ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 10 ถามถึงแผนการ
เมื่อได้ยินว่าเสิ่นจั้งหนิงไปแล้ว เว่ยฉางอิ๋งจึงเปิดประตูห้อง ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี กล่าวว่า “ที่แท้จั้งหนิงมีความคิดเช่นนี้?”
“นางถูกท่านพ่อตามใจจนเสียคนแล้ว วันๆ กลัวแต่จะไม่ทำให้เกิดเรื่องวุ่นวาย จึงได้คิดเรื่องส่งเดชเช่นนี้” เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มแล้วยิ้มอีก กล่าวว่า “ไม่ได้บาดมือใช่หรือไม่?”
เว่ยฉางอิ๋งพลันหน้าแดงขึ้นมา กล่าวว่า “ไม่ได้บาดมือ”
เสิ่นจั้งเฟิงดึงมือนางมาลูบอย่างโล่งใจ พยักหน้าพลางว่า “อื่ม ไม่ได้บาดมือ”
“…” เว่ยฉางอิ๋งเห็นว่ายังไม่มีบ่าวเข้ามา จึงได้โน้มตัวลงไปถามที่ข้างหูเขาว่า “ไยเจ้าไม่ลองถามจั้งหนิงเรื่องของพี่สะใภ้รอง?”
“ให้เจ้าจูบสามี เจ้ากลับไม่ยอมฟัง สามีปวดใจนัก จึงลืมถามไป” เสิ่นจั้งเฟิงดึงมือมาจูบเบาๆ ที่ริมฝีปากหนหนึ่ง กล่าวไปอย่างคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
เว่ยฉางอิ๋งจึงได้ออกแรงหยิกที่แก้มเขาหนหนึ่ง พลางกล่าวอย่างคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มเช่นกันว่า “ใช่หรือ? เช่นนั้นเจ้าก็อย่าได้ลืมว่า ข้านั้นเป็นผู้ที่ ‘ชักกระบี่ออกก็เป็นที่ตื่นตะลึงไปทั่วฟ้าดิน! ไล่ล่าสังหารจนพวกโจรนับร้อยต้องหนีเตลิด! ยิ่งไปกว่านั้นยังสังหารหัวหน้าคนร้ายอีกด้วย!’ เจ้ายังไม่กล้าบอกสาเหตุกับข้า วันหน้าหากข้าเกิดมีเรื่องกับพี่สะใภ้รองขึ้นมา ดูซิว่าเจ้าจะบอกกับพี่ชายรองอย่างไร?”
เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มพลางว่า “เจ้านึกว่านี่เกินจริงแล้วรึ? ตามถนนหนทางยังมีคนพูดเกินจริงเสียยิ่งกว่านี้อีก”
เมื่อหยอกล้อไปประโยคหนึ่ง เขาก็ไต่ตรองดูสักพัก จึงกล่าวเสียงเบาๆ ว่า “เรื่องนี้เจ้ากลับไปสอบถามเอากับท่านอาว่านเถิด เรื่องในเรือนหลังนั้นข้าเองก็ไม่ใคร่กระจ่างนัก บางทีท่านอาว่านอาจจะได้ยินสิ่งใดมาบ้าง”
“ได้” เว่ยฉางอิ๋งอยากจะถามบางสิ่ง แต่มองเขาแล้ว นางก็กลับกลืนกลับไป จึงเพียงกล่าวว่า “เจ้าไม่มีความเห็นเลี้ยงปลาหลีฮื้อหรือปลาทอง เช่นนั้นยามนี้เจ้าอาจจะมีแผนการในการจัดเรือนหลังนี้?”
