ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 103 เว่ยเซิ่งเซียน
วันต่อมา พอเว่ยฉางอิ๋งไปเอ่ยปากกับฮูหยินซูปรากฏว่าก็ได้รับอนุญาตให้ไปเยี่ยมเว่ยเซิ่งเซียนจริงๆ ฮูหยินซูยังเตรียมของกำนัลสี่สี่ให้เว่ยฉางอิ๋งนำไปให้ด้วย
จากนั้นจึงตั้งใจเลือกให้เสิ่นจวี้ที่คราก่อนเป็นคนส่งเก๋อซุ่นกลับบ้าน และเป็นคนที่รู้จักทางเร่งออกรถออกจากเรือนไป
คฤหาสน์ที่เว่ยเซิ่งเซียนพำนักอยู่นั้นอยู่ที่เฉิงหนาน จะว่าไปก็อยู่ห่างจากจวนตระกูลเสิ่นไปไม่ไกลนัก …บริเวณแถบนี้ล้วนเป็นที่พำนักของคนร่ำรวยมีตระกูล มองดูมีบ้านเรียงรายกันเป็นระเบียบ ล้วนมีประตูใหญ่สีแดงและบ้านเรือนที่งดงามโอ่อ่า หน้าประตูเป็นถนนกว้างใหญ่ที่ปัดกวาดสะอาดสะอ้านเรียบร้อย แต่กลับมีคนเดินบนถนนน้อยนัก มีแต่รถม้าวิ่งไปมา ซึ่งล้วนมิใช่คนธรรมดาทั้งสิ้น
เมื่อเห็นดังนี้แล้ว เว่ยฉางอิ๋งแอบพยักหน้าอยู่ในใจ ท่านอาหญิงรองเว่ยเจิ้งอินว่าไว้ไม่ผิด เพราะท่านอาหญิงใหญ่เว่ยเซิ่งเซียนผู้นี้ไร้บุตรชาย พูดจาเสียงบางเบายามอยู่ต่อหน้าคนในตระกูล ทว่ามีทรัพย์สมบัติมั่งคั่งนัก หาไม่แล้ว เพิ่งจะกลับมาจากเมืองอื่นก็คงไม่อาจซื้อที่ดินในแถบนี้ได้ และแน่นอนว่าถ้าหากไม่มีที่ดินพรั่งพร้อมดังนี้ ก็คงไม่ถูกคนในตระกูลบีบให้รับบุตรไปเป็นบุตรบุญธรรมเพราะตนเองไม่มีบุตรชายหรอก
รถม้าไปหยุดอยู่ที่หน้าประตูสีแดงบานหนึ่ง มีร่องรอยให้เห็นชัดเจนนักว่าคฤหาสน์หลังนี้เพิ่งจะมีคนย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ บนประตูยังคงมีกลิ่นสีทาไม้อ่อนๆ บันไดหินและกำแพงล้วนเพิ่งจะทาสีและซ่อมแซมมาใหม่
วานนี้ เว่ยฉางอิ๋งสั่งให้เสิ่นจวี้รีบมาส่งเทียบ เวลานี้ประตูสีแดงเปิดกว้างออก เก๋อซุ่นเปลี่ยนมาส่วนชุดเสื้อผ้าใหม่ทั้งตัว พาแม่นมที่แต่งกายเรียบร้อยสวยงามสองคนมารอต้อนรับที่หน้าประตู
เพราะเป็นแขกผู้หญิง จึงมิได้ลงรถที่นอกประตู พวกของเก๋อซุ่นคารวะนางจากข้างนอกรถ แล้วเชิญเสิ่นจวี้ให้ขับรถม้าเข้าไปในประตูเลย รอจนประตูใหญ่ปิดลงข้างหลังรถม้าแล้ว เว่ยฉางอิ๋งถึงถูกประคองลงมาจากรถม้า และกลับพบว่าข้างๆ รถมีคนกลุ่มหนึ่งมารออยู่นานแล้ว
