ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 110 เห็นใจ
…หลังจากส่งตวนมู่ซินเหมี่ยวกลับไปด้วยสภาพที่โรยแรงเต็มทัน เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกแต่เพียงว่าเสื้อผ้าสามชั้นทั้งข้างในข้างนอกล้วนเปียกชุ่มจดหมด นี่นางยังอยู่ในห้องเย็นด้วย หากอยู่ข้างนอกเกรงว่าไม่รู้ต้องผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้ากี่ตัวกัน?
“ตวนมู่ซินเหมี่ยวผู้นี้ทรมานข้ายิ่งนัก!” หลังจากส่งแขกกลับมาแล้วกลับเข้าในห้อง เว่ยฉางอิ๋งก็เอนตัวลงบนตั่งนอน ปลงอนิจจังว่า “จะว่าไปวันนี้ก็โชคดีที่มีนางอยู่พอดี”
“ข้าน้อยกลับรู้สึกว่า คุณหนูแปดหมกมุ่นในศาสตร์การแพทย์เหลือเกินเจ้าค่ะ!”นางหวงเห็นนางในสภาพเหงื่อโทรมกาย จึงเอาพัดวงกลมายืนช่วยพัดให้นางช้าๆ ที่ข้างเตียง เอ่ยไปพลางยิ้มน้อยๆ
เว่ยฉางอิ๋งเองก็เห็นด้วยกับคำพูดนี้แล้ว เห็นชัดว่าตวนมู่ซินเหมี่ยวเป็นคนที่ภายนอกต่างกับภายใน ภายนอกนั้น คงเพราะได้รับการอบรมสอนสั่งในตระกูลสูงศักดิ์มาแต่เล็กจนโต นางจึงมีกริยามารยาทตามที่คุณหนูผู้ดีพึงมีอยู่อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ซึ่งตลอดหลายปีมานี้ ทุกคนในเมืองหลวงต่างก็รู้ถึงคุณลักษณะนี้ของตวนมู่ซินเหมี่ยวกันถ้วนหน้า เช่นเดียวกับที่รู้กิติศัพท์นิสัยประหลาดทั้งเอาใจยากของจี้ชวี่ปิ้ง เมื่อเอ่ยถึงตวนมู่ซินเหมี่ยวศิษย์ของเขา ฮูหยินซูซึ่งเป็นคนที่รู้ข่าวสารต่างๆ มากมาย กลับยังนึกว่าตวนมู่ซินเหมี่ยวเป็นเพียงคุณหนูมีตระกูลที่ไปร่ำเรียนวิชาแพทย์เล็กๆ น้อยๆ กับจี้ชวี่ปิ้งเท่านั้น …เมื่อบอกว่าเป็นคุณหนูมีตระกูล ไม่ว่าจะมีคำขยายใส่เพิ่มไปอีกกี่คำ อย่างไรก็ยังเป็นคุณหนูมีตระกุลอยู่ดี แต่ในความเป็นจริงแล้ว นิสัยของตวนมู่ซินเหมี่ยวกลับเหมือนกับอาจารย์ของนางทุกกระเบียดนิ้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังหมกมุ่นในศาสตร์การแพทย์เป็นอย่างยิ่ง หมกมุ่นจนไม่ลืมหูลืมตา และไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อยว่าพฤติกรรมของตนจะทำให้คนเข้าใจผิดและวางตัวลำบากเยี่ยงใดบ้าง
