ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 100 การต่อสู้ของเหล่าสะใภ้
ปลายยามเจี่ย[1]เว่ยฉางอิ๋งจึงทานอาหารเพียงลำพังที่เรือนชั้นหลัง เพียงแต่เป็นกังวลว่าเรือนชั้นหน้าจะมีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง หลังจากอาบน้ำแล้วจึงแต่งตัวให้เรียบร้อยและสวมเครื่องประดับพร้อมสรรพนั่งเตรียมตัวรอ จนถึงกลางยามชวี่[2] ข้างหน้ารายงานมาว่าแขกทั้งหมดกลับไปแล้ว จึงได้วางใจและสั่งให้คนเตรียมน้ำแกงช่วยสร่างเมาและน้ำร้อนเอาไว้ให้เสิ่นจั้งเฟิง
ทว่าเพิ่งจะสั่งความไปก็มีสาวใช้มารายงานว่า “ท่านเหนียนดื่มไปหลายจอก ยามนี้เมาจนไม่ได้สติ คุณชายบอกว่าให้ท่านเหนียนค้างที่ข้างหน้าหนึ่งคืนเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งนึกถึงสาวใช้ที่ให้ออกไปต้อนรับในงานเลี้ยงอย่างรวดเร็วรอบหนึ่ง แล้วคิ้วก็ขมวดเข้าน้อยๆ วันนี้ในบรรดาสาวใช้ที่รับใช้ดูแลมีอยู่สองนางที่หน้าตางดงาม เหนียนเซิงย้าวผู้นี้คงจะไม่คิดการไม่เข้าทีอยู่หรอกนะ? หากเหนียนเซิงย้าวมาขอสาวใช้กลับไปเป็นอนุก็แล้วไป แต่เว่ยฉางอิ๋งกลับไม่ยินยอมให้เขาเห็นสาวใช้ของตนที่นี้เป็นนางบำเรอชั่วคืน จึงสั่งไปว่า “เวลาคนเมาร่างกายก็จะหนักยิ่งนัก ข้าเห็นว่าท่านเหนียนผู้นั้นรูปร่างทั้งสูงทั้งใหญ่ เกรงว่าสาวใช้จะประคองเขาไม่ไหว ส่งบ่าวชราที่มีเรี่ยวแรงมากสองคนไปดูแล อย่าให้เขาชนนั่นชนนี่เล่า”
ทุกคนในเรือนจินถงล้วนรู้เรื่องความโปรดปรานของเหนียนเซิงย้าว สาวใช้ที่นำความมาบอกคราวนี้ฟังความหมายของเว่ยฉางอิ๋งออก จึงปิดปากหัวเราะ บอกว่า “เจ้าค่ะ”
ผ่านมาอีกสักพัก เสิ่นจั้งเฟิงจึงกลับมาด้วยกลิ่นเหล้าคลุ้งเต็มตัว วันนี้เขาไปที่คฤหาสน์จี้โดยมีเว่ยฉางอิ๋งไปด้วยก่อน ภายหลังเพราะมีแหลนด้ามใหม่ส่งมาจึงต่อสู้กับกู้อี้หรานรอบหนึ่ง จากนั้นกู้หน่ายเจิงไปยั่วโมโหตวนมู่อู๋ยิว เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องราวใหญ่โตจึงไม่อาจไม่เข้าไปขวางตวนมู่อู๋ยิว กว่าจะปรามเรื่องนี้ให้สงบลงได้ก็ต้องต้อนรับทุกคนมาจนถึงเวลานี้ …แม้จะอยู่ในวัยที่มีเรี่ยวแรงฉกาจฉกรรจ์ แต่ยามนี้ก็อดจะมีความอ่อนล้าไปทั้งตัวไม่ได้ เพียงเอ่ยกับเว่ยฉางอิ๋งสองสามประโยค ดื่มน้ำแกงสร่างเมาแล้วก็ไปอาบน้ำแล้ว
รอจนอาบน้ำออกมา นานๆ ครั้งที่เสิ่นจั้งเฟิงจะไม่กระเซ้าภรรยา แต่กลับล้มตัวลงบนตั่งแล้วนอน สักพักจากนั้นก็หายใจเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เห็นชัดว่านอนหลับไปแล้ว
