ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 11 เข้าคารวะ
เว่ยฉางอิ๋งอาบน้ำเสร็จแล้วเข้ามาในห้อง แต่กลับเห็นว่าเสิ่นจั้งเฟิงไม่อยู่ คิดในใจว่าเขาคงยังอาบน้ำอยู่
วันนี้เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน นางเองก็เหนื่อยแล้ว เมื่อลูบไปที่ผมยาวก็ยังคงเปียกอยู่บ้าง แต่ไม่ถึงกับเปียกจนทำให้ผ้าห่มเปียก จึงให้พวกของนางหวงปูที่นอน แล้วสั่งให้พวกนางออกไป และนอนหลับไปทันที
…ในระหว่างที่กำลังสะลึมสะลืออยู่นั้น พลันรู้สึกว่าผ้าห่มบนตัวถูกเปิดออก และมีคนขึ้นมาทับตัวนาง นางพึมพำออกมาสองสามประโยคซึ่งก็ไม่รู้ว่าพูดสิ่งใด นางก็จูบปิดปากเสียแล้ว
จากนั้นก็เรื่องก็ดำเนินไปตามขั้นตอนของมัน ความรู้สึกไม่สบายยามสอดใส่พลันทำให้นางตกใจตื่นขึ้นมา เมื่อลืมตาขึ้นมาก็เห็นเสิ่นจั้งเฟิงทับอยู่บนตัวนางด้วยร่างเปลือยเปล่า เสื้อตัวในและเอี๊ยมปิดหน้าอกที่นางใส่ตอนเข้านอนถูกปลดเปลื้องออกจนหมดและวางไว้ข้างๆ
เว่ยฉางอิ๋งร้องครางออกมาด้วยความเจ็บปวดหนหนึ่ง เสิ่นจั้งเฟิงได้ยินจึงเงยหน้าขึ้นมา แล้วจูบที่แก้มของนาง หัวเราะเบาๆ แล้วว่า “กอดข้าไว้แน่นๆ”
ตะขอเกี่ยวมุ้งลายลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองสั่นไหวอยู่น้อยๆ เสียงดังรบกวนจากสายฝนฤดูร้อนข้างนอกหน้าต่างพัดสาดเข้ามากระทบตัวม้ากลบเสียงภายในห้องไปเสียสิ้น
หลังจากแนบชิดสนิทเนื้อซึ่งกัน เสิ่นจั้งเฟิงจูบที่ลำคอนางอยู่เนิ่นนาน เมื่อเห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งดูมีท่าทีอ่อนล้า จึงลุกขึ้นมาเรียกให้คนเข้ามาปรนนิบัติ ยามเขาหันหลังนั่งอยู่ที่ขอบเตียง ทำให้เว่ยฉางอิ๋งเห็นบาดแผลข้างหลังเขาพอดี… เป็นร่องรอยแนวนอนตัดกับแนวขวาง รอยข่วนลึกยาวชัดเจน แม้จะล้างให้สะอาดแล้วทว่ายังคงมีเลือดไหลอยู่ซิบๆ มีหลายแห่งที่เริ่มจะกลัดหนองแล้ว โดยเฉพาะรอยกัดที่หัวไหล่ รอบๆ รอยฟันนั้นเป็นรอยช้ำขนาดใหญ่ทีเดียว
แม้เว่ยฉางอิ๋งจะคิดมาตลอดว่าต้องการจัดการเขาให้เชื่อฟังแต่โดยดี แต่ยามนี้ เมื่อมาเห็นรอยแผลเช่นนี้ นางก็อดจะมองจนเหม่อไปมิได้ จึงกล่าวว่า “แผลของเจ้านี่…เหตุใดจึงไม่ใส่ยาสักที?” หากว่าได้ใส่ยา ต่อให้เพียงแค่หนเดียว ตามหลักแล้วป่านนี้แผลบางส่วนก็น่าจะปิดและแห้งแล้ว ตอนนี้ดูไปแล้วบาดแผลเหล่านี้คงยังมิได้ใส่ยาแม้สักหนจึงได้มีอาการรุนแรงขึ้นถึงเพียงนี้
“อีกสองวันก็ดีขึ้นเอง” เสิ่นจั้งเฟิงพูดพลางหยิบเสื้อทับตัวในที่ข้างตั่งขึ้นมาคลุมไหล่ ยามนี้เขาหันแผ่นหลังให้เว่ยฉางอิ๋ง น้ำเสียงที่พูดออกมานั้นไม่ได้ใส่ใจใดๆ แต่สีหน้ากลับฉายแววความเจ้าเล่ห์ออกมา… เขารู้ว่าที่ภรรยาถามเช่นนี้เห็นชัดว่าเพราะใจอ่อนแล้ว
ปรากฏว่าเมื่อเขาจะลุกขึ้นนั้น เว่ยฉางอิ๋งเอื้อมมือไปดึงแขนเสื้อเขาเอาไว้โดยไม่ทันรู้ตัว เสิ่นจั้งเฟิงจงใจถามไปว่า “มีสิ่งใด?”