ก็เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่นางตามรังควานจะเอาเครื่องหยกจากเว่ยฉางอิ๋งเสียให้ได้ กับคราวนี้ที่เอาแต่ดึงเว่ยฉางอิ๋งมาพร่ำพรรณนาเรื่องหลักการแพทย์ไม่ยอมหยุดหย่อน เรื่องแรกนั้นเพราะหยกสามารถนำมาทำเป็นเครื่องประดับยาได้ หาไม่แล้วคิดว่าต่อให้เอาหยกชั้นเลิกเพียงใดมากองไว้ตรงหน้า ตวนมู่ซินเหมี่ยวก็ยังคร้านจะมองสักหนเลย เรื่องหลังนั้นกลับเพราะนึกว่าตนได้พบกับสหายรู้ใจ ด้วยเหตุนี้จึงกลัวจะคุยกันไม่ลึกซึ้งพอ…น่าเสียดายก็แต่เว่ยฉางอิ๋งแบกชื่อเสียงว่าถือกำเนิดในตระกูลมีชื่อด้านบุ๋นเป็นที่สุดในเขตทะเล แต่ความรู้จริงๆ นั้นกลับไม่เอาไหนเลย ด้วยกลัวว่าจะทำให้ตระกูลเสียหน้า เป็นตายอย่างไรจึงไม่กล้าสนทนากับนางต่อไป ตวนมู่ซินเหมี่ยวจึงได้แต่จากไปอย่างอาลัยอาวรณ์และเสียดายยิ่ง…
ยามนี้มาคิดๆ ดู หากต้องสนทนาเรื่องการแพทย์แสนสูงส่งลึกล้ำเหล่านั้นกับตวนมู่ซินเหมี่ยวต่อไป เว่ยฉางอิ๋งก็ยังรู้สึกขนพองสยองเกล้าอยู่เลย แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงโอดครวญว่า “ข้ารู้ว่านางหมกมุ่นในศาสตร์การแพทย์ เพียงแต่ข้าไม่รู้เรื่องตำราแพทย์เลยแม้แต่หยิบมือเดียว แต่นางก็เอาแต่พร่ำพูดว่า ‘ปรากฏว่า สมกับที่เป็นบุตรสาวบ้านใหญ่ตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจว’ เล่นเอาข้าไม่อาจบอกนางไปตรงๆ ได้ว่าฟังที่นางพูดไม่รู้เรื่องเลย!”
คนทั้งห้องพากันหัวเราะขึ้นมา เพราะสาวใช้ตัวน้อยสองสามคนอายุยังน้อย เสียงหัวเราะของพวกนางจึงแจ่มชัดเป็นพิเศษ เว่ยฉางอิ๋งส่ายตาไปเห็นจูหลาน นึกเรื่องก่อนหน้านี้ขึ้นมาได้ จึงเอ่ยถามไปอย่างสงสัยว่า “เหตุใดเมื่อครู่นี้จูหลานเจ้าจึงฟังเรื่องที่ตวนมู่ซินเหมี่ยวพูดรู้เรื่อง?”
เมื่อนางถามมาดังนี้ ทุกคนจึงพากันส่งสายตาไปทางจูหลาน จูหลานพลันหน้าแดงขึ้นมาทั้งหน้า โบกชายเสื้อไปมา กล่าวว่า “เรียนฮูหยินน้อย ข้าน้องฟังรู้เรื่องที่ใดกันเล่าเจ้าคะ? ก่อนนี้ แม้ท่านป้าจะสอนให้รู้จักตัวหนังสือบ้างเพื่อจะได้ไปทำบัญชี แต่ข้าน้อยเอาแต่ห่วงเล่น จนทำให้ท่านอาอ่อนใจ จึงร่ำเรียนเรื่อยเปื่อยมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเจ้าค่ะ!”
