ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 111 องค์รัชทายาทเซินสวิน
เสิ่นจวี้ถูกเรียกมาสอบถามที่เรือนหลัง เมื่อได้ยินเว่ยฉางอิ๋งสอบถามที่มาที่ไปเรื่องเจียงเจิงได้รับบาดเจ็บจึงรีบเอ่ยว่า “เมื่อครู่นี้ฮูหยินน้อยบอกว่าองครักษ์เจียงเป็นคนสุขุมรอบคอบ ไม่น่าเป็นได้ว่าจะไปล่วงเกินองค์รัชทายาท แม้บ่าวมิได้คุ้นเคยกับองครักษ์เจียง ทว่าคำของฮูหยินน้อยย่อมไม่ผิดไปได้ ดังนั้นบ่าวจึงไปสอบถามคนที่นำตัวองครักษ์เจียงมาส่ง และเป็นจริงดังคำฮูหยินน้อยขอรับ หาได้เป็นเพราะองครักษ์เจียงเป็นคนเข้าไปขนขบวนขององค์รัชทายาทขอรับ!”
เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้วแน่น ไม่มีแก่ใจจะชมว่าเขาทำงานได้ละเอียดรอบคอบนัก แต่กลับคิดว่าองค์รัชทายาทเป็นฝ่ายมาหาเรื่องจริงหรือนี่?
ยามนางเอ่ยปากจึงมีสีหน้าเคร่งเครียดว่า “เจ้าว่ามาให้ละเอียดสักหน่อยซิ!”
“ขอรับ” เสิ่นจวี้ตอบรับคำหนึ่ง จึงว่า “ในช่วงก่อนเที่ยง องครักษ์เจียงออกจากโรงเตี๊ยมอันซุ่นไปตามปกติ และไปซื้อขนมหูปิ่งที่ร้านไม่ไกลจากโรงเตี๊ยมนัก …บ่าวได้ยินว่าองครักษ์เจียงยังเคยรู้จักกับเถ้าแก่ร้านขนมหูปิ่งมาก่อนด้วยขอรับ จึงมักจะไปอุดหนุนร้านนี้บ่อยๆ และมิได้ให้ผู้อื่นไปซื้อให้ หากแต่ไปซื้อด้วยตนเองทุกครั้ง ร้านนั้นอยู่ใกล้กับโรงเตี๊ยมยิ่งนัก ยืนที่หน้าประตูโรงเตี๊ยมก็มองเห็นแล้ว ก่อนนี้องครักษ์เจียงไปซื้อขนมหูปิ่งก็ไม่เคยเกิดเรื่องใด ดังนั้นเมื่อเสี่ยวเอ้อร์ในโรงเตี๊ยมเห็นองครักษ์เจียงออกไปจึงไม่ได้ใส่ใจนักขอรับ”
โรงเตี๊ยมอันซุ่นเป็นหนึ่งในกิจการซึ่งเป็นสินติดตัวของเว่ยฉางอิ๋ง เป็นโรงเตี๊ยมชั้นสูงในอันดับของโรงเตี๊ยมในเมืองหลวง จึงได้ให้เจียงเจิงซึ่งเป็นครูฝึกของตนไปอยู่ที่นั้นเพื่อเป็นการต้อนรับเขาอย่างสมเกียรติ
“จากนั้นเล่า?”
“จากนั้น องครักษ์เจียงออกไปครานี้นานแล้วก็ยังไม่กลับมา เสี่ยวเอ้อร์คนหนึ่งในโรงเตี๊ยมรู้สึกผิดปกติ จึงออกไปชะเง้อคอดูที่หน้าประตูโรงเตี๊ยม แต่ไม่เห็นว่ามีคนอยู่ที่หน้าร้านขนมหูปิ่ง ดังนั้น อาจเป็นได้ว่าองครักษ์เจียงถูกเถ้าแก่พาเข้าไปสนทนาภายในร้านแล้ว ซึ่งก็เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน ดังนั้นเสี่ยวเอ้อร์จึงไม่ได้ไปสนใจอีกขอรับ” เสิ่นจวี้บอกว่า “ภายหลัง เป็นเพราะจูเหล่ยศิษย์ขององครักษ์เจียงฝึกเพลงหมัดเสร็จแล้ว คิดจะมาขอคำชี้แนะจากองครักษ์เจียง จึงออกมาจากลานด้านข้างในส่วนที่องครักษ์เจียงอยู่และมาสอบถามหาอาจารย์ของตน เสี่ยวเอ้อร์จึงบอกกับเขาว่า องครักษ์เจียงน่าจะไปสนทนากับเถ้าแก่ร้านขนมหูปิ่งในร้าน จูเหล่ยจึงไปสอบถามที่ร้านขนมหูปิ่ง”
“พอไปถามจึงรู้ว่า องครักษ์เจียงมาซื้อขนมหูปิ่งเสร็จก็กลับไปแล้ว ตอนนั้นเขายังบอกกับเถ้าแก่ผู้นั้นว่าลูกศิษย์กำลังฝึกเพลงหมัดอยู่ที่ลานข้างเรือน จะต้องกลับไปดูเสียหน่อยขอรับ”