เว่ยฉางอิ๋งขบริมฝีปาก กล่าวว่า “อย่างไรก็ใส่ยาสักหน่อยเถิด ข้าเห็นว่าบนเสื้อตัวในของเจ้าก็มีรอยเลือดติดอยู่แล้ว… หากแห้งติดแล้วยามถอดออกกลัวจะเจ็บนัก” นางจำคำที่นางหวงเคยพูดได้ว่ายาใส่แผลโดยมากแล้วก็จะมีกลิ่นของยา ทั้งเสิ่นจั้งเฟิงยังบาดเจ็บเป็นบริเวณกว้าง หากใส่ยาแล้ว เมื่อเข้าไปใกล้คนสักหน่อยก็จะได้กลิ่นเอาได้ พอถึงยามนั้น…เขาเพิ่งจะแต่งงานใหม่ แล้วต้องใช้ยาใส่แผล ไม่ว่าจะใช้ที่ส่วนใด หากเล่าลือออกไปก็ล้วนทำให้คนเห็นเป็นเรื่องน่าขัน
ซึ่งแน่นอนว่าตัวเว่ยฉางอิ๋งเองก็ย่อมหลีกเลี่ยงเรื่องน่าขันเช่นนี้ไม่ได้เช่นกัน ทั้งยังอาจถูกหัวเราะเยาะเสียหนักยิ่งกว่า… หรือที่เขาไม่ยอมใส่ยาก็เพราะไม่อยากจะถูกหัวเราะเยาะรึ? หรือเพราะต้องการทดสอบข้า?
เสิ่นจั้งเฟิงคิดในใจว่า เจ้าก็พูดออกมาดังนี้แล้ว หากข้าตอบตกลง เช่นนั้นก็โง่เกินไปแล้ว เขาจึงยิ้มออกมาแล้วว่า “ไม่เป็นไรหรอก”
คำพูดเป็นเช่นนี้ แต่ยามเขาหันหน้ามานั้น คิ้วกลับขมวดเข้ามาแน่นๆ โดยไม่ทันรู้ตัว คล้ายว่ากำลังอดทนต่อความเจ็บปวดของแผลที่กำลังอักเสบ… ซึ่งแน่นอนว่าภาพนี้จะต้องแสดงให้เว่ยฉางอิ๋งเห็นอย่างชัดเจน
เว่ยฉางอิ๋งมองที่รอยเลือดบนแผ่นหลังของเขาซึ่งทะลุผ่านเสื้อทับตัวในออกมา นางเม้มปาก ที่สุดจึงได้กล่าวคำตามที่เสิ่นจั้งเฟิงวางแผนเอาไว้เป็นนานว่า “ยาที่พวกท่านอาให้มา…เจ้าวางไว้ที่ใดแล้ว? เอามาข้าจะทาให้เจ้า”
ยาเนื้อเนียนสีเขียวอ่อนแม้จะไม่มีกลิ่นยา ทว่าเมื่อทาลงไปบนแผลก็กลับรู้สึกเย็นมาก… นับไม่ได้ว่าเว่ยฉางอิ๋งทายาให้อย่างอ่อนโยน ยามปลายนิ้วแตะไปบนบาดแผลบางครายังขูดโดนแผลด้วย ดูท่าทีงกๆ เงิ่นๆ อย่างชัดเจน ทว่าเสิ่นจั้งเฟิงเคยต่อสู้ล้มลุกคลุกคลานมาแต่เล็กเขาจึงมิได้สนใจ ยามเขารู้สึกถึงปลายนิ้วของภรรยาที่ไล้เบาๆ ไปบนแผ่นหลัง มุมปากของเขาก็อดจะโค้งขึ้นมาน้อยๆ ไม่ได้ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ลำบากอิ๋งเอ๋อร์แล้ว”