เสิ่นจั้งเฟิงกล่าวว่า “ข้ามีที่ปรึกษาและสหายสนิทอยู่สองสามคน ยามนี้พักอยู่ที่เรือนด้านหน้า ซึ่งทุกคนล้วนมีที่พำนักของตนในเมืองหลวง วันหน้าหากมีเรื่องต้องหารือกับพวกเขา ก็จะต้องใช้ห้องโถงใหญ่หรือห้องหนังสือที่อยู่ในเรือนชั้นที่หนึ่งข้างหน้านั่นอย่างขาดเสียไม่ได้ ห้องทางด้านหน้าที่ยังว่างอยู่ ก็สามารถจัดสักห้องสองห้องไว้เป็นห้องพักแขก หากว่าหารือกันดึกดื่นเกินไป จนล่วงเลยเวลาออกนอกบ้านเรือนก็จะได้เอาไว้ให้ผู้ที่ไม่ได้อยู่ที่เรือนด้านหน้าพักค้างคืน” แล้วบอกอีกว่า “และเลือกคนเอาไว้คอยดูแลด้วย”
เว่ยฉางอิ๋งจำเอาไว้ คิดสักพักจึงว่า “จะใช้สาวใช้หรือเด็กรับใช้ผู้ชาย? เด็กรับใช้ชายไม่อาจอยู่ในเรือนหลังได้ เกรงว่ายามจะรับใช้ขึ้นมาก็จะไม่ใคร่สะดวก แต่ข้าก็เห็นว่าสาวใช้ของเจ้าที่นี่มีไม่มากเอาเสียเลย เพราะสาเหตุใดหรือ?”
“ข้าไม่ต้องมีคนมาปรนนิบัติใกล้ชิดมากมาย ก่อนนี้มีสาวใช้สองสามคนที่พอจะมีหน้าตาสะสวย ก็ถูกคนหมายปองจึงได้ส่งออกไปหมดแล้ว” เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มจางๆ แล้วว่า “เจ้าเลือกสาวใช้ที่มือไม้คล่องแคล่ว และซื่อตรงก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้งดงามนัก จักได้ไม่ต้องคอยเปลี่ยนอยู่บ่อยครั้ง”
เว่ยฉางอิ๋งถามไปอีกว่า “แล้วเรือนชั้นนี้ที่เราอยู่เล่า?”
“ข้ามิได้มีเรื่องใดต้องใช้ เจ้าจัดการเถิด” เสิ่นจั้งเฟิงส่ายหัว
เว่ยฉางอิ๋งขบคิดสักพัก รู้สึกว่ามิได้มีเรื่องใดต้องสอบถามเขาแล้ว จึงเรียกพวกของนางหวงเข้ามาปรนนิบัติ
พวกบ่าวเพิ่งจะเข้ามา นางว่านที่ไปส่งเสิ่นซูเยียนก็กลับมาแล้ว ในแขนยังคล้องตะกร้าใบหนึ่งมาด้วย “วันนี้ฮูหยินน้อยรองให้คนออกไปซื้อผลอิงเถา[1]มา และให้ข้าน้อยนำมาให้คุณชายและฮูหยินน้อยลองชิมดูจำนวนหนึ่งเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งยิ่งรู้สึกว่าพี่สะใภ้รองผู้นี้แปลกประหลาดยิ่งนัก หากจะบอกว่านางประสงค์ดี แต่ตนเพิ่งจะเข้าบ้านมาก็ถูกนางยุแยงให้แตกคอกับเสิ่นจั้งหนิงเสียแล้ว แต่หากจะบอกนางประสงค์ร้าย ยามนี้กลับให้นางว่านนำผลอิงเถากลับมาให้ ไม่รู้จริงๆ ว่านางตวนมู่ผู้นี้คิดการอย่างไรกันแน่?
