พลังสามชนิดผสมกัน เกิดเป็นวังวนสามสีแปลกประหลาดกลุ่มหนึ่งกลางตราประทับ
ตราประทับลอยไปถึงด้านหน้ามังกรสองหัวเองก่อนจะถูกเธอกลืนเบาๆ
“นี่เป็นส่วนหนึ่งของพี่” หวังจิ้งก้มหน้าลงน้อยๆ เขามังกรที่ชโลมเลือดมังกรท่อนเล็กๆ หักลงเองแล้วลอยไปหาลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งยื่นมือไปรับไว้
“มันคือส่วนที่มีสัมผัสไวที่สุดบนตัวพี่ ไม่ว่าจะไกลแค่ไหน ขอแค่มันเปล่งแสง จะเป็นเวลาที่พวกเราอยู่ใกล้กัน” แม้หวังจิ้งจะอ่อนแอ แต่สภาพดีขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
“ดูเหมือน ตอนแรกฉันยังลังเลกับตัวเลือกนั้นอยู่บ้าง…แต่ตอนนี้ไม่ต้องลังเลอีกแล้ว…” เธอเอ่ยอย่างเรียบเฉย
“ตัวเลือกอะไร” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างสงสัย
“ฉันรู้สถานะจริงๆ ของเธอแล้ว…” ดวงตามังกรสองหัวแสดงรอยยิ้มจางๆ
“งั้นเหรอ” ลู่เซิ่งไม่ตกใจ ต่อให้รู้ แต่จะรู้ได้สักเท่าไหร่
“มารสวรรค์อนัตตา สุดยอดผู้ยิ่งใหญ่ที่มาจากโลกมารสวรรค์ สัตว์ประหลาดอมตะระดับอธนการ ถึงการที่ข้าพูดแบบนี้จะเสียมารยาทไปบ้าง แต่คิดว่าท่านคงไม่โกรธข้าใช่ไหม” ดวงตาของหวังจิ้งฉายรอยยิ้มจางๆ
เธอในตอนนี้ต่างไปจากปกติ มีชีวิตชีวากว่าเดิม และไม่เหลืออาการติดอ่างอีก
“พี่รู้ดีทีเดียวนี่นา” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างแปลกใจ
“เอาล่ะ กลับไปเถอะ…สิ่งที่เหลืออยู่ที่นี่พี่จะจัดการเอง” ไอความตายในดวงตาหวังจิ้งค่อยๆ จางลงไป
“พี่แน่ใจเหรอ” ลู่เซิ่งถามอย่างไม่แน่ใจ
“อืม” หวังจิ้งพยักหน้า “ระหว่างพวกเราไม่ต้องตัวติดกันตลอดก็ได้ เมื่อไหร่ที่เขามังกรกะพริบแสง เมื่อนั้นพวกเราจะได้เจอกันอีก ขอแค่เธอ ไม่ลืมพี่ก็พอ…”
ลู่เซิ่งยังคิดจะพูดอะไรอีก จู่ๆ ร่างของหวังจิ้งก็เริ่มโปร่งใส
เธอถึงกับจางหายด้วยความเร็วสูง หายไปต่อหน้าต่อตาเขา
เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า มีพลังที่คล้ายพลังแห่งความรกร้างสายหนึ่งพุ่งลงมาถึงตัวหวังจิ้งอย่างเงียบเชียบ
แต่ก็แตกต่างจากพลังความว่างเปล่าที่บริสุทธิ์
“เส้นทางแห่งการจุติไม่ได้มีแค่มารสวรรค์เท่านั้นที่ใช้…ตุ๊กตาน้อย” เสียงชราที่แปลกประหลาดเสียงหนึ่งมุดเข้าหูลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งไม่ตอบรับแต่ไม่ปฏิเสธ
ต่อให้อยู่ท่ามกลางผู้จุติ ไม่ช้าก็เร็วเขาก็จะเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุด
เขาพอจะเดาออกว่าเจ้าของเสียงนั่นเป็นใคร น่าจะเป็นตัวตนแข็งแกร่งที่รู้จักกับหวังจิ้งมานานแล้ว