ข้างหน้าสุดเป็นสตรีวัยกลางคนที่แต่งงานแล้วซึ่งมีหน้าตางดงามผู้หนึ่ง สวมชุดหรูหราด้วยเสื้อส้างหรูแขนกว้างสีม่วงอมชมพูปักลายกิ่งก้านดอกมู่ตาน คู่กับเสื้อเกาะอกปักอักษรอายุมั่นขวัญยืนบนพื้นลายเมฆดอกมะลิเหลือง คาดเข็มขัดหยก สวมกระโปรงหลากสีตัดเย็บจากผ้าสิบสองชิ้น ข้างกระโปรงห้อยหยกประดับเพื่อใช้ทับกระโปรงเอาไว้ ข้อมือสวมกำไลหยกเขียวเนื้อดี เกล้าผมทรงหลิงอวิ๋นจี้ยอดเขา[1] บนมวยผมปักปิ่นหยกทองประดับอัญมณี ปิ่นรูปนกหลวนมีอุบะประคำแดง และมีดอกไม้อัญมณีประดับผมอีกหลายชิ้น ทั้งงดงามและสูงส่งยิ่งนัก
เดิมทีสตรีแต่งงานแล้วที่แสนงดงามผู้นั้นถือผ้าเช็ดหน้าหอมอยู่ในมือ แต่ยามนี้เมื่อเห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งกำลังจะลงจากรถมาก็รีบยัดผ้าเช็ดหน้าเข้าไปในเสื้อ แล้วก้าวเท้ามาข้างหน้า ยื่นมือออกไปรับนางด้วยตนเอง พลางกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “เด็กดี ที่สุดอาก็ได้พบเจ้าเสียที!” พูดไปดวงตาก็พลันแดงก่ำขึ้นมา คล้ายจะมีน้ำตาร่วงลงมา
เว่ยฉางอิ๋งรู้ว่านี่จะต้อง เว่ยเซิ่งเซียนอาหญิงใหญ่ของตนเป็นแน่แท้ จึงรีบเข้าไปคำนับคารวะและทักทายว่า “ข้าเองก็คิดถึงท่านอามาโดยตลอด จนใจเหลือที่เพิ่งจะออกเรือนได้ไม่นาน ทุกเรื่องล้วนยังไม่เข้าใจ ทั้งที่บ้านก็มีงานมงคล จนถึงวันนี้จึงสามารถปลีกตัวมาเยี่ยมเยือนท่านอาได้เจ้าค่ะ ไม่คิดว่ายังต้องลำบากให้ท่านอามารอรับที่นี่ด้วยตนเอง ทำให้ข้ารู้สึกผิดเสียจริงๆ เจ้าค่ะ! หวังยิ่งว่าท่านอาจะอภัยให้ข้าจึงจะถูกเจ้าค่ะ!”
นางเอ่ยไปพลางลอบสังเกตอาหญิงใหญ่ของตนผู้นี้ เมื่อว่ากันเรื่องอายุแล้ว เว่ยเซิ่งเซียนควรอายุสี่สิบกว่าแล้ว ดูจากโครงหน้า คาดว่าครั้งนางยังสาวคงจะงดงามนัก แต่เมื่ออายุมากขึ้นก็ยากจะไม่อวบขึ้นมา ใบหน้าที่ก่อนนี้ควรเป็นรูปเมล็ดแตง ยามนี้กลับอวบกลมขึ้นมาอย่างมาก เพียงแต่ดูหน้าตาแล้วกลับไม่ได้ดูแก่นัก เมื่อเข้าไปมองดูใกล้ๆ ผิวพรรณยังคงขาวเนียน เรียกได้ว่ายังคงงดงามอยู่ ทว่าช่วงตามีความกังวลที่ยากจะลบเลือนไปได้จึงทำให้มองดูชราขึ้นมาหลายส่วน