เว่ยฉางอิ๋งรู้ว่าวันพรุ่งเขายังต้องเข้าวังไปทำงาน จึงห่มผ้าห่มบางให้เขา และสั่งให้คนเอาหีบน้ำแข็งหีบหนึ่งเข้ามา จากนั้นก็ดับตะเกียงและเข้านอน
และเหมือนดังที่ว่าไป วันรุ่งขึ้นเสิ่นจั้งเฟิงก็ยังตื่นสายเป็นประวัติกาล บ่าวที่เคยชินว่าเขาจะต้องตื่นเองรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ จึงไปปลุกเขาขึ้นมาอย่างยากเย็น พอถูกปลุกขึ้นมาก็ถามถึงเวลา แล้วร้องออกมาคำหนึ่งว่า ‘ซวยแล้ว’ แม้แต่อาหารเช้าก็ไม่ได้ทาน หลังจากอาบน้ำแต่งตัวแล้วก็รีบร้อนออกจากบ้านไป
โดยปกติแล้วเว่ยฉางอิ๋งล้วนตกใจตื่นเพราะสามีลุกจากตั่ง คราวนี้ก็พอดีตื่นขึ้นมาพร้อมกัน วันนี้เสิ่นจั้งเฟิงตื่นสายแล้ว นางเองจึงตื่นสายด้วย รีบอาบน้ำแต่งตัวแล้วก็ไม่มีเวลาทานอาหารเช้าเช่นกันและรีบไปที่เรือนหลัก แต่ก็ยังคงเป็นคนที่ไปถึงเป็นคนสุดท้ายอยู่ดี น้ำชาข้ามือนางหลิวและนางตวนมู่ล้วนลดไปครึ่งถ้วยแล้ว เห็นชัดว่ามาถึงกันสักพักแล้ว
เพราะวานนี้ฮูหยินซูเพิ่งจะให้เว่ยฉางอิ๋งสอบผ่าน วันนี้จึงไม่เหมาะจะออกอาการ ทว่าสีหน้าก็ไม่ใคร่น่าดูนัก เอ่ยเสียงเย็นไปว่า “เหตุใดวันนี้เจ้าจึงมาสายเพียงนี้?”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “วานนี้มีคนหลายคนมาเยี่ยมท่านพี่เจ้าค่ะ ทั้งยังทานเลี้ยงที่เรือนจินถงเสียจนดึกดื่นจึงกลับ สะใภ้ต้อนรับแขกของท่านพี่เป็นครั้งแรก รู้สึกเป็นกังวล เกรงว่าจะทำได้ไม่ดีและทำให้ท่านพี่เสียหน้า จึงทำให้อ่อนเพลีย ไม่ทันรู้ตัวก็หลับเลยเวลาเจ้าค่ะ” แล้วกล่าวว่า “สะใภ้รู้ผิดแล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่โปรดลงโทษ”
ฮูหยินซูเห็นว่านางมีท่าทีเชื่อฟัง จึงนิ่งคิดสักพักแล้วผ่อนน้ำเสียงลง กล่าวว่า “วานนี้มีคนมาที่เรือนเจ้ามากจริงดังว่า เจ้าต้อนรับแขกคราแรกก็ได้พบคนมากมายเพียงนี้ ก็มิน่าเล่าจึงได้รู้สึกวุ่นวายไปหมด” แล้วว่า “ครานี้ก็ช่างเถิด คราหน้าต้องตั้งใจให้มากสักหน่อย… กลับมิใช่ว่าข้าไม่เข้าใจพวกเจ้า แล้วจักต้องให้พวกเจ้าตื่นมาคารวะแต่เช้าทั้งที่วุ่นวายมาทั้งคืน เพียงแต่ภรรยาตระกูลใหญ่โต ทำการใดต้องมีสติอยู่เสมออย่าได้ร้อนรน ต้องตระเตรียมการไว้ล่วงหน้า พอเจ้าพบเจอเรื่องวุ่นวายก็ได้รับผลกระทบเช่นนี้ กลับเพราะจิตใจยังมั่นคงไม่พอ”
แล้วบอกให้นาง “ภายหน้ายังต้องเรียนรู้กับพวกพี่สะใภ้ของเจ้าให้มากสักหน่อย!”