เว่ยฉางอิ๋งช่วยเขาทายาอยู่เป็นนานก็ยังไม่อาจใส่ยาให้บาดแผลทั้งหมดได้จนหมด นางจึงเพิ่งตระหนักขึ้นมาว่าคืนนั้นตนลงมือหนักหนาสาหัสเพียงใด ยามนี้นางจึงรู้สึกสับสนไปหมด ทั้งรู้สึกผิดทั้งรู้สึกสงสารทั้งไม่อยากจะยอมรับจึงได้แต่นิ่งเงียบไม่พูดจา
เสิ่นจั้งเฟิงเองก็พอจะเดาถึงความรู้สึกของนางในยามนี้ได้ จึงแอบขันอยู่ในใจ เขาคิดจะเย้านางอีกสักสองสามประโยค แต่เมื่อคิดได้ว่าวันพรุ่งนางยังต้องเข้าไปคารวะมารดาตน หากหยอกเย้ากันดึกดื่นเกินไปก็เกรงว่ายามตื่นนอนจะไม่กระปรี่กระเปร่า เขาจึงไม่พูดแล้ว
ทั้งสองคนเอาแต่นิ่งเงียบจนใส่ยาเสร็จ เว่ยฉางอิ๋งกล่าวว่า “คืนนี้เจ้าอย่านอนหงายเป็นดีที่สุด หาไม่แล้วจะเช็ดเอายาที่ใส่แผลไว้ออกจนหมด”
เพิ่งจะสิ้นเสียงนาง เสิ่นจั้งเฟิงเอียงตาไปมองนางอย่างคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มหนหนึ่ง เว่ยฉางอิ๋งพลันนึกถึงที่เรื่องเขาทำยามนางหลับ หน้าจึงแดงขึ้นทันใด และโยนตลับยาไปใส่เขา กล่าวอย่างทั้งเขินทั้งโกรธว่า “แล้วแต่ว่าเจ้าจะนอนอย่างไร ข้าง่วงแล้ว!”
เมื่อเสิ่นจั้งเฟิงเก็บตลับหยกไปก็เห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งดึงผ้าห่มมาคลุมตัว และมุดตัวเข้าไปข้างใน ม้วนผ้าห่มรอบตัวแน่นคล้ายว่าคืนนี้จะไม่ออกมาเช่นนั้น พลางกล่าวเตือนด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าไม่อยากให้คนเข้ามาปรนนิบัติแล้วหรือ?”
….ย่อมต้องการแน่นอน หาแม่แล้วก็จะนอนไม่สบาย
หลังจากบ่าวเข้ามาปรนนิบัติและออกไปแล้ว เว่ยฉางอิ๋งก็ม้วนผ้าห่มรอบตัวแน่นอีกครั้ง แต่กลับถูกเสิ่นจั้งเฟิงสวมกอดจากทางด้านหลัง นางผลักแขนเขาออก แล้วกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “ข้าอยากนอนแล้ว!”