ข้างหลังนาง มีเด็กสาวในชุดหรูหราสองนางอยู่ซ้ายคนหนึ่งขวาคนหนึ่ง เด็กสาวทางด้านซ้ายอายุมากกว่าเล็กน้อย นางสวมเสื้อส้างหรูแขนกว้างสาบชนกันปักลายเมฆทรงหรูอี้สี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดสีเขียวต้นหอม กลางอกเผยให้เห็นเสื้อเกาะอกสีงาช้างที่อยู่ข้างใน คาดกระโปรงหลัวฉวินสีน้ำทะเล บนไหล่มีผ้าคาดไหล่ปักรูปดอกไม้นานาพันธุ์ผืนหนึ่ง แต่งหน้าบางๆ หว่างคิ้วติดภาพดอกไม้เล็กๆ เอาไว้ คนที่อยู่ทางขวามีอายุน้อยกว่าสักหน่อย ทว่ากลับมีใบหน้างดงามแม้ไม่ได้แต่งเติม นางสวมเสื้อส้างหรูคอป้ายแขนกว้างปักลายกิ่งก้านและดอกโบตั๋นบนผ้าพื้นสีเขียวหิมะ ชายเสื้อชั้นกลางสีขาวนวลจันทร์ปักลายดอกสายน้ำผึ้งแถบหนึ่ง สวมกระโปรงไล่สีแดงหมากกับสีขาวสองสี
สองพี่น้องสวมเสื้อผ้าต่างกัน แต่กลับทำทรงผมก้นหอยคู่และปักเครื่องประดับบนมวยผมเหมือนกัน ปิ่นหยกรูปดอกชบาซ้อนและอุบะมุก ผูกแถบผ้าบางๆ ทิ้งชายแถบผ้ายาวๆ ลงมาจนถึงข้างหน้าของหน้าอก ยามต้องลมพัดก็ปลิดปลิวไปมาน่าชมนัก
หากว่ากันเรื่องหน้าตา คิ้วและดวงตาของคนพี่ที่อยู่ทางด้านซ้ายมีความคล้ายคลึงกับของเว่ยฉางอิ๋งหลายส่วน ใบหน้ารูปไข่ห่าน คิ้วโค้งตาหงส์ ผิวกระจ่างขาวหิมะ มีหน้าตางดงามยิ่ง คนน้องทางด้านขวากลับเหมือนเว่ยเซิงเซียนมารดาของนางมากกว่า ด้วยใบหน้ารูปเมล็ดแตง คิ้วยาวจนไปถึงตีนผม ดวงตาเมล็ดท้อโตๆ ทำให้เห็นถึงความร่าเริงสดใส
พี่สาวน้องสาวทั้งสองเข้ามาทักทายปราศรัยกลับลูกผู้พี่ เว่ยฉางอิ๋งสังเกตพวกนางหลายหน และชมพวกนางจากใจจริงว่ามีหน้าตางดงามนัก สองพี่น้องย่อมรีบถ่อมตนไม่หยุดปาก แล้วบอกว่าลูกผู้พี่หญิงจึงคือคนงามที่แท้จริง
เว่ยเซิ่งเซียนรอพวกนางสามพี่น้องเอ่ยคำตามมารยาทสักพัก จึงแนะนำเด็กสาวทางด้านซ้ายว่า “นี่คือน้องสาวคนโตของเจ้า ซีเยวี่ย” คนทางด้านขวาย่อมเป็นบุตรสาวคนเล็กของนาง “นี่คือน้องสาวคนเล็กของเจ้า หรูเซวียน”
แล้วว่า “พวกเจ้ารอพบลูกผู้พี่ผู้นี้ที่บ้านมานานจริงๆ นี่คือบุตรสาวคนโตของท่านลุงใหญ่ของพวกเจ้า นามว่าฉางอิ๋ง อยู่ในลำดับที่สามของพวกเจ้าพี่น้อง ท่านยายของพวกเจ้าเป็นผู้อบรมสอนสั่งมาจนโตเชียวนะ!”