“เช่นนั้นที่เมื่อครู่ที่เจ้าว่า …ได้ฟังแล้วก็ตกตะลึง จนเอาของเข้ามาส่งให้ช้าเล่า?” ทุกคนล้วนเอ่ยถามอย่างสงสัย
จูหลานได้ยินคำก็ยิ่งหน้าแดง กล่าวว่า “พะ…เพราะว่าตอนที่ข้าน้อยกำลังจะเข้าไป ได้ยินคุณหนูตวนมู่แปดพูดถึง …พูดถึงเรื่องเหล่านั้น …ข้าน้อย…ข้าน้อยกลับเข้าใจผิดไป นึกว่าเหตุใด…เหตุใดกลางวันแสกๆ คุณหนูแปดจึงพูดถึงเรื่องพวกนั้นกับฮูหยินน้อยต่อหน้าคนทั้งห้องเจ้าค่ะ? ดังนั้นจึงตกใจจนเหม่อไปพักหนึ่ง พอได้ยินเสียงฮูหยินน้อยถามจึงได้สติแล้วเข้าประตูไปเจ้าค่ะ”
ก่อนหน้านี้เว่ยฉางอิ๋งฟังเรื่องที่ตวนมู่ซินเหมี่ยวพูดเป็นน้ำไหลไฟดับเสียจนหัวหมุนตาลาย พอหันกลับมาก็ลืมไปหมดแล้วว่านางพูดสิ่งใดบ้าง แต่ก็ฟังไม่ออกว่ามีเรื่องผิดธรรมเนียมที่ใด ฟังจูหลานพูดมาดังนี้จึงยิ่งสงสัย แล้วเอ่ยเร่งรัดไปว่า “นางพูดสิ่งใด?”
ทุกคนพากันเตรียมหูฟัง จูหลานถูกเค้นถาม จึงจำต้องเอ่ยไปอย่างติดๆ ขัดๆ ว่า “นะ…นางบอกว่า…หยินหยางสอดประสานบ้าง…เลือดลมบ้าง…ข้าน้อย… ข้าน้อยคิดว่านี่มิใช่เรื่องที่ท่านอาสอนฮูหยินน้อยเมื่อครั้งก่อนออกเรือนหรอกหรือ? คุณหนูตวนมู่แปดยังไม่ทันออกเรือนเลย แล้วมาพูดเรื่องนี้กับฮูหยินน้อยกลางวันแสกๆ… ข้าน้อยจึง…”
“…” หรือว่าตอนที่จูหลานมาถึงนั้น มาได้ยินตวนมู่ซินเหมี่ยวกำลังอธิบายถึงเลือดลมในศาสตร์การแพทย์ช่วงนั้นพอดี ครั้งร่ำเรียนคำเฉพาะต่างๆ มากมาย สาวใช้ตัวน้อยไม่ได้ตั้งใจเรียน จึงรู้จักแค่เพียงครึ่งๆ กลางๆ ทว่าก่อนออกเรือนนางหวงสอนเรื่องหลักการความสัมพันธ์ระหว่างคน[1]ให้แก่เว่ยฉางอิ๋ง คิดว่านางสงสัยใคร่รู้จึงได้ไปแอบฟัง …ทว่าเพราะก่อนนี้นางหวงเกิดมาในตระกูลบ่าวที่สืบทอดกันมา ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นบ่าวที่มีหน้ามีตายิ่ง มีความรู้ไม่เลว เมื่อมีความรู้ไม่เลว คำพูดคำจาก็จะรู้จักเลือกสรรคำที่สุภาพ
เมื่อใช้คำสุภาพก็ย่อมต้องฟังดูคลุมเครือ ซึ่งแน่นอนว่าเว่ยฉางอิ๋งที่ไม่ตั้งอกตั้งใจเรียนจึงฟังไม่รู้เรื่อง ส่วนจูหลานที่แอบฟังอยู่นั้นคงเพราะตั้งใจฟังมาก แต่กลับเพราะตนเองร่ำเรียนมาน้อยจึงฟังไม่รู้เรื่อง …ดังนั้นเมื่อมาฟังตอนที่ตวนมู่ซินเหมี่ยวเอ่ยถึงเลือดลม แล้วเอามาเทียบกับคำสอนที่นางหวงสอนให้แก่เว่ยฉางอิ๋งที่ตนเคยจำได้ เมื่อได้ยินตวนมู่ซินเหมี่ยวบรรยายเรื่องศาสตร์แพทย์ ก็กลับหลงนึกไปว่าคุณหนูตวนมู่แปดผู้นี้เป็นคนเปิดเผยบ้าบิ่น กลางวันแสกๆ คุณหนูผู้ดีที่ยังไม่ออกเรือนกลับวิ่งมาที่เรือนจินถงเพื่อสนทนาเรื่องลับในห้องกับเว่ยฉางอิ๋งซึ่งเป็นภรรยาคนแล้ว…