“อืม” เสิ่นจั้งเฟิงเอาคางเกยไว้ที่หัวนาง แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงหัวเราะว่า “ข้าก็ด้วย”
เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกแน่นไปทั้งตัว ผ่านไปสักพักก็กลับได้ยินเสิ่นจั้งเฟิงหายใจอย่างสงบเป็นจังหวะ ด้วยเขาหลับไปจริงๆ แล้ว ยามนี้นางจึงได้คลายผ้าห่มออกมา พลางนอนอิงที่แผ่นอกของเขาแล้วหลับไป
คืนนี้นอนไม่ใคร่ดีนัก ฝนยิ่งตกหนักขึ้นทุกที คล้ายว่าม้าศึกที่อยู่ข้างใต้กันสาดจะถูกฝนสาดเสียจนพากันกระโดดโหยงเหยงขึ้นมา เสียงดึงๆ ดังๆ เหล่านั้นคอยวนเวียนอยู่ที่หูตลอดทั้งคืน ต่อให้ง่วงปานใดก็ยังถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาสองสามหน
ระหว่างนั้นเสิ่นจั้งเฟิงคล้ายจะตื่นขึ้นมาครั้งหนึ่ง ว่าแล้วมือไม้ก็อยู่ไม่เป็นสุข จึงถูกเว่ยฉางอิ๋งหยิกแขนเขาไปหลายหน…จนถึงวันรุ่งขึ้น เมื่อพวกของนางหวงเขามาปรนนิบัติดูแล ทุกคนทั้งนายบ่าวจึงดูไม่ใคร่สดชื่นนัก
พวกเขาพยายามรวบรวมเรี่ยวเรงอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อ และทานอาหารสักเล็กน้อย เว่ยฉางอิ๋งจึงบอกกับเสิ่นจั้งเฟิงว่า “ข้าจะไปคารวะท่านแม่”
เสิ่นจั้งเฟิงบอกว่า “พอดีว่าข้าว่าง ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”
จากนั้นทั้งสองคนก็เรียกให้คนเอารองเท้าไม้มา ในขณะที่กำลังเปลี่ยนอยู่บนระเบียงทางเดิน เมื่อมองไปข้างหน้าก็เห็นเสิ่นจวี้กำลังวิ่งมาบนทางเดินจากทางทิศตะวันตก หลังจากคำนับแล้วก็รายงานว่า “ท่านราชครูให้คุณชายไปพบที่ห้องหนังสือสักหน่อยขอรับ”
“บอกหรือไม่ว่าเป็นเรื่องใด?” เสิ่นจั้งเฟิงถาม
เสิ่นจวี้ส่ายหัว “คนที่มามิได้บอกขอรับ เพียงแต่เชิญให้คุณชายไปเดี๋ยวนี้ขอรับ”
เสิ่นจั้งเฟิงไตร่ตรองดูสักพัก เว่ยฉางอิ๋งจึงบอกว่า “ในเมื่อท่านพ่อมีเรื่อง เช่นนั้นเจ้าก็รีบไปเถิด ข้าจะไปหาท่านแม่เอง” นางแอบยิ้มน้อยๆ อยู่ในใจ ‘เสิ่นจั้งเฟิงถูกเรียกตัวไปปัจจุบันทันด่วนปานนี้ จะมีเรื่องที่บังเอิญถึงเพียงนั้นหรือ? ไม่รู้ว่าเป็นบ้านใหญ่ หรือบ้านสองเป็นคนจัดการ?’
หรือไม่ก็เป็นแม่สามี ฮูหยินซู?
เว่ยฉางอิ๋งสงสัยและคาดเดาเช่นนี้จนเดินมาถึงเรือนหลัก
เมื่อบ่าวชราเฝ้าประตูเห็นนางก็มีท่าทีเกรงใจยิ่ง “ฮูหยินน้อยสามมาแล้วหรือเจ้าคะ? โปรดรอสักครู่ ให้ข้าน้อยไปรายงานฮูหยินเจ้าค่ะ”
สักพักจากนั้นนางออกมาและเชิญเว่ยฉางอิ๋งเข้าไป