เว่ยฉางอิ๋งสะดุ้งขึ้นมานิดๆ อย่างยากจะสังเกตได้ เพราะความใจดำและระแวงที่แม่เฒ่าซ่ง ท่านย่าของนางมีต่อบุตรธิดาของอนุ ทำให้ทั้งครอบครัวของเว่ยเซิ่งอี๋เกิดความรู้สึกเป็นปรปักษ์กับบ้านใหญ่และมีความเคืองแค้นต่อแม่เฒ่าซ่งอยู่อย่างเป็นนัยๆ ในขณะความคิดของเว่ยฉางอิ๋งนั้น แม้เว่ยเซิ่งเซียนจะเป็นลูกของอนุเช่นเดียวกับเว่ยเซิ่งอี๋ แม้นางจะไม่กล้าแสดงความแค้นเคืองที่มีต่อแม่ใหญ่ออกมา แต่ก็คงจะเกรงกลัวและหวั่นเกรงแม่เฒ่าซ่งอย่างยิ่ง
ทว่ายามนี้ได้ฟังเว่ยเซิ่งเซียนเน้นย้ำกับบุตรสาวของนางเป็นพิเศษว่าแม่เฒ่าซ่งเป็นคนอบรมสอนสั่งเว่ยฉางอิ๋งมาจนโต กลับคล้ายว่าท่านอาหญิงใหญ่ผู้นี้…เคารพนับถือ…ท่านย่าเป็นอย่างยิ่ง?
ปรากฏว่าเมื่อซ่งซีเยวี่ยและซ่งหรูเซวียนได้ฟังประโยคสุดทายของมารดาดวงตาก็พลันสุกสกาวขึ้นมา ยามมาพูดจากับเว่ยฉางอิ๋งอีกหน ท่าทีของพวกนางก็ยิ่งเคารพนบนอบขึ้นมาอีกหลายส่วน “ลูกผู้พี่ฉางอิ๋งเป็นคนที่ท่านยายอบรบสอนสั่งมาด้วยตนเองเชียวหรือเจ้าคะ? เรามักได้ยินท่านแม่พูดเสมอว่า ท่ายายยังเป็นคุณหนูใหญ่แห่งเจียงหนานถังอีกด้วย มีฐานะสูงส่ง ได้รับการอบรมมาอย่างเข้มงวด และยังเป็นแบบอย่างของสตรี เป็นกุลสตรีตัวอย่าง! ในเมื่อลูกผู้พี่ได้รับการอบรมจากท่านยาย คาดว่าจักต้องเป็นดังเช่นท่านยายในสมัยนั้น หวังว่าลูกผู้พี่จะไม่รังเกียจอบรมสอนสั่งพวกเราด้วยเจ้าค่ะ!”
เว่ยฉางอิ๋งสะอึก …แบบอย่างของสตรี กุลสตรีตัวอย่าง? ตนเองนี่รึ?
นางแอบมองเว่ยเซิ่งเซียนหนึ่ง ก็เห็นว่าท่านอาใหญ่ผู้นี้กลับไม่ได้มีท่าทีเย้ยหยันหรือล้อเล่นอันใด แต่กลับมีสีหน้าเห็นด้วยอย่างจริงจังเสียอีก… เว่ยฉางอิ๋งพอจะเข้าใจแล้วว่า ที่แท้แล้วท่านอาใหญ่ผู้นี้ …ยึดถือแม่เฒ่าซ่งซึ่งเป็นแม่ใหญ่ของตนเป็นแบบอย่าง? กระทั่งอบรมสอนสั่งบุตรสาวโดยยึดถือแม่เฒ่าซ่งเป็นแบบอย่างสูงสุดของกุลสตรี?
…เรื่องนี้ก็ออกจะผิดปกติอยู่นะ คนที่ยึดเอาแม่เฒ่าซ่งเป็นแบบอย่าง จะถูกคนในตระกูลของสามีบีบคั้นเอาจนถึงขึ้นตกที่นั่งลำบากได้หรือ?
สมมติว่า เว่ยเซิ่งเซียนคอยทำอย่างแม่เฒ่าซ่งมาโดยตลอด ไม่ว่าอย่างไรก็ควรจะเป็นคนที่มีนิสัยคล้ายๆ ตวนมู่ซินเหมี่ยวสิ!