เมื่อเห็นเสิ่นจั้งเฟิงไม่พูด นางว่านจึงยังรอคำสั่งของตนอยู่ เว่ยฉางอิ๋งตั้งสติ กล่าวว่า “เช่นนั้นก็ต้องขอบคุณพี่สะใภ้รองเป็นอย่างยิ่ง…ต้องรบกวนท่านอาไปอีกรอบ นำของกำนัลขอบคุณของข้าไปส่งให้ที”
นางว่านยิ้มแล้วว่า “ฮูหยินน้อยรองบอกว่า ยามนี้เรือนของเราจักต้องมีเรื่องยุ่งอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นผลอิงเถาตะกร้าหนึ่งก็นับไม่ได้ว่าเป็นสิ่งใด บอกให้ฮูหยินน้อยมิต้องเอามาใส่ใจ คราหน้าฮูหยินน้อยสั่งคนออกไปซื้ออาหาร ก็ให้นำมามาเผื่อบ้านสองสักชุดเป็นพอแล้วเจ้าค่ะ”
ในเมื่อนางตวนมู่ก็พูดเช่นนี้แล้ว เว่ยฉางอิ๋งเองก็คร้านจะไปเปิดหีบเลือกของกำนัลขอบคุณ จึงให้นางหวงรับผลอิงเถามาล้างและแบ่งให้ทุกคนคนละส่วน
ผลอิงเถายังไม่ทันยกเข้ามา เสิ่นจั้งเฟิงมองดูเวลาจึงเสนอความคิดว่า “เรือนหลังนี้พวกเราเองก็ยังดูไม่หมด มิสู้ใช้โอกาสนี้ไปเดินดูสักรอบ กลับมาก็เป็นเวลาอาหารเย็นพอดี”
“ตกลง” ความคิดนี้พอดีกับที่เว่ยฉางอิ๋งคิดเอาไว้ สองคนให้นางเฮ่อพาพวกสาวใช้คอยเฝ้าอยู่ในห้อง แล้วให้นางว่านและสาวใช้ตัวน้อยสองนางติดตามไป เริ่มเดินดูจากชั้นที่พวกเขาอยู่นี่ก่อน
ภายในห้องและโถงกลางก็ไม่ต้องดูแล้ว ห้องหนังสือเล็กที่นางว่านเอ่ยถึงก่อนหน้านี้อยู่ทางทิศตะวันออก ด้านหลังอาคารปลูกต้นไผ่สูงใหญ่ ส่วนทางด้านหน้าเป็นระเบียงทางเดิน นอกระเบียงทางเดินปลูกต้นกลัวน้ำว้าเอาไว้สองสามต้น เมื่ออยู่กับราวระเบียงที่ทาสีแดง ที่แดงก็แดงนัก ที่เขียวก็สดนัก สีตัดกันเด่นชัดงดงามยิ่ง
แม้จะบอกว่าเป็นห้องหนังสือเล็ก แต่พื้นที่ภายในก็ไม่นับว่าเล็กเกินไป ทว่าหนังสือก็มีไม่มากจริงดังว่า มีชั้นวางหนังสือวางอยู่เพียงไม่กี่ชั้น เว่ยฉางอิ๋งกวาดตามองรอบหนึ่ง เห็นว่าครึ่งหนึ่งเป็นตำรายุทธศาสตร์ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งกลับเป็นหนังสือบทกวีและประวัติศาสตร์ มีโต๊ะเก้าอี้จัดวางเอาไว้ครบครับ และมีสิ่งล้ำค่าทั้งสี่ของห้องหนังสือ อันได้แก่ พู่กัน กระดาษ หมึก และที่ฝนหมึกจัดวางเอาไว้ ทว่าว่ามีเพียงของประดับที่เป็นเครื่องหยกต่างๆ ที่มีอยู่เพียงไม่กี่ชิ้น เห็นชัดว่าผนังทั้งสี่ทิศดูว่างเปล่าไปสักหน่อย ตามที่นางว่านบอก ตอนที่นางกำลังจัดเรือนนั้นเสิ่นจั้งเฟิงก็ลงใต้มาแล้ว คงเพราะไม่แน่ใจว่าจะจัดวางสิ่งใดบ้าง จึงยังมีที่ว่างอยู่
เว่ยฉางอิ๋งรู้อยู่ในใจ ห้องหนังสือนี้อยู่ที่เรือนชั้นที่สอง ทั้งยังจัดวางหนังสือกวีไว้ครึ่งหนึ่ง เห็นชัดว่าเอาไว้ให้ตนหรือให้ตนใช้ร่วมกับเสิ่นจั้งเฟิง ก็ย่อมต้องเอาไว้ให้ตนเป็นคนจัดและตกแต่ง จึงบอกให้ฉินเกอจดเอาไว้ “กลับไปให้ท่านอาหวงและท่านอาเฮ่อเลือกของมาสักหน่อยแล้วมาจัดวางไว้ให้ทั่วทั้งสี่ทิศ”