เพราะฝนกำลังตก เมื่อเข้ามาในลานบ้านแล้วก็ต้องเดินไปบนระเบียงทางเดินทางทิศตะวันตก แต่กลับมองเห็นว่าต้นไม้ดอกไม้ที่จัดวางเอาไว้ในลานบ้านล้วนถูกฝนสาดเสียจนล้มระเนระนาดไปหมด ตลอดทางมองเห็นว่ามีกรงนกสามกรงห้ากรงแขวนอยู่บนระเบียงทางเดิน แต่ละกรงมีนกฮว่าเหมยอยู่หนึ่งตัว กำลังพากันส่งเสียงร้องระงม ทั้งคึกคักและต่อเนื่องกันเสียยิ่งกว่าเสียงม้าศึกที่ถูกฝนสาดเสียอีก
ที่ประตูของห้องโถงกลาง มีสาวใช้สวมเสื้อผ้าหลากสีสี่ห้านางยืนเรียงกันอยู่ ดวงตามองตรงไปข้างหน้า รอจนเว่ยฉางอิ๋งเดินเข้ามาใกล้ จึงได้พากันคารวะอย่างพร้อมเพรียงและกล่าวทักทายไปประโยคหนึ่ง
เว่ยฉางอิ๋งและพวกนางพุดคุยไปตามมารยาทสักคำ จึงเดินเข้าประตูไป เมื่อเดินเลี้ยวผ่านฉากกันลมประดับแร่กลีบหินเป็นภาพทิวทัศน์ภูเขาต้นไม้ดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิ ก็มองเห็นภาพของพรมรูปมันดาลาทรงกลมสีแดงเลือดสดปูอยู่บนพื้น และฮูหยินซูนั่งตัวตรงอยู่บนตั่งแก้วตัวเตี้ยๆ วันนี้ฮูหยินซูเปลี่ยนมาสวมเสื้อสร้างหรูแขนกว้างลายเป็ดคู่ตัวเชื่อมกันบนผ้าพื้นสีน้ำเงิน สวมกระโปรงหลัวฉวินสีน้ำทะเล เกล้าผมให้มวยผมเอียงไปข้างหนึ่ง ปักปิ่นหยกที่รูปร่างค่อนข้างกลมคู่หนึ่ง สีหน้าของนางราบเรียบ มองไม่ออกว่ารู้สึกยินดีหรือกำลังโกรธ
ที่นั่งแรกในตำแหน่งที่นั่งหลักยังคงว่างอยู่ กลายเป็นว่านางตวนมู่มาถึงแล้ว ลูกสาวทั้งสามของบ้านสองก็ล้วนอยู่ด้วย เสิ่นซูโหร่วบุตรสาวคนโตและเสิ่นซูเยวี่ยบุตรอนุคนรองยืนอยู่ข้างๆแม่ใหญ่ของตนคนหนึ่งซ้ายคนหนึ่งขวา และพากันคำนับนาง เสิ่นซูเหยียนคนเล็กสุดกำลังถูกนางตวนมู่กอดเอาไว้ตรงหน้าเข่า
เมื่อเว่ยฉางอิ๋งคารวะฮูหยินซูและกล่าวคำทักทายเรียบร้อยแล้วก็หันไปคารวะนางตวนมู่ ยามอยู่ต่อหน้าฮูหยินซูนั้นนางตวนมู่ดูเกรงอกเกรงใจนางมาก คอยบอกแต่ว่า “น้องสะใภ้สามอย่าได้มากพิธิเช่นนี้เลย เมื่อวานนี้ซูเหยียนซุกซนไปรบกวนพวกเจ้า ข้ายังมิทันได้ขออภัยเจ้าเลย”
“พี่สะใภ้รองกล่าวเช่นนี้ ซูเหยียนออกจะร่าเริงเฉลียวฉลาด ข้าเห็นก็ชอบแล้วเจ้าคะ” เว่ยฉางอิ๋งยิ้มน้อยๆ พลางกล่าวว่า “นางเพียงแค่ไปที่เรือนจินถงครู่หนึ่ง ไยต้องขออภัยเล่า? หรือว่าหลานสาวจะไปเยี่ยมอาสะใภ้สักหน่อยไม่ได้หรือ? ใช่แล้ว พูดขึ้นมา ข้ายังมิทันได้ขอบคุณพี่สะใภ้ที่ส่งผลอิงเถามาให้เลยเจ้าค่ะ”
นางตวนมู่กำลังจะพูด ฮูหยินซูกลับพูดแทรกการสนทนาของพวกนาง พลางขมวดคิ้วน้อยๆ กล่าวว่า “เมื่อวานข้าได้ยินว่าจั้งหนิงพยายามหลอกล่อให้ซูเหยียนไปที่เรือนจินถงหรือ?”