คนคนนั้นน่าจะมอบตัวเลือกบางอย่างให้หวังจิ้ง แต่เธอลังเลในการทิ้งทุกอย่างที่มี จนกระทั่งเขาจุติลงมา จึงทำให้เธอตัดสินใจได้
มังกรสองหัวกับสัตว์ประหลาดสีเทานับไม่ถ้วนค่อยๆ จางหายไป
เทวทูตกับสัตว์ปนเปื้อนพลังเทพนอกรีตกลุ่มใหญ่ค่อยๆ ห้อมล้อมรอบตัวลู่เซิ่ง พวกเขาก้มกราบมายังตำแหน่งที่ลู่เซิ่งอยู่
“ทำลายที่นี่ทิ้งซะ” ลู่เซิ่งออกคำสั่งแล้วหมุนตัวพุ่งขึ้นฟ้า
ชั่วขณะนั้นเทวทูตกับสัตว์ปนเปื้อนพลังเทพนอกรีตกรูกันเข้าไปกินสิ่งที่กินได้ทั้งหมด
ลู่เซิ่งพุ่งไปอยู่บนความสูงหลายพันเมตรในทันที
ก้มลงมองผืนดิน ผืนดินเต็มไปด้วยแสงไฟ ควันดำ และพรมเนื้อสีดำอมม่วง
เทวทูตกับสิ่งมีชีวิตเทพนอกรีตนับไม่ถ้วนกำลังกินสสารและสิ่งของทั้งหมดที่เปลี่ยนแปลงได้บนผืนดินผืนนี้
สสารทั่วไปจำนวนมากที่เดิมทีได้แต่ถูกกินอย่างไร้กำลัง กลายเป็นสสารแข็งแกร่งที่ต่อต้านพลังแห่งความรกร้างได้ภายใต้การกัดกร่อนจากพลังของพวกมัน
เหล่าเทวทูตดึงพลังออกจากความว่างเปล่าแล้วกระจายไปทั่วผืนดิน
ส่วนเหล่าสิ่งมีชีวิตเทพนอกรีตเปลี่ยนแปลงและกลืนกินทุกสสาร
“ควรไปได้แล้ว” ลู่เซิ่งมองลำกล้องปืนขนาดยักษ์ที่กำลังรวมพลังงานด้วยความเร็วสูงอยู่กลางอากาศ นั่นเป็นลำกล้องปืนหลักบนเรือเทพของเขา ยิงแค่นัดเดียว ที่นี่จะราบพณาสูรทันที
แดนรกร้างผืนนี้เหมือนใหญ่โต แต่ความจริงมีขนาดเท่าดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง
มันดำรงอยู่โดยพึ่งพิงดาวเคราะห์ในโลกแห่งความจริง
ดังนั้นพื้นที่จึงไม่ใหญ่กว่าดาวเคราะห์ในความเป็นจริง
ลู่เซิ่งใช้มือฉีกอากาศให้แยกออกอย่างฉับพลัน จากนั้นเขาก็ก้าวไปด้านหน้า
ด้านหลังมีเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นลอยมา
แสงสีขาวอันน่ากลัวจากการยิงปืนกลบกลืนทุกสิ่ง
‘เราลืมอะไรไปหรือเปล่านะ’ ทันใดนั้นเขาก็ชะงักฝีเท้า ใคร่ครวญอย่างละเอียด
‘ส่งหวังจิ้งไปแล้ว ทำลายแดนรกร้างแล้ว ยังมีอะไรที่ไม่ได้ทำอีก ดวงตาแห่งความเลวทราม…จริงสิ ยังไม่เจอที่อยู่ของดวงตาแห่งความเลวทรามเลย…ดวงตาแห่งความเลวทรามเกี่ยวอะไรกับที่อยู่ของครอบครัวกันแน่นะ’
เขาเกิดความสงสัยในใจ
‘ดูเหมือนต้องกลับไปตรวจสอบหน่อย ถ้าเดาไม่ผิด หุบเหวเมื่อกี้คือดวงตาแห่งความเลวทรามที่ว่า ตอนนี้ถูกยิงทำลายไปแล้ว กลับไปควรจะมีเบาะแสใหม่โผล่มา’
เขาคิดแบบนี้พลางโฉบลงไปด้านล่าง ทิศทางคือสำนักเคลื่อนภูผา
…
ณ ขอบหุบเหวลึก
สการ์เล็ตยืนอยู่กับที่อย่างตกตะลึง มองแสงสีขาวมหึมาที่พุ่งลงมาจากฟ้าด้วยความสับสนงุนงง…
……………………………………….