ห้องที่เหลือในเรือนชั้นนี้ยามนี้ล้วนว่างอยู่ ยามนี้เว่ยฉางอิ๋งเองก็คิดไม่ออกว่าจะนำมาใช้สอยเรื่องใด จึงให้คนเอาปิดไว้ดังเดิมเสียก่อน
เมื่อเดินลอดประตูวงพระจันทร์ที่อยู่ทางมุมตะวันตกเฉียงใต้ ก็มาถึงภายในลานของเรือนชั้นที่หนึ่ง และมองเห็นว่าที่ใต้ต้นอู๋ถงอายุร้อยปีนี้มีเด็กหนุ่มเสื้อครามผู้หนึ่งกำลังฝึกเพลงหมัดอยู่อย่างเป็นแบบเป็นแผน
เมื่อเหลือบมาเห็นเสิ่นจั้งเฟิงและเว่ยฉางอิ๋งจึงรีบหยุด แล้วยืนตรงขึ้นมาคราวะ
เว่ยฉางอิ๋งจำได้ว่าเขาคือเสิ่นจวี้เป็นคนรับใช้ที่รับหน้าที่พรมน้ำและกวาดพื้น เป็นลูกหลานตระกูลเสิ่นเช่นเดียวกับเสิ่นเตี๋ยที่ติดตามเสิ่นจั้งเฟิง และดูคล้ายว่าจะเป็นลูกพี่ลูกน้องอีกด้วย
เสิ่นจั้งเฟิงโบกมือบอกให้เขาถอยไป เสิ่นจวี้จึงถอยออกไปตามคำสั่ง แต่กลับไม่กล้าฝึกเพลงมวยต่อ แต่กลับเอามือลงและยืนรอรับคำสั่งอยู่ไกลๆ
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถามเสียงเบาๆ ว่า “บ่าวที่นี่ล้วนฝึกวรยุทธ์หรือ?”
“ก็มิใช่” เสิ่นจั้งเฟิงส่ายหัว กล่าวว่า “ผู้ฝึกวรยุทธ์จะต้องได้กินเนื้อสัตว์มานานปี ทั้งยังต้องอาบน้ำยาจึงจะสามารถป้องกันและระงับอาการช้ำในสะสมได้ หากบ่าวทุกคนล้วนได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ ก็จะต้องใช้เงินทองเลี้ยงดูมากมายไม่หวาดไม่ไหว จึงมีเพียงบุตรชายในตระกูลที่มีพรสวรรค์จึงจะได้รับการสอนสั่งและบ่มเพาะเพิ่มเติม ภายในเรือนของเรานี้ก็จะมีเสิ่นเตี๋ยและเสิ่นจวี้ผู้นี้”
เว่ยฉางอิ๋งลอบโล่งใจ ‘ยังดี ยังดี เมื่อว่ามาดังนี้ วันหน้าหากปิดประตูลงมือ ตนเองมีพวกของฉินเกอสี่คนคอยช่วย ส่วนเสิ่นจั้งเฟิงมีเพียงสองคน….’
เสิ่นจั้งเฟิงไม่รู้ว่านางกำลังคิดไปถึงเรื่องอื่น จึงได้เอ่ยถึงเรื่องการจัดการภายในเรือนชั้นที่หนึ่งขึ้นมา ห้องโถงกลางของเรือนจินถงนั้นอยู่ตรงข้ามลานประลองยุทธ์พอดี นางว่านได้จัดวางทุกสิ่งเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ข้างหลังที่นั่งหลักเป็นฉากกันลมทำจากกระจกบานหนึ่ง มีภาพนักรบถือทวนทองและม้าศึกที่ยืนตระหง่านอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำที่มีน้ำอยู่เต็ม และมีตั่งนั่งทำจากไม้บุนนาคชั้นดี ระหว่างที่นั่งกั้นด้วยตั่งกลมทรงดอกไห่ถังสองชั้น ข้างบนจัดวางเตาจุดเครื่องหอม ข้างใต้จัดวางดอกไห่ถังแสนสวยเอาไว้
บนพื้นปูด้วยหินคราม และพรมลายกิ่งก้านและดอกมู่ตาน บนผนังเพิ่งติดกระดาษสามาใหม่…ดูเรียบง่ายและแข็งแกร่ง เหมาะกับคุณลักษณะของตระกูลบู๊อย่างตระกูลเสิ่น