เว่ยฉางอิ๋งใคร่ครวญอยู่ในใจ แต่บนใบหน้ากลับมีรอยยิ้มที่อ่อนโยนถ่อมตนกับลูกผู้น้องทั้งสอง “ท่านย่านั้นเก่งกาจนัก ทว่าตัวข้าคงทำให้ลูกผู้น้องทั้งสองท่านผิดหวังเสียแล้ว แม้ข้าจะได้รับการอบรมจากท่านย่า ทว่าแม้หนึ่งในสิบส่วนของท่านย่าข้าก็กลับทำตามไม่ได้”
ซ่งซีเยวี่ยและซ่งหรูเซวียนกลับยิ่งเอ่ยอย่างเคารพนบนอบเสียยิ่งกว่าเดิม “ลูกผู้พี่ช่างถ่อมตนจริงๆ!”
“…” รอจนพวกเจ้าคุ้นเคยกับข้าแล้วก็จะรู้เองว่าข้าไม่ได้ถ่อมตนเลยแม้แต่น้อย ข้ากำลังพูดความจริงอยู่ต่างหากเล่า! เว่ยฉางอิ๋งถอดถอนใจอยู่ในใจ แล้วก็ได้ยิน เว่ยเซิ่งเซียนสอนสั่งบุตรสาวทั้งสองด้วยสีหน้าขึงขังว่าจักต้องตั้งใจเรียนรู้จากตนเองให้ดีๆ นางก็แอบยิ้มเจื่อนๆ หากซ่งซีเยวี่ยและซ่งหรูเซวียนเลียนแบบตนจริงๆ …ยังไม่ทันออกเรือนก็คิดแต่จะตีสามี เกรงว่าเว่ยเซิ่งเซียนก็คงจะกระโดดโหยง!
สมกับเป็นวันในฤดูร้อน อาหลานสนทนากันอยู่ข้างรถไม่กี่คำ ทุกคนล้วนมีเหงื่อออกท่วมตัว เว่ยเซิ่งเซียนจึงรีบเชิญหลานสาวเข้าไปนั่งในห้องเย็น
คงเพราะคฤหาสน์หลังนี้ในเวลานี้มีเพียงเว่ยเซิ่งเซียนสามแม่ลูกอาศัยอยู่และไม่มีนายผู้ชายอยู่ ทุกแห่งล้วนประดับประดาอย่างงดงามละเอียดอ่อนและเต็มไปด้วยกลิ่นอายของผู้หญิง แม้แต่หีบน้ำแข็งที่เอาใส่ไว้ในห้องเย็นก็สลักเป็นลวดลายดอกไม้แสนงาม ทั้งสี่ข้าก็ยังฝั่งมุกราตรีประดับเอาไว้
ในน้ำแข็งก็ยังมีกลิ่มหอมประหลาดกระจายออกมาด้วย…ซ่งซีเยวี่ยช่างสังเกตสังกา เมื่อเห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งคล้ายจะมองไปรอบทิศเพื่อหาที่มาของกลิ่นหอมจึงแนะนำไปว่า “นี่คือผลึกหอม[2]เจ้าค่ะ เครื่องหอมโดยทั่วไปเมื่อนำมาใช้ก็จะต้องเผาให้เกิดควัน แต่ผลึกหอมชนิดนี้กลับเป็นไปในทางตรงข้าม จะต้องนำมาวางไว้ในน้ำแข็งจะค่อยๆ มีกลิ่นหอมกระจายออกมาเจ้าค่ะ”
ซ่งหรูเซวียนจึงเข้าไปเปิดผ้าครอบหีบน้ำแข็งออก แล้วเชิญ เว่ยฉางอิ๋งเขาไปดูใกล้ๆ ปรากฏว่าเห็นตรงกลางน้ำแข็งที่สลักเป็นรูปดอกบัวมีเครื่องหอมชิ้นหนึ่งวางอยู่บนถาดอำพัน เครื่องหอมนี้มีสีงาช้างเข้ม โปรงแสง ดูไปแล้วไม่ค่อยสะดุดตานัก แต่พอขยับเข้าไปใกล้ๆ กลับรู้สึกได้ถึงกลิ่นหอมแสนสดชื่นที่ปะทะเข้ามาตรงหน้า
เว่ยฉางอิ๋งเป็นบุตรสาวบ้านใหญ่ในตระกูลสูงศักดิ์ เห็นความมั่งคั่งและพิเศษพิสดารต่างๆ มาจนเคยชินแล้ว ทว่าเมื่อมาเห็นของชิ้นนี้ก็ยังอดประหลาดใจไม่ได้ กล่าวว่า “ใต้หล้านี้มีเครื่องหอมประหลาดเช่นนี้ด้วยหรือ?”