เว่ยฉางอิ๋งตอบไปพร้อมรอยยิ้มว่า “วานนี้น้องสี่ไปเยี่ยมสะใภ้ที่เรือนจินถงจริงเจ้าค่ะ แต่ว่า…” เมื่อได้ยินน้ำเสียงเช่นนี้ก็รู้ว่าฮูหยินซูต้องการจะสั่งสอนบุตรสาวเสียแล้ว เว่ยฉางอิ๋งไม่ต้องการให้เสิ่นจั้งหนิงนึกว่าตนเป็นคนมาฟ้องเรื่องของนาง
“นางเลอะเลือนเสียจริง!” ว่าแล้วฮูหยินซูก็มีสีหน้าโกรธขึ้นมา ไม่รอให้นางพูดจนจบก็ตัดบทนางขึ้นมาว่า “ข้าบอกนางไว้นานแล้วว่าอย่าไปรบกวนพวกเจ้า..แม่นมเถา เจ้าไปเรียกนางมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
หญิงมีอายุผู้หนึ่งซึ่งยืนอยู่ข้างหลังฮูหยินซูรีบน้อมตัว แล้วว่า “เจ้าค่ะ!” หญิงมีอายุผู้นี้แต่งกายดี มองออกว่าเป็นคนบ่าวที่มีหน้ามีตาคนหนึ่งของฮูหยินซู
นางตวนมู่และเว่ยฉางอิ๋งอดจะรีบกล่าวเตือนไปสองสามประโยคไม่ได้ “น้องสี่ยังเด็กนัก ไร้เดียงสาไม่รู้ความ ก็เพียงห่วงเล่นไปสักหน่อยจึงได้ไปที่เรือนจินถง ท่านแม่อย่าได้เอาความกับนางเลยเจ้าค่ะ!”
นางตวนมู่กล่าวอีกว่า “น้องสะใภ้สามก็มีใช่คนใจคอคับแคบ ใช่หรือไม่น้องสะใภ้สาม?”
“พี่สะใภ้รองกล่าวถูกต้องยิ่งเจ้าค่ะ” เว่ยฉางอิ๋งเม้มปากยิ้มแล้วว่า “วานนี้น้องสี่มาได้จังหวะพอดี สะใภ้กำลังฟังท่านอาว่านพูดถึงเรื่องที่มีหลายที่ในเรือนจินถงยังมิได้จัดแจงตกแต่ง กลายเป็นว่าได้เชิญให้น้องสี่มาร่วมแสดงความคิดเห็นด้วยพอดีเชียวเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินซูแค่นเสียงออกมาแล้วว่า “ล้วนเป็นพวกเจ้าเอาใจนาง! หากจะบอกว่านางยังเล็ก นางก็อายุสิบสี่ปีแล้ว งานเย็บปักถักร้อยไม่ได้เรื่องสักอย่าง แต่กลับโอหังอวดดียิ่ง! ไม่มีเรื่องใดที่นางไม่กล้าทำ! หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้นานไปจักไหวได้อย่างไร?”
นางตวนมู่ยิ้มพลางว่า “น้องสี่มีจิตใจดังเด็กไร้เดียงสา นับเป็นสิ่งที่หายากยิ่งนะเจ้าคะ”
“น้องสี่…” เว่ยฉางอิ๋งก็อยากจะเสริมไปอีกสักสองสามประโยค แต่ยามนี้ ที่ข้างนอกนั้นนางหลิวกลับกำลังเข้ามาพร้อมกับเสิ่นจั้งหนิง
เสิ่นจั้งหนิงจับแขนเสื้อนางหลิวเอาไว้แน่น แล้ววิ่งหลบไปซ่อนข้างหลังนาง ปากก็พึมพำว่า “ข้าทำสิ่งใดอีกแล้วหรือ? เหตุใดท่านแม่จึงได้เรียกข้ามาอีก?”
เว่ยฉางอิ๋งได้ยินคำจึงมองนางไปหนหนึ่ง กลับเห็นว่านางสวมกระโปรงรัดที่หน้าอกสีเขียวอ่อน สีของกระโปรงนั้นเรียบนัก แต่บนใบหน้าของนางกลับทาสีแดงและแป้งหนา แต่งหน้าสีจัดจ้านยิ่ง โดยเฉพาะสีแดงสดดังสีเลือดที่ทาตรงหางตาซึ่งแต้มไว้คล้ายเป็นรูปของหยดน้ำตา เพียงกวาดตามองไปก็ทำให้รู้สึกตื่นตกใจเสียจริงๆ
เด็กสาวสวยๆ อยู่แท้ๆ กลับทำจนเป็นเช่นนี้! ยามนี้มิใช่งานพิธีการเช่นงานที่ลูกสะใภ้คนใหม่มายกน้ำชา ฮูหยินซูจึงมิได้ไว้หน้าบุตรสาวเลยแม้แต่น้อย พอมือคว้าลูกกุญแจสีทองดอกหนึ่งได้ก็โยนเข้าใส่ทันที เสิ่นจั้งหนิงหลบไปได้อย่างคล่องแคล่วว่องไง จึงได้ยินฮูหยินซูด่าทอไปว่า “เจ้าทำหน้าตาเลอะเทอะเช่นนี้ ยังคิดจะไปที่ใดอีก?”