ห้องที่อยู่ทางด้านซ้ายของโถงกลางในยามนี้ล้วนยังว่างอยู่ จนกระทั่งถึงอาคารสูงสองชั้นที่อยู่สุดทางทางทิศตะวันตกจึงได้ทำเป็นห้องหนังสือ หนังสือในห้องนี้มีจำนวนมากกว่าห้องหนังสือเล็กในเรือนชั้นที่สองมาก เรียกได้ว่าตระการตาไปหมด มีกลิ่นอายบุ๊นแจ่มชัดยิ่ง ดีที่อาคารหลังนี้แม้ไม่ได้สูงนัก สองชั้นรวมกันก็มีความสูงพอๆ กับห้องโถงกลาง ทว่ามีเนื้อที่ไม่น้อย หลังจากจัดวางตำราหนังสือมากมายเหล่านี้ ทั้งภายในก็ยังกั้นส่วนหนึ่งไว้เป็นที่สำหรับหารือราชการก็มิได้รู้สึกว่าคับแคบอันใด
ทั้งสองคนอยากขึ้นไปชั้นสองแต่กลับถูกนางว่านปรามไว้ว่า “ชั้นสองนั้นเตี้ยมาก เกรงว่าคุณชายสามยกมือขึ้นก็จะสัมผัสเพดานแล้ว ทั้งยังเก็บของเบ็ดเตล็ดเอาไว้จำนวนหึ่ง เกรงว่าจะมีแต่ฝุ่นเกาะอยู่เจ้าค่ะ”
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สองสามีภรรยาจึงล้มเลิกความคิดนี้เสีย แล้วไปเดินดูที่อื่นรอบหนึ่งเป็นพอ
เรือนในชั้นที่สามเป็นที่อาศัยของบ่าวไพร่และห้องครัว แต่ในลานบ้านก็ยังคงมีพุ่มไม้ดอกไม้ปลูกอยู่เต็มไปหมด เวลานี้ในห้องครัวกำลังสาละวนทำอาหารเย็นกันอยู่ บ่าวเข้าๆ ออกๆ เห็นชัดว่ากำลังวุ่นวายยิ่ง ห้องแถวที่ให้สาวใช้อยู่ก็เปิดใช้อยู่เพียงไม่กี่ห้อง… ซึ่งอยู่ในสภาพรกไม่เป็นระเบียบ ทั้งสองคนดูผ่านๆ เพียงสักพักก็กลับไปยังเรือนชั้นที่สอง
หลังจากนั่งลง เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถึงห้องสองสามห้องในเรือนชั้นที่หนึ่ง เสิ่นจั้งเฟิงรู้สึกว่าใช้ได้ เว่ยฉางอิ๋งจึงถามไปอีกว่าจะให้เอาของใดเข้าไปบ้าง เสิ่นจั้งเฟิงบอกว่า “ก็ทำตามปกติก็พอ ความจริงแล้วก็ไม่อาจให้พวกเขาอยู่เป็นเวลานาน ทว่าก็อาจมีกรณีพิเศษบ้าง ให้ตระเตรียมไว้สำหรับหนึ่งคืนก่อน”
เว่ยฉางอิ๋งจึงกล่าวกับนางว่านอย่างเกรงใจว่า “กลับไป ยามข้าไปจัดห้อง ยังต้องเชิญท่านอาว่านชี้แนะด้วย เพื่อมิให้เกิดข้อผิดพลาด”
นางว่านรีบตอบไปด้วยรอยยิ้มว่า “ฮูหยินน้อยเกรงใจเกินไปแล้วเจ้าค่ะ”
พูดไปอีกสองประโยค บ่าวไพร่ก็เข้ามาสอบถามว่าจะรับประทานอาหารเลยหรือไม่ ทั้งสองคนจึงอนุญาต
อาหารเพิ่งจะยกเข้ามา ข้างนอกก็ได้ยินเสียงพึ่บพั่บ พลันมีลมแรงวูบใหญ่พัดเข้ามา… แล้วก็กลับมีฝนตก
ฝนห่านี้ตกลงมาอย่างกะทันหัน ฟ้าพลันมืดลงทันใด นางว่าน นางหวงต่างรีบเรียกคนเข้ามาจุดเทียน
เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้ว นางหวงก็พาคนเข้าไปปรนนิบัติยามเว่ยฉางอิ๋งอาบน้ำ พอดีว่าได้อาศัยเสียงฝนและเสียงม้าศึกที่ใต้ชายคามากลบเสียงสนทนา นางหวงกล่าวเสียเบาๆ ว่า “เมื่อครู่นี้คุณหนูสี่พูดเรื่องใดกับคุณชายเจ้าคะ?”