“ครั้งท่านพ่อดำรงตำแหน่งอยู่ที่เจ๋อโจว พ่อค้าชาวเซียนหลัว[3]ไปค้าขายที่เจ๋อโจว ครั้งนั้นไม่มีผู้ใดรู้จักของสิ่งนี้ แต่พ่อค้าผู้นั้นกลับบอกว่ามันมีค่าเสียยิ่งกว่าเครื่องหอมใดๆ เขามีทั้งหมดเพียงหนึ่งกล่องเล็กๆ เท่านั้น แต่หากไม่ได้ทองพันชั่งก็จะไม่ขาย …คนในตลาดล้วนเห็นเขาเป็นคนบ้า! ภายหลังพ่อค้าผู้นั้นขายอยู่หนึ่งปีก็ยังไม่หมด ที่สุดก็รู้จักฉลาดขึ้นมาบ้าง โดยเข้ามาสอบถามตามบ้านหลังใหญ่ๆ ในเจ๋อโจวทีละบ้านเจ้าค่ะ” ซ่งหรูเซวียนหัวเราะฮิๆ แล้วเอ่ยต่อไปว่า “เมืองเจ๋อโจวอยู่ใกล้กับเซียนหลัวเพียงไม่เท่าใด แม้ว่าภายในเมือง ด้วยความที่เป็นตัวเมืองจึงนับได้ว่ามีความเจริญทว่าจะทัดเทียมกับเมืองหลวงนี่ได้อย่างไร? คนบ้านใหญ่โตในแถบนั้นแม้จะมาจากตระกูลใหญ่โต ทว่าก็ล้วนเป็นในสายที่ค่อนข้างห่างไกล วันๆ เอาแต่นับข้าวสารนับเสบียง ที่ใดจะยอมมาฟุ่มเฟือยเวลาในการหาเลี้ยงปากท้องกับเรื่องของงามๆ แปลกตาเล่า? หากมิใช่วาท่านแม่ติดตามท่านพ่อไปด้วย ผลึกหอมกล่องนี้ก็จะกลายเป็นไข่มุกงามที่ถูกทิ้งขวางแล้วเจ้าค่ะ!”
เว่ยเซิ่งเซียนรีบตอบไปว่า “ถ้าฉางอิ๋งชอบ สักพักแบ่งครึ่งหนึ่งไปเถิด น่าเสียดายที่พ่อค้าชาวเซียนหลัวผู้นั้นก็ซื้อหามาจากที่อื่น นอกจากพ่อค้าผู้นั้นแล้ว ผู้อื่นล้วนหาผลึกหอมชนิดนี้ไม่ได้ หาไม่แล้วก่อนกลับมาก็จะต้องซื้อมาเพิ่มอีกสักหน่อย”
“เช่นนั้นข้าก็ต้องขอบคุณท่านอาแล้วเจ้าค่ะ! ข้ารู้สึกสงสัยใคร่รู้กับกลิ่นหอมประหลาดเช่นนี้เสียจริงๆ!” เว่ยฉางอิ๋งเองก็ไม่ได้บอกปัดแต่อย่างใด ประการแรกเพราะนางเป็นท่านอาแท้ๆ ที่ไม่เจอกันหลายปี ผู้เป็นอามอบของเล็กน้อยแก่หลานสาว หากนางรับของไว้ก็จะทำให้รู้สึกว่าไม่ได้เห็นเป็นคนอื่นคนไกล ประการที่สองเว่ยเซิ่งเซียนก็เป็นคนมีโชคดี มีเงินทองมหาศาล สำหรับอาหลานสองคนแล้วเรื่องนี้ไม่นับว่าเป็นสิ่งใดเลย
ปรากฏว่าเมื่อเห็นนางรับคำในทันที เว่ยเซิ่งเซียนสามแม่ลูกล้วนมีรอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏบนใบหน้า กริยาท่าทีก็ดูผ่อนคลายลงอย่างมาก แล้วสนทนาถึงเรื่องราวระหว่างที่ห่างกัน …โดยหลักแล้วเป็นเว่ยเซิ่งเซียนเอ่ยถามถึงแม่เฒ่าซ่ง …เว่ยฉางอิ๋งเพิ่งเคยเห็นว่าบุตรสาวของอนุชื่นชมแม่ใหญ่ถึงเพียงนี้เป็นหนแรก จนแม้แต่เว่ยเจิ้งอินซึ่งเป็นบุตรสาวแท้ๆ ยังไม่ได้มีท่าทีเป็นห่วงเป็นไยแม่เฒ่าซ่งมากมายเท่าเว่ยเซิ่งเซียนเลย เว่ยเซิ่งเซียนนั้นชื่นชม จนถึงขั้นเรียกได้ว่าเทิดทูลแม่เฒ่าซ่งจากหัวจิตหัวใจเลยทีเดียว!