เสิ่นจั้งหนิงหลบพ้นกุญแจทองคำ แล้วมุมปากของนางก็คว่ำลง กล่าวว่า “ข้าไปบ้านท่านตา อีกสองวันก็จะเป็นวันเกิดของท่านพี่อวี๋เฟย!”
“เจ้ารู้ว่าใกล้จะถึงวันเกิดของลูกผู้พี่ของเจ้าแล้ว ยังจะแต่งตัวเช่นนี้ไปอีก เพราะอยากจะทำให้ข้าเสียหน้า หรือกลัวว่าจะไม่ทำลายสิริมงคลของลูกผู้พี่ของเจ้า?” ฮูหยินซูบันดาลโทสะเสียจนสั่งให้บ่าวทั้งซ้ายขวาไปจับเสิ่นจั้งหนิงมากดไว้ตรงหน้า ว่าแล้วก็ยื่นนิ้วไปลูบบนหน้าของนาง… ในมือพลันมีสีชาดแดงและแป้งหนาๆ ติดมาในทันใด นางรีบเช็ดมือบนผ้าเช็ดหน้าด้วยท่าทีรังเกียจ เช็ดอยู่เป็นนานจึงเช็ดออกจนสะอาด แล้วกล่าวอย่างโมโหว่า “เด็กสาวหน้าตาดีๆ เดิมทีแล้วอายุเท่านี้ก็ไม่จำเป็นต้องทาสีทาแป้ง หากชอบแต่งหน้านัก ทาแป้งทาชาดเพียงบางๆ ก็พอแล้ว แล้วนี่เจ้ามาทาข้างซ้ายชั้นหนึ่งข้างขวาชั้นหนึ่ง เจ้าแต่งหน้าหรือว่าทาสีผนังกันแน่?”
เสิ่นจั้งหนิงกล่าวอย่างน้อยใจว่า “ระยะนี้หญิงสาวในเมืองหลวงล้วนนิยมการแต่งหน้าเช่นนี้ ท่านแม่ไม่เข้าใจการแต่งหน้าแบบน้ำตาเลือดนี่ ทำไมต้องให้ข้าแต่งตัวตามที่ท่านแม่ชอบเสียให้ได้เล่าเจ้าคะ?”
ฮูหยินซูกล่าวอย่างเดือดดาลว่า “มีเพียงข้าผู้เดียวที่รู้สึกขัดตากับการแต่งหน้าของเจ้าเช่นนี้เสียเมื่อใด? เจ้าลองถามพวกพี่สะใภ้เจ้าดู! การแต่งหน้าที่เจ้าบอกว่าเป็นที่นิยมแบบนี้… นี่มันกลางวันแสกๆ หากเป็นยามค่ำคืน คนที่พบเห็นก็จะต้องถูกเจ้าทำเอาจนตกอกตกใจ! เจ้ายังนึกว่างดงาม!”
“ยามนี้กำลังเป็นที่นิยมในเมืองหลวง” เสิ่นจั้งหนิงเบ้ปากแล้วกล่าวว่า “ท่านแม่อายุปูนนี้มองดูว่าไม่งดงาม แต่อายุเช่นพวกเรากลับเห็นว่างดงาม!”
“พี่สะใภ้สามของเจ้าก็โตกว่าเจ้าไม่กี่ปี เจ้าลองถามนาง สารรูปของเจ้ายามนี้มันน่าดูหรือว่าน่าเกลียดกันแน่!” ฮูหยินซูโกรธเสียจนตบโต๊ะไปหนหนึ่ง พลางตวาดออกมา!
_____________________________