ก็มิน่าเล่านางจึงบอกว่าตนเองตกใจเสียจนเหม่อ หากว่ากันตามความเข้าใจของนางแล้ว นางไม่ได้ตกใจจนเผลอทำขนมกุหลาบกวนแป้งและน้ำกุหลาบร่วงลงมาก็นับว่าไม่เลวแล้ว …นางจึงลำบากใจนักยามต้องตอบคำตวนมู่ซินเหมี่ยว อีกทั้งไม่ไปชี้หน้าต่อว่าอีกฝ่ายว่าไร้ยางอาย และยังรู้จักเลือกใช้คำสุภาพคลุมเครือเอ่ยไปว่า “ตกตะลึงไปพักหนึ่ง”…
คนในห้องทำตัวไม่ถูกกันไปเนิ่นนาน นางหวงฝืนยิ้มพลางว่า “เวลาก็ล่วงเลยมานานแล้ว ดูเวลา คุณชายก็ใกล้กลับมาแล้ว แต่ละคนรีบไปทำงานเถิด”
ทุกคนพากันปาดเหงื่อและตอบรับไปว่า “ท่านอากล่าวถูกต้องแล้ว รีบไปทำงาน รีบไปทำงานเถิด!”
รอจนทุกคนแยกย้ายกันไปหมดแล้ว จูสืออดหัวเราะออกมายกใหญ่ไม่ได้แล้วลากเอาจูหลานที่อายจนเงยหน้าไม่ขึ้นออกไปพร้อมกัน เว่ยฉางอิ๋งสบตากับนางหวงที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวในห้อง ล้วนไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี “ข้ายังนึกว่าจูหลานเป็นคนมีพรสวรรค์ด้านการแพทย์เสียอีก แม้แต่คำพูดล้ำลึกปานนั้นของตวนมู่ซินเหมี่ยวนางก็ยังฟังได้เข้าใจ ยังคิดว่าหากเป็นดังนี้แล้วก็อย่าให้พรสวรรค์ของนางเสียเปล่า ภายหน้าก็ให้นางร่ำเรียนกับท่านอาเสียเลย คิดไม่ถึงว่า…คิดไม่ถึงว่านางกลับไม่เอาถ่านยิ่งกว่าข้าเสียอีก!”
นางหวงกลั้นหัวเราะ กล่าวว่า “ฮูหยินน้อยพูดเช่นนี้ก็ปรามาสตนเองแล้วเจ้าค่ะ แม้การเรียนของฮูหยินน้อยจะไม่อาจเทียบกับคุณชายห้าที่บ้านเรา ทว่าวันหน้าคุณชายห้าก็ต้องสืบทอดตำแหน่งประมุขตระกูล อีกทั้งยังได้ท่านอาจารย์ชั้นยอดสอนสั่งมากับมือ ได้ท่านประมุขของเราคอยอบรมมาด้วยตนเอง ชื่อเสียงของตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจวล้วนต้องฝากไว้กับคุณชายห้านะเจ้าคะ! อีกประการ ฮูหยินน้อยก็เป็นผู้ฝึกวรยุทธ จึงไม่เอาจิตใจไว้กับการร่ำเรียนจนหมด หาไม่แล้วก็จะต้องไม่แตกต่างกันสักเท่าใด จูหลานก็เป็นเพียงสาวใช้ตัวน้อย ก่อนหน้านี้น้องเฮ่อให้พวกนางเขียนอ่านตัวอักษรไม่กี่ตัว ก็ด้วยเกรงว่าพวกนางอุตส่าห์เป็นถึงสาวใช้ของตระกูลเว่ยแต่กลับเป็นคนไม่รู้หนังสือ หากเรื่องนี้แพร่ออกไปก็จะขายหน้ายิ่ง ต่อให้นางตั้งใจร่ำเรียนแล้วจะเรียนได้กี่มากน้อยเล่าเจ้าค่ะ?”
เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้วเข้ามาอีก กล่าวว่า “ครั้งท่านอาสอนข้าก่อนหน้านี้นั้น…นาง…”
“เฮ่อ… ก่อนนี้ปล่อยปละพวกนางเกินไป วันหน้าควรต้องเข้มงวดสักหน่อยแล้วเจ้าค่ะ” เรื่องที่จูหลานถูกบีบจนต้องพูดว่านางเคยแอบฟังนางหวงสอนสั่งเว่ยฉางอิ๋ง เมื่อครู่นี้ทุกคนล้วนทำตัวไม่ถูกกันหมด เว่ยฉางอิ๋งจึงสั่งให้นางออกไป…แต่ในเมื่อพูดเรื่องนี้ออกมาแล้ว ย่อมไม่มีเหตุผลใดว่านางไม่ได้ทำความผิด นางหวงจึงตอบรับคำนาง
จะว่าไปแล้วเรื่องของจูหลานก็เป็นเรื่องที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เว่ยฉางอิ๋งย้ำเตือนนางหวงว่าอย่าลืมให้บทเรียนกับจูหลานด้วย เพื่อไม่ให้สาวใช้ตัวน้อยผู้นี้ลำพองจนลืมตัว ไม่ว่าเรื่องใดก็กล้าแอบฟังไปเสียหมด …เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้แล้ว จึงพูดไปอย่างขัดเขินว่า “ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว… จริงสิ มีเรื่องหนึ่งข้าอยากจะถามท่านอาแต่คราก่อนแล้ว จนใจที่ไม่ได้ถามเสียที …เรื่องของตวนมู่ซินเหมี่ยว อนุภรรยาที่บิดานางทยอยรับเข้ามาทั้งสิบสามคนล้วนถูกนาง….จริงหรือ?”
หนก่อนตวนมู่ซินเหมี่ยวพูดมาดังนี้ เว่ยฉางอิ๋งยังไม่ได้เก็บมาใส่ใจ นึกแต่เพียงว่านั่นคงเป็นคำพูดเกินจริงที่พูดออกมาตอนทะเลาะกัน เหมือนกับที่ตนบอกว่าจะตีขาตวนมู่ซินเหมี่ยวให้หัก ตัดลิ้นแล้วเอาไปขายเช่นนั้น แต่เมื่อมาเห็นว่ายามนี้ตวนมู่ซินเหมี่ยวเอาเจียงเจิงไปทดลองยาด้วยท่าทีที่แทบเรียกได้ว่าไม่รู้สึกรู้สาใดๆ ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ได้สำนึกผิดเลยแม้แต่น้อยด้วย …เว่ยฉางอิ๋งจึงรู้สึกว่าตวนมู่ซินเหมี่ยวคงไม่ได้ไม่มีใจอำมหิตอย่างที่ตนคิดจริงๆ!
นางหวงได้ยินแล้วพลันมีสีหน้าแข็งทื่อ เนิ่นนานจากนั้นจึงยิ้มออกมาอย่างขัดเขิน กล่าวว่า “เรื่องนี้…ความจริงแล้วจนถึงวันนี้ นายท่านใหญ่ตระกูลตวนมู่… เคยรับอนุมาเพียงหกคนเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งหมดคำพูดยิ่งนัก กล่าวว่า “เช่นนั้นที่ตวนมู่ซินเหมี่ยวบอกว่านางเคยลงมือกับอนุของบิดาของตน ดูท่าว่าจะเป็นเรื่องส่งเดชเสียแล้ว?”