เว่ยฉางอิ๋งรีบประสานมือน้อมรับคำสั่งสอน ปรายหางตาไปเห็นนางหลิวและนางตวนมู่ส่งสายตาให้กัน คล้ายมีท่าทีได้ใจ ในใจพลันเข้าใจว่า วันนี้ตนเองมาช้า กลับทำให้พี่สะใภ้ทั้งสองได้โอกาสจับผิดและไม่รั้งรอจะฟ้องอย่างเต็มกำลัง … ยุยงฮูหยินซูให้เกิดความเคลือบแคลงว่าตนมีความสามารถไม่พอ นอกจากหวังว่าพวกนางจะสามารถค่อยๆ ส่งมอบอำนาจเพราะเหตุนี้แล้วยังจะเพราะสิ่งใดได้อีก?
วันนี้แม้ฮูหยินซูไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องดูแลบ้าน แต่เมื่อเอ่ยว่าให้ตนเองไปเรียนรู้จากพี่สะใภ้มากสักหน่อย อย่างน้อยก็ไม่ได้เร่งรัดให้นางหลิวและนางตวนมู่ส่งมอบอำนาจให้นาง
เว่ยฉางอิ๋งมองเห็นอยู่ที่ตาชิงชังอยู่ในใจ แล้วลอบเสียใจว่าบทลงเอยที่ตนเองรอให้สามีตื่นจึงได้ตื่นขึ้นมาด้วยและเอาแต่แอบขี้เกียจก็คือการพลาดท่าอย่างยิ่งใหญ่ในเวลานี้ และถูกพี่สะใภ้หาโอกาสเล่นงานเสียแล้ว …พลันใคร่ครวญอย่างรวดเร็วดังสายฟ้าว่าจะเอาคืนได้อย่างไร
ฮูหยินซูจึงเอ่ยถามถึงการต้อนรับแขกวานนี้ เว่ยฉางอิ๋งรีบรวบรวมสติแล้วรายงานไปอย่างระมัดระวัง ฮูหยินซูได้ฟังแล้วก็พยักหน้า กล่าวว่า “แม้จะวุ่นวาย ทว่าก็ยังใช้ได้”
ฟังแม่สามีประเมินตนเช่นนี้ เว่ยฉางอิ๋งรีบตอบไปว่า “สะใภ้โง่นัก ต้อนรับแขกครั้งแรก นอกจากลูกผู้น้องทั้งสอง ก็ไม่เคยพบปะแขกที่มาเมื่อวานนี้มาก่อนสักเท่าใด ไม่คุ้นเคยกับนิสัยใจคอของพวกเขา ในยามที่กำลังเร่งรีบจึงทำได้เพียงพยายามทำเรื่องที่เกินกำลังไปเท่านั้น ยังเป็นห่วงว่าจะไม่ละเอียดรอบคอบพอจนไปล่วงเกินผู้ใดเข้าเจ้าค่ะ! ระหว่างนั้นคุณชายกู้แห่งหงโจวผลักไสผลไม้แช่เย็นที่สาวใช้ยกไปให้ แต่กลับไม่เอ่ยสิ่งใด สะใภ้ยังเป็นกังวลเกรงว่าจะเสียมารยาทกับแขกของท่านพี่เจ้าค่ะ เคราะห์ดีที่ท่านอาข้างกายเอ่ยเตือนว่าอาจเพราะคุณชายกู้ไม่ชอบผลไม้แช่เย็น? ภายหลังส่งออกไปให้ใหม่ ปรากฏว่าคุณชายกู้จึงยอมทานเจ้าค่ะ …ภายหลังถึงได้ทราบว่าสองวันมานี้คุณชายกู้ท้องไส้ไม่ใคร่ดี สะใภ้คิดว่าผู้อื่นเองก็ยังไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใดเลยกระมัง? ทว่าตนเองอยู่ข้างหลังก็ไม่กล้าไปรบกวนพวกเขาสนทนากับท่านพี่ เมื่อได้ยินท่านแม่ว่ามาดังนี้ สะใภ้ก็วางใจแล้วเจ้าค่ะ”