เดิมที เว่ยฉางอิ๋งเคยได้ยินอาสะใภ้และอาหญิงรองบอกว่าท่านอาหญิงใหญ่ผู้นี้ถูกบีบคั้นจากคนในตระกูลฝั่งสามี จึงคิดจะหาโอกาสสอบถามนางสักหน่อย ว่าตนเองสามารถช่วยเหลือได้หรือไม่ ปรากฏว่าเว่ยเซิ่งเซียนกลับเอาแต่สอบถามว่าตลอดสิบกว่าปีมานี้แม่เฒ่าซ่งเป็นอย่างไรอย่างละเอียดถี่ยิบ กระทั่งนางอยากสอบถามถึงท่านอาเขยที่ไม่อยู่ในตอนนี้พอเป็นพิธีสักหน่อยก็ยังเอ่ยแทรกไปไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องอื่นเลย
จนกระทั่ง เว่ยฉางอิ๋งรับรองหนแล้วหนเล่าว่าในหลายปีมานี้แม่เฒ่าซ่งล้วนอยู่สุขสบายดี สุขภาพร่างกายก็แข็งแรงดีเป็นนักหนา …เมื่อถูกเว่ยเซิ่งเซียนเค้นถามมากมายเกินไป เว่ยฉางอิ๋งก็แทบจะเล่าเรื่องที่ตนปีนกำแพงไปแอบดูแม่เฒ่าซ่งระบายอารมณ์และลงมีทุบตีสามีออกมา เพื่อพิสูจน์ว่าแม่เฒ่าซ่งนั้นยังคงแข็งแรงดีดังเดิมอย่างแน่นอน …เคราะห์ดีที่ยามนางเกือบเอ่ยปากออกไปก็ยังพอมีสติขึ้นมาบ้างหลายส่วนและยับยั้งเอาไว้ได้ทัน จึงสามารถรักษาฐานะแบบอย่างอันสูงสุดของสตรีของแม่เฒ่าซ่ง ซึ่งเป็นท่านยายในดวงใจของซ่งซีเยวี่ยและซ่งหรูเซวียนเอาไว้ได้…
กว่าจะทำให้เว่ยเซิ่งเซียนวางใจลงได้เสียที แม้ว่าตัวนางจะอยู่ในห้องเย็น เว่ยฉางอิ๋งก็อดต้องปาดเหงื่อไม่ได้ เว่ยเซิ่งเซียนเองก็รู้สึกว่าวันนี้เป็นครั้งแรกที่ได้พบกับหลานสาว แต่กลับเอาแต่ตนเองสอบถามถึงแต่แม่ใหญ่ จึงรู้สึกขัดเขินขึ้นมา แล้วอธิบายไปอย่างกระวนกระวายว่า “ท่านแม่เป็นคนมีเมตตามาแต่ไร สุขภาพของพี่ชายใหญ่ก็ไม่ใคร่ดีนัก น้องรองก็มิใช่บุตรแท้ๆ ของท่านแม่ นานมาแล้วก็ยังถูกท่านยะ…ถูกบางคนยุยง จึงมักมีเรื่องเข้าใจผิดกับท่านแม่ ข้าคิดว่าท่านแม่อายุมากแล้ว ไม่ควรให้คนสูงวัยเช่นนั้นต้องมาเป็นกังวลกับเรื่องเหล่านี้ หากน้องรองยังคงคิดไม่ตก ข้าก็จักต้องหาเวลาว่าไปพูดคุยกับเขาสักหน่อย”