นางหวงยิ้มเจื่อนๆ พลางว่า “ข้อสงสัยของ ฮูหยินน้อยนี้ บางทีข้าน้อยจะพออธิบายได้ว่าคุณหนูตวนมู่แปดเป็นคนเช่นนี้ หากนางต้องการสิ่งใด ไม่ว่าด้วยวิธีใดนางก็ทำได้ คาดว่านางนึกว่าฮูหยินน้อยกลัวพวกอนุจะมายุยงใส่ไคล้เป็นที่สุด จึงพูดไปเช่นนั้น เพื่อจะได้ให้ฮูหยินน้อยมาสอบถาม จากนั้นจักได้ใช้สิ่งนี้เป็นข้อแลกเปลี่ยนเจ้าค่ะ”
“…ข้ากลัวพวกอนุจะมายุยงใส่ไคล้?” เว่ยฉางอิ๋งอดจะนิ่งอึ้งไปไม่ได้ กล่าวว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร?”
นางหวงย่อมไม่บอกกับนางว่า ในเมืองหลวงเวลานี้ แม้จะเป็นเพราะเสิ่นจั้งเฟิงยืนกรานแต่งงานกับนางต่อไป กอปรกับเวลาก็ล่วงเลยมานานแล้ว จึงทำให้ข่าวลือเรื่องที่เว่ยฉางอิ๋งตกอยู่ในมือคนร้ายและถูกย้ำยีข่มเหงตั้งแต่นางยังไม่ออกเรือน ไม่ได้เป็นที่โจษจันกันเหมือนปีที่แล้ว ทว่าโดยนัยแล้วคำครหานินทาในเรื่องนี้ยังไม่เคยหยุดเลย
ตวนมู่ซินเหมี่ยวหาได้คุ้นเคยกับตระกูลเสิ่น ทว่าก็พอจะได้ยินเรื่องของเว่ยฉางอิ๋งมาบ้าง คิดว่านางต้องนึกคิดเอาว่าด้วยเรื่องก่อนแต่งงานจะทำให้เว่ยฉางอิ๋งมีฐานะไม่สูงนักในตระกูลเสิ่น โดยเฉพาะคงจะรับมือกับบรรดาอนุในเรือนหลังได้อย่างยากลำบาก ดังนั้นจึงมาพูดเรื่อง ‘ผลการต่อสู้’ ของนางเสียเป็นตุเป็นตะ ด้วยหวังจะเกลี่ยกลอมเว่ยฉางอิ๋ง …คุณหนูผู้นี้มีนิสัยเช่นนี้ หากบอกว่านางเลอะเลือน นางก็มีส่วนที่ปราดเปรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งนางเป็นคนรู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว แต่หากบอกว่านางปราดเปรื่อง บ่อยครั้งนางก็คิดการได้ตื้นเขินและมีกริยาเหมือนกับเด็กเล็กๆ ก็ไม่ปาน
เมื่อใคร่ครวญในใจรอบหนึ่ง นางหวงจึงยิ้มน้อยๆ พลางว่า “สามีในใต้หล้านี้ จะมีสักกี่คนที่เป็นเช่นคุณชายของเรา? โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุณหนูตวนมู่แปดแม่ลูกที่ตนเองต้องได้รับเคราะห์กรรมแสนสาหัสเพราะถูกพวกอนุยุยงใส่ไคล้ จึงยึดเอาสิ่งนี้เป็นบรรทัดฐาน นึกว่าคุณชายของเราเป็นเช่นคนอื่นทั่วๆ ไป จึงนึกว่าฮูหยินน้อยก็ต้องเป็นกังวลในเรื่องนี้ด้วยเช่นกันเจ้าค่ะ แต่หารู้ไม่ว่าคุณชายของเราช่างแสนดี จะไปเทียบกับคนเหล่านั้นได้อย่างไร?”
เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกว่าสมเหตุสมผล พลันทอดถอนใจ กล่าวว่า “เมื่อคิดมาดังนี้ ตวนมู่ซินเหมี่ยวก็น่าสงสาร ทั้งท่านย่าและมารดาล้วนเสียไปแล้ว พี่สาวคนโตก็อยู่ในฐานะตกต่ำ แม้ยังมีตำแหน่งเป็นพระชายาท่านอ๋อง ทว่าก็เป็นเพียงแค่ตำแหน่งลอยๆ เท่านั้น ทั้งไม่มีพี่ชายน้องชายคอยสนับสนุน …ฟังว่าหลังเรือนของนายท่านใหญ่ตระกูลตวนมู่ก็ห้ำหั่นกันอย่างสาหัสสากรรจ์ด้วย”
นางหวงแอบยิ้มเจื่อนๆ ในใจหนหนึ่ง แอบคิดว่า ฮูหยินน้อยท่านเองก็มาเห็นใจ ตวนมู่ซินเหมี่ยวเสียอีก? กลับไม่รู้ว่าที่ตวนมู่ซินเหมี่ยวพูดกับท่านเช่นนี้ กลับเป็นเพราะนางรู้สึกเห็นใจท่านอยู่ก่อนแล้ว
นางกลัวว่าหากพูดเรื่องนี้ต่อไปก็อาจเผยพิรุธเอาได้ …เรื่องของเฉียนมั่วเอ๋อร์เพิ่งผ่านไปไม่นาน เวลานี้ก็ยังไม่มีคนไร้สมองคนอื่นแทรกเข้ามา ฮูหยินน้อยสองสามีภรรยาก็รักกันหวานชื่น แล้วไยต้องทำให้เว่ยฉางอิ๋งเป็นกังวลอีก?
ดังนั้นนางหวงจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปเสีย “จะว่าไปแล้ววันนี้ ฮูหยินน้อยรองระงับอารมณ์ไม่อยู่จริงๆ ฮูหยินน้อยอย่าได้มองแต่ว่าฮูหยินต่อว่าท่าน แต่เรื่องที่ท่านถูกรังแกและออกหน้ารับแทนทุกคนนั้น ฮูหยินล้วนมองเห็นอยู่ในสายตา ก็ไม่รู้ว่าในเรือนอู๋ฮวาเวลานี้ ฮูหยินน้อยรองจะกำลังร้อนใจเพียงใด!”
เว่ยฉางอิ๋งแค่นเสียงหึหนหนึ่ง กล่าวว่า “นางนี่ก็ช่างไม่มีเรื่องก็จะหาเรื่องเสียให้ได้ ว่ากันตามตรงน้องสาวร่วมตระกูลของนางผู้นั้นเป็นดังของล้ำค่า ทุกคนล้วนแย่งชิงเข้าประจบเอาใจนางเชียวนะ? เพราะเป็นดังนี้ข้าจึงต้องรักษาหน้าตา ไม่อยากไปล่วงเกินนาง หาไม่แล้ว วันนี้ข้าก็ไม่อยากให้นางเข้าบ้านเลยด้วยซ้ำ” แล้วเอ่ยเสียงหนักไปว่า “แต่พูดกลับมา วันนี้ก็โชคดีที่นางอยู่และยอมยื่นมือเข้าช่วย ท่านลุงเจียง…”
สีหน้าของนางพลันหนักอึ้งขึ้นมาทันใด “จะไปล่วงเกินองค์รัชทายาทได้อย่างไรกัน? ข้าเอาแต่ดูแลตวนมู่ซินเหมี่ยวจนลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท! รีบไปเรียกเสิ่นจวี้มาสอบถามให้ละเอียดเร็ว!”
___________________________________
[1] หลักการความสัมพันธ์ระหว่างคน เป็นหลักพื้นฐานของปรัชญาขงจื๊อ ว่าด้วยความสัมพันธ์ของคนในรูปแบบต่างๆ หนึ่งในนั้นมีเรื่องความสัมพันธ์ของสามีภรรยาด้ว