ฮูหยินซูเห็นนางถ่อมตนทั้งยังบอกเป็นนัยๆ ว่าแขกกลุ่มใหญ่เมื่อวานนี้ล้วนไม่ใช่แขกธรรมดา นางต้อนรับอย่างปัจจุบันทันด่วน …เพราะนับแต่ออกเรือนมาจนยามนี้ก็เพียงไม่กี่เดือน นางก็เพิ่งจะเคยต้อนรับแขกเช่นนี้เป็นหนแรก ยิ่งไปกว่านั้นพวกแขกเองก็หาได้ไม่ทำให้ลำบากใจ จึงยิ้มอยู่ในใจแล้วเอ่ยอย่างราบเรียบว่า “แขกที่มาวานนี้ ข้าเคยได้ยินมาว่าในจำนวนนั้นไม่ได้เป็นคนง่ายดายนัก กู้เวยผู้นี้ขึ้นชื่อเรื่องไม่ชอบพูดจา บ้านใดต้อนรับเขาล้วนต้องกึ่งทายกึ่งคะเนเอา แต่เจ้าดูแลใช้ได้ วันหน้าเมื่อคุ้นเคยกันแล้ว ก็หวังว่าจะไม่ต้องวุ่นวายสับสนอีก” นับเป็นการชมเชยนางไปประโยคสองประโยค
เว่ยฉางอิ๋งเห็นแม่สามีเข้าใจความหมายของตนจึงรีบกล่าวว่า “เจ้าค่ะ! ล้วนเพราะสะใภ้ไร้ความสามารถ ทำให้ท่านแม่เป็นกังวล”
“เจ้ายังเด็ก วันหน้าก็เรียนรู้ให้มากดูให้มากก็จะค่อยๆ สบายขึ้นเอง” ฮูหยินซูปลอบไปประโยคหนึ่ง นางหลิวและนางตวนมู่เห็นว่าบรรยากาศค่อยๆ ผ่อนคลายลงก็นั่งไม่ติดเก้าอี้เสียอย่างยิ่ง นางหลิวยิ้มน้อยๆ พลางว่า “ท่านแม่กล่าวถูกต้องเจ้าค่ะ เมื่อคนยังเด็กอยู่ก็น้อยนักที่จะทำการได้รอบคอบ สะใภ้นึกถึงสมัยที่สะใภ้เพิ่งจะแต่งเข้าบ้านก็ทันน้องหญิงใหญ่ออกเรือนพอดี ครานั้นสะใภ้เองก็ล้วนไม่เข้าใจสิ่งใด ต้องพึ่งท่านแม่สอนสั่งและเป็นได้เพียงผู้ช่วยเท่านั้นเจ้าค่ะ”
ฮูหยินซูเข้าใจความหมายของนาง จึงเอ่ยราบเรียบไปว่า “ครานั้นเจ้าก็ทำได้ดีมากแล้ว ข้ายังมิทันสั่งความ แต่เจ้าก็ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว”
เว่ยฉางอิ๋งฟังออกว่าที่นางหลิวเอ่ยปากว่าคนยังเด็กไม่อาจรอบคอบ ก็คือบอกเป็นนัยว่าตนเองยังเด็กเกินไปจึงยากจะเข้ามาดูแลบ้านในทันที นางจึงขมวดคิ้วเข้าน้อยๆ แล้วได้ยินฮูหยินซูเอ่ยชมว่าครั้งนางหลิวเพิ่งจะแต่งเข้าบ้านก็สามารถช่วยเหลือ ฮูหยินซูจัดการเรื่องออกเรือนของเสิ่นจั้งจูได้เป็นอย่างดี นางก็ยิ่งควบคุมสีหน้าเอาไว้ไม่ได้
ขณะนั้นเองนางตวนมู่ก็เอ่ยว่า “ครั้งสะใภ้แต่งเข้ามาได้ไม่นาน มีครั้งหนึ่งท่านพี่ก็เคยพาสหายร่วมงานกลับมาด้วยจำนวนมาก ครานั้นสะใภ้กลับไม่เหมือนน้องสะใภ้สาม เพราะไม่รู้เลยจริงๆ ว่าจะทำอย่างไรจึงจะดี? ภายหลังจึงคิดใช้วิธีขี้เกียจ ส่งคนไปสอบถามเอากับพี่สะใภ้ใหญ่ …มีหรือจะทำเก่งกาจเช่น น้องสะใภ้สามที่ดูแลต้อนรับแขกตั้งแปดคนได้อย่างเรียบร้อยด้วยตนเองโดยไม่ได้บอกกล่าวผู้ใด แม้แต่ท่านแม่ก็ยังหาข้อผิดพลาดไม่ได้เลย?”