เว่ยฉางอิ๋งปาดเหงื่อ ฝืนยิ้มพลางว่า “ท่านอาใหญ่โปรดวางใจเจ้าค่ะ ท่านอารองอยู่ดีเจ้าค่ะ ไม่ปิดบังท่านอาใหญ่ เมื่อต้นปีที่ข้ามาจากเฟิ่งโจวและมาแต่งงานที่เมืองหลวง ด้วยฉางเฟิงยังเด็กนัก จึงได้ท่านอารองและพี่ชายสามเป็นคนมาส่งตัวเจ้าค่ะ”
…แม้ว่าแม่เฒ่าซ่งจะเห็นเว่ยฉางอิ๋งเป็นดังสมบัติล้ำค่าที่ประคองเอาไว้ในมือ คำพูดแรงๆ สักครึ่งคำก็ยังไม่เคยเอ่ยกับนาง แต่เว่ยฉางอิ๋งเองก็รู้ถึงกลอุบายของท่านย่าของตนดี …เพราะนางเคยเห็นมากับตาว่าพี่ชายสามเว่ยฉางซุ่ยตัวสั่นงันงกเพียงใดยามอยู่ต่อหน้าท่านย่า! ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าก่อนที่แม่เฒ่าซ่งจะติดตามเว่ยฮ่วนกลับมาบ้านเกิดในครานั้น ก็ยังทิ้งนางหวงที่ยังสาวเอาไว้ที่เมืองหลวงคนหนึ่ง เพื่อคอยกดอาสะใภ้รองแซ่ตวนมู่ไว้ถึงสิบกว่าปี ประสาอะไรกับตัวแม่เฒ่าซ่งเอง …ท่านย่าที่เป็นคนเช่นนี้ แต่ในสายตาของเว่ยเซิ่งเซียนกลับยังคงมีคำว่า ‘เมตตา’ หลงเหลืออยู่นั่นก็ยังแล้วไป เพราะอย่างไรเสียแม่เฒ่าซ่งก็ใจเย็นเป็นน้ำยามปฏิบัติต่อสายเลือดแท้ๆ ของนาง โดยเฉพาะกับเว่ยเจิ้งหงสามพ่อลูก บางทีแต่แรกนั้นแม่เฒ่าซ่งอาจปฏิบัติต่อเว่ยเซิ่งเซียนไม่เลวนักเช่นเดียวกันกระมัง?
แต่เว่ยเซิ่งเซียนกลับดูเป็นห่วงว่าแม่เฒ่าซ่างจะจัดการเว่ยเซิ่งอี๋ไม่ได้? เว่ยฉางอิ๋งไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่า ครั้งนั้น เว่ยเซิ่งเซียนซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของแม่เฒ่าซ่ง ถูกเลี้ยงดูมาอย่างไรกันแน่…
__________________________
[1] ผมทรงหลิงอวิ๋นจี้ยอดเขา เป็นทรงผมที่ใช้ผมปอยหนึ่งทำให้โค้งขึ้นมาเป็นวงแหวนขนาดใหญ่ตั้งอยู่บนหัว
[2] ผลึกหอม เป็นเครื่องหอมที่มาจากเมืองเซียนหลัวหรือประเทศไทยในสมัยนั้น คาดว่าคือ “พิมเสน”
[3] เซียนหลัว เป็นชื่อเรียกกรุงสุโขทัยรวมกับเมืองละโว้ (อยุธยา) ซึ่งก็คือสยาม หรือไทยในปัจจุบัน