“ท่านอามิได้ฟัง?”
“นางว่านและพวกของข้าน้อยยืนอยู่ด้วยกัน จึงไม่อาจไปคอยยืนฟังต่อหน้านางเจ้าค่ะ” นางหวงยิ้มพลางช่วยนางถูไหล่
เว่ยฉางอิ๋งเอียงหัวมา กล่าวเสียงเบาว่า “จั้งหนิงบอกว่าอยากช่วยเขาล้างแค้น ด้วยการเอาหนังสือล้ำค่าในสินติดตัวของข้าไปยัดเยียดของโจรให้แก่คนบ้านหลิว และถูกเขาไล่กลับไปคัดหนังสือแล้ว” แล้วพูดอีกว่า “เขายังไม่ได้ถามเรื่องของบ้านสอง น่าแปลกจริง ท่านว่านางตวนมู่ทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”
นางหวงกลับต่อว่านางก่อนว่า “นี่ก็แต่งงานกันแล้ว ไยยังเรียกว่า ‘เขา’ นั่น ‘เขา’ นี่เล่าเจ้าคะ?” จากนั้นจึงกล่าวต่อไปว่า “ที่แท้คุณหนูสี่คิดเช่นนี้หรือเจ้าคะ? ข้าน้อยยังคิดว่านางถูกนางตวนมู่ยุแยงมาเสียอีก จึงได้จงใจมาสร้างความลำบากใจให้แก่ฮูหยินน้อย!”
เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอย่างไม่พอใจว่า “เฮ่อ ไม่พูดถึงเขาแล้ว…แล้วนางตวนมู่เล่า?”
“ข้าน้อยได้ยินมาว่าตระกูลเสิ่นให้ความสำคัญกับความสามารถเป็นหลัก ดังนั้นเมื่อเอ่ยถึงตำแหน่งประมุขของตระกูล มิได้ขึ้นอยู่กับว่าเป็นบุตรบ้านใหญ่หรือบุตรของอนุ” ทางหนึ่งนางหวงใช้กระบวยตักน้ำมารดที่ไหล่ของนาง ทางหนึ่งก็หัวเราะเบาๆ พลางว่า “แม้ยามนี้คุณชายจะเป็นที่พอใจของท่านราชครูเป็นที่สุด แต่เรื่องในวันหน้านั้น… ผู้ใดเล่าจะพูดได้ชัดเจน? ยามนี้คุณชายคนโตที่สุดในบรรดาสองสามท่านนั้นก็เพิ่งจะถึงวัยฉกรรจ์ แล้วผู้ใดจักไม่หมายปองตำแหน่งนี้?”
เว่ยฉางอิ๋งร้องอ้อออกมาหนหนึ่ง “ที่แท้ก็เพราะสาเหตุนี้? เช่นนั้นวันนี้นางยังส่งผลอิงเถามาทำสิ่งใด?
“ผลอิงเถาหนึ่งตะกร้าจะราคาสักเท่าใดกันเจ้าคะ?” นางหวงยิ้มพลางว่า “ยิ่งไปกว่านั้นยังมิต้องเอ่ยว่าให้นางว่านถือผลอิงเถานี้มา ยังนำมามอบให้ต่อหน้าคุณชายด้วย แต่ตอนที่นางตวนมู่ยุแยงคุณหนูสี่ให้แตกคอกับฮูหยินน้อยคุณชายก็มิได้อยู่ด้วย!”