คำกล่าวนี้ของพี่สะใภ้รองก็ขาดแต่เพียงบอกว่า เว่ยฉางอิ๋งอวดอ้างความสามารถของตน ในเมื่อไม่สามารถดูแลแขกเหรื่อได้ดี แล้วเหตุใดจึงไม่ไปขอคำชี้แนะจากพี่สะใภ้และแม่สามีเล่า? “ดูแลต้อนรับแขกตั้งแปดคนได้อย่างเรียบร้อยด้วยตนเองโดยไม่ได้บอกกล่าวผู้ใด แม้แต่ท่านแม่ก็ยังหาข้อผิดพลาดไม่ได้เลย” คำพูดนี้ดูคล้ายเป็นคำชม แต่ความจริงเป็นคำยุยง และถือเป็นการบอกเป็นนัยแก่ฮูหยินซูด้วยว่า ทั้งที่เว่ยฉางอิ๋งรู้ว่าความสามารถของตนมีจำกัด แต่ก็ยังคิดการต่างๆ ด้วยตนเอง ไม่ขอคำชี้แนะจากผู้ใหญ่ก็จัดการเรื่องต่างๆ ไปเสียแล้ว เป็นการไม่เคารพต่อผู้ใหญ่อย่างมาก
เว่ยฉางอิ๋งกำผ้าเช็ดหน้าแน่น ยิ้มน้อยๆ พลางว่า “พี่สะใภ้รองก็ถ่อมตนเกินไปแล้ว ข้าไม่ได้คิดมากเช่นพี่สะใภ้รอง ก็เพียงคิดว่าอากาศร้อน ครานั้นก็เพิ่งจะลาท่านแม่ไป ท่านแม่กำลังจะพักผ่อน เกรงว่าหากไปขอคำชี้แนะจากท่านแม่จะกลายเป็นการรบกวนท่านแม่เสีย ส่วนพี่สะใภ้ทั้งสองนั้นก็ล้วนต้องคอยดูแลเรือนหลังของตน ทั้งต้องดูแลพวกหลานๆ ข้ายังเด็กไม่รู้ความ หลายครั้งไม่อาจแบ่งเบาภาระของพี่สะใภ้ทั้งสองก็รู้สึกผิดมากอยู่แล้ว มีหรือจะกล้าเพิ่มความลำบากให้แก่พี่สะใภ้ทั้งสองคนอีก? ยิ่งไปกว่านั้นท่านพี่เป็นคนใจกว้าง ว่ากันว่าคนเช่นไรคบคนเช่นนั้น สหายสนิทของท่านพี่ คาดว่าก็คงจะล้วนพูดจากันง่าย และลูกผู้น้องสองคนในนั้น…ข้าก็อาศัยว่ามีลูกผู้น้องทั้งสองคนอยู่ คิดวาหากทำการได้ไม่ดี เพื่อเห็นแก่ท่านแม่ก็คงจะช่วยข้ากู้สถานการณ์ ดังนี้แล้วจึงรวบรวมความกล้าจัดการไปด้วยตนเองเจ้าค่ะ”
เมื่อเอ่ยคำพูดนี้ออกไป นางหลิวนั้นยังดี ทว่าสีหน้าของนางตวนมู่กลับหนักอึ้งไปคราวหนึ่งจึงค่อยกลับมาเป็นปกติ แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบว่า “น้องสะใภ้สามยังบอกว่าตนไม่ได้คิดมาก เรื่องนี้มิใช้ว่าใคร่ครวญเสียอย่างดีแล้วหรือ? กลายเป็นข้าที่ทั้งโง่เง่าและเกียจคร้าน ครั้งนั้นจึงคิดไปหาพี่สะใภ้ใหญ่”
…ประโยคว่า “ข้าไม่ได้คิดมากมายเช่นพี่สะใภ้ ” ของเว่ยฉางอิ๋ง ฟังแล้วคล้ายเป็นคำถ่อมตน แต่ฮูหยินซู นางหลิวและนางตวนมู่ล้วนฟังออกว่า นางกำลังบอกว่า นางตวนมู่จงใจวางแผนร้าย ตนเองไม่ยอมรับผิดเรื่องดูแลแขกไม่ทั่วถึง จึงให้นางหลิวซึ่งเป็นพี่สะใภ้มาเป็นรับลูกธนูแทน