“ฮูหยินน้อยใหญ่และฮูหยินน้อยรองเป็นที่ชื่นชอบของฮูหยินมาโดยตลอด หลายปีที่ข้าน้อยอยู่ที่เมืองหลวง มักได้ยินคนกล่าวขวัญว่าพวกนางเรียบร้อย มีคุณธรรม กตัญญูและเชื่อฟังอยู่บ่อยครั้งเชียวเจ้าค่ะ” นางหวงพูดถึงตรงนี้ก็กลับหัวเราะถางถางออกมา บอกว่า “เมื่อเทียบกันแล้ว ฮูหยินน้อย ท่านเพิ่งจะเข้าบ้าน ปีก่อนก็ยังถูกคนให้ร้าย ถูกวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา หากฮูหยินน้อยแสดงท่าทีไม่พอใจสิ่งใดต่อฮูหยินน้อยรอง ก็มิใช่ว่าผู้อื่นจักพากันหาว่าฮูหยินน้อยทำไม่ถูก? หากคุณชายของเราเลอะเลือนสักหน่อย ไม่แน่ว่าก็อาจจะรู้สึกว่าฮูหยินน้อยใจคอคับแคบ จงใจหาเรื่องหาราวกับพี่สะใภ้!”
เว่ยฉางอิ๋งแค่นเสียงออกมาหนหนึ่ง กล่าวว่า “เช่นนั้นพอข้าเพิ่งจักเข้าบ้านมา นางจึงได้ยุแยงอย่างโจ่งแจ้ง ด้วยกลัวว่าข้าจะมองไม่ออกและจะไม่ขัดแย้งกับนาง?”
นางหวงบอกว่า “ตามความเห็นของข้าน้อย ฮูหยินน้อยใหญ่ก็คงมีความคิดเช่นนี้เช่นกัน หาไม่ เมื่อคืนยามฮูหยินน้อยรองแสดงท่าทียุแยงคุณหนูสี่ ฮูหยินน้อยใหญ่ก็มิใช่ว่าเอาแต่นั่งมองเฉยๆ มิได้มีท่าทีจะตักเตือนเลยแม้แต่น้อยเล่า!”
เว่ยฉางอิ๋งเอนตัวมาพิงที่ถังอาบน้ำ ครุ่นคิดอยู่เป็นนาน กล่าวว่า “ทั้งสองคนล้วนเฝ้ารอวันให้ข้าเข้าบ้านมาเพื่อจักได้สร้างเรื่องราวใหญ่โตรึ? ในสายตาของพวกนางข้าโง่เง่าปานนั้นหรือ?”
“ฮูหยินน้อยโปรดคิดดูว่าวันนี้ยามคุณหนูสี่มาหานั้นก็พาคุณหนูหลานที่สี่มาด้วย” นางหวงยิ้มแล้วยิ้มอีก “คุณหนูหลานที่สี่มีพรสวรรค์ด้านกวีเหนือคน เป็นที่ชื่นชอบของท่านราชครูและฮูหยินมาโดยตลอด เมื่อครู่นี้คุณชายขืนให้ส่งนางกลับไป หากคุณหนูหลานที่สี่กลับไปแล้วบอกกับฮูหยินว่าเรือนจินถงของเราไม่ต้อนรับนาง คุณชายนั้นเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของฮูหยิน ฮูหยินย่อมไม่ไปโทษคุณชายอย่างแน่นอน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะขุ่นเคืองฮูหยินน้อยที่ไม่ช่วยประนีประนอม…และพวกเราก็ไม่อาจไปขวางประตูเอาไว้ไม่ให้พวกนางเข้ามา เมื่อพวกนางมาหาบ่อยครั้ง หาเหตุผลต่างๆ มาบ่อยครั้ง ฮูหยินน้อยซึ่งเป็นไข่มุกในมือทั้งเป็นที่รักยิ่งของตระกูลเว่ย มีหรือจะอารมณ์ดีและผ่อนปรนให้นางได้ตลอดไป?”
เว่ยฉางอิ๋งนิ่งเงียบอยู่พักหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นท่านอาคิดว่าควรทำเช่นไร?” นางตวนมู่มีบุตรสาวเป็นผู้ช่วย เด็กเล็กๆ เพียงนั้น ไม่ว่าจะมาคอยรบเร้ารบกวนเพียงใด เจ้าก็ไม่อาจไปเอาเรื่องเอาราวกับนางจริงจัง แต่หากว่ามาทุกวัน เว่ยฉางอิ๋งคิดดูก็รู้สึกว่าลำบากใจเช่นกัน
นางหวงยิ้มพลางว่า “เรื่องนี้ง่ายยิ่งนัก พอดีว่ามีโอกาสเตรียมพร้อมไว้ให้อยู่แล้วเจ้าค่ะ…”
__________________________
[1] ผลอิง คือ ลูกเชอร์รี่