ภายหลังยังบอกไปอีกว่าเหตุใดนางจึงไม่ไปขอคำชี้แนะจากฮูหยินซู นางหลิว และนางตวนมู่ ซึ่งเห็นชัดว่าเว่ยฉางอิ๋งเองได้ไตร่ตรองจนรอบคอบแล้ว ทั้งยังเอ่ยถึงซูอวี๋เหลียง ซูอวี๋อู่ แล้วยกเอาเรื่องหน้าตาของฮูหยินซูขึ้นมาอีก บอกว่านางหาได้หลงลืมแม่สามี เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว นางตวนมู่ขอให้นางหลิวมาช่วยตั้งแต่แรก จึงต้องตกเป็นรองในเรื่องนี้เสียแล้ว
ทว่าเพิ่งจะสิ้นเสียงนางตวนมู่ เว่ยฉางอิ๋งก็หัวเราะและเอ่ยคำต่อไปว่า “พี่สะใภ้รองกล่าวเกินไปแล้วเจ้าค่ะ ก็เพราะท่านแม่กำชับมาว่าให้ข้าช่วยแบ่งเบาภาระของสามีให้มากๆ ข้าจึงต้องทำการใดๆ ด้วยความระมัดระวัง! ด้วยเกรงวาจะทำให้บ้านเราเสียหน้าเจ้าค่ะ”
คราวนี้นางหลิวก็มีสีหน้าคล้ำลงเช่นกัน ช่วยแบ่งเบาภาระของเสิ่นจั้งเฟิง ก็มิใช่เป็นการบอกว่านางอยู่ในฐานะสูงส่งด้วยฐานะสามี นั่นเพราะตระกูลให้ความสำคัญกับเสิ่นจั้งเฟิง นางเองก็มีสิทธิ์เป็นตัวแทนและเป็นหน้าเป็นตาให้ตระกูลเสิ่นเช่นนั้นรึ?
ทว่าสาเหตุที่เว่ยฉางอิ๋งพูดเช่นนี้ก็เพราะฮูหยินซูกำชับมา นางหลิวและนางตวนมู่จึงไม่กล้าโต้เถียง จึงทำได้เพียงยิ้มจางๆ พร้อมกัน “ท่านแม่ล้วนบอกว่าน้องสะใภ้สามเก่งกาจแล้ว ทว่าปากของน้องสะใภ้สามกลับยังไม่ยอมรับอีก?”
ฮูหยินซูวางเฉยและมองดูวิธีการต่อสู้ของเหล่าสะใภ้อยู่ข้างๆ แต่กลับไม่เอ่ยว่าใช่หรือไม่ เมื่อเห็นว่าพวกนางไม่พูดสิ่งใดอีก จึงเอ่ยถามเรื่องการแบ่งสรรงานในบ้าน แล้วบอกให้พวกนางกลับไป
แต่ไรมาพี่สะใภ้น้องสะใภ้สามคนก็ค่อนข้างจะเข้าหน้ากันได้ไม่สนิทใจอยู่แล้ว เมื่อวันนี้ทะเลาะกันหนหนึ่ง พอออกไปจากเรือนหลัก สีหน้าของพวกนางก็ล้วนเย็นชาลง เมื่อไปถึงทางแยกก็เอ่ยคำกันสองสามคำและแยกกันกลับบ้านของตน
เดิมทีเว่ยฉางอิ๋งวางแผนไว้ว่าวันนี้จะไปเยี่ยมท่านอาหญิงใหญ่เว่ยเซิ่งเซียน เพียงแต่ตื่นสาย จนทำให้ฮูหยินซูไม่พอใจ ทั้งยังถูกพี่สะใภ้ทั้งสองคนรุมจัดการเข้าให้อีก …แม้จะบอกว่า วานนี้เป็นฮูหยินซูเอ่ยเรื่องไปเยี่ยมเว่ยเซิ่งเซียนขึ้นมาเอง แต่มายามนี้นางก็ไม่กล้าเอ่ยถึงอีก จึงคิดว่าวันพรุ่งหรือวันมะรื่นค่อยไป
นางค่อยๆ เดินกลับเรือนจินถงช้าๆ เดินไปพลางคิดไปพลางว่าวันนี้ควรดูบัญชีกี่เล่ม ยามมาคารวะในวันพรุ่งควรจะพูดเรื่องใด ควรทำเช่นใด พอมองออกไปก็กำลังจะข้ามธรณีประตูแล้ว พลันมีเสียงร้องเรียกดังมาจากข้างหลังว่า “พี่สะใภ้สามโปรดช้าก่อน !”
________________________________
[1] ยามเจี่ย คือช่วงเวลาบ่ายสามถึงห้าโมงเย็น
[2] ยามชวี่ คือช่วงเวลาหนึ่งทุ่มถึงสามทุ่ม