“เมื่อรู้ว่าเขาไม่ได้อยู่ในร้านขนมหูปิ่ง จูเหล่ยย่อมร้อนใจขึ้นมา และออกไปตามหารอบๆ …แต่ก็หาไม่พบ จูเหล่ยรีบกลับไปบอกกับคนในโรงเตี๊ยม เถ้าแก่โรงเตี๊ยมอันซุ่นจึงปิดประตูโรงเตี๊ยมเสียก่อน และสั่งให้ทุกคนออกไปตามหา ตามหาไปจนถึงถนนถัดออกไปอีกสองสาย จึงพบองครักษ์เจียงอยู่ที่ข้างถนน เมื่อสอบถามคนแถวนั้น ล้วนบอกว่าก่อนหน้านี้มีขบวนขององค์รัชทายาทผ่านมา องครักษ์เจียงหลบไม่ทัน ภายหลังจึงถูกผู้ติดตามขององค์รัชทายาททำร้ายเอาขอรับ”
เว่ยฉางอิ๋งตื่นตกใจ เสิ่นจวี้รีบบอกไปว่า “เมื่อครู่นี้บ่าวไปสอบถามที่นั่นมา มีคนผู้หนึ่ง ซึ่งก็คือเสี่ยวเอ้อร์ที่ออกไปยืนมองหาที่ประตูโรงเตี๊ยมและไม่พบองครักษ์เจียงอยู่ที่หน้าร้านขนมหูปิ่ง เขาเองก็คิดว่าองครักษ์เจียงไม่น่าจะไปชนขบวนขององค์รัชทายาท จึงอาศัยจังหวะที่ผู้อื่นไม่ทันสังเกต ดึงชาวบ้านที่กำลังมุงดูอยู่สองคนหลบเข้าไปในมุมถนน แล้วยัดอัฐก้อนเล็กให้ จึงถามได้ความมาว่า ที่แท้องครักษ์เจียงคิดจะข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม แต่เมื่อเห็นขบวนขององค์รัชทายาทมาเขาก็หยุดเดินแล้ว ปรากฏว่าองค์รัชทายาทกลับขี่ม้ามาตรงหน้าเขาและพลันหยุดม้าลง แล้วตำหนิว่าองครักษ์เจียงขวางทาง …แม้องครักษ์เจียงจะคุกเข่าลงขอขมาในทันใด ทว่าองค์รัชทายาทก็ยังสั่งให้ผู้ติดตาม ‘สั่งสอนเล็กน้อย’ คงเพราะองครักษ์เจียงกลัวจะทำให้เกิดเรื่องเดือดร้อน จึงกัดฟันทนรับเสีย ผู้ใดจะคิดว่าคนเหล่านั้นกลับลงมือ…”
เสียงดัง “เพ๊ง” หนหนึ่ง เว่ยฉางอิ๋งกระแทกถ้วยชาลงบนโต๊ะข้างๆ มืออย่างแรง สีหน้าพลันเขียวคล้ำ!
ครูฝึกของนางเอง นางจะไม่รู้จักดีได้หรือ? หากเจียงเจิงตอบโต้ ด้วยเคล็ดวิชาที่ถ่ายทอดมาในตระกูลของเขาและประสบการณ์ที่ผาดโผนมาในยุทธภพหลายสิบปี อย่าว่าแต่คนติดตามองค์รัชทายาทเหล่านั้นจะตีเขาจนอยู่ในสภาพนี้เลย จะจับเขาได้หรือไม่ก็ยังเป็นปัญหา!
หากเจียงเจิงเป็นเพียงบัณฑิตมือไม้ไร้เรี่ยวแรงแล้วถูกคนตีจนอยู่ในสภาพนี้ก็ยังแล้วไป แต่นี่เขามีวรยุทธล้ำเลิศ กลับไม่ยอมตอบโต้เพราะเห็นแก่ฐานะของอีกฝ่าย! มาทำร้ายคนกล่าวหาคนตามใจชอบเช่นนี้มันน่าอัปยศเพียงใด น่าคับแค้นใจเพียงใด? เว่ยฉางอิ๋งไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าความรู้สึกของครูฝึกของตนในขณะนั้นจะเป็นเช่นใด!
เดิมทีแม่เฒ่าซ่งใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็งเพื่อทำให้เจียงเจิงยอมติดตามเว่ยฉางอิ๋งมาที่เมืองหลวง เพราะคิดว่าอย่างไรเว่ยฉางอิ๋งก็จะสามารถใช้สอยเขาได้ ยิ่งไปกว่านั้นระยะทางที่เว่ยฉางอิ๋งเดินทางมาแต่งงานกับเสิ่นจั้งเฟิงก็ห่างไกลนัก ว่ากันว่าภรรยามีเกียรติด้วยสามี เมื่อเจียงเจิงติดตามเว่ยฉางอิ๋งไป เขาก็จะต้องมีอนาคตที่ดีด้วยเช่นกัน …แน่นอนว่าเจียงเจิงก็อายุมากแล้ว เมื่อยินยอมพร้อมใจมาเป็นบ่าวติดตามในตระกูลเว่ยจนแก่เฒ่าเช่นนี้ และมิได้มีความคิดใดอื่นว่าอนาคตของตนจะเป็นเช่นใด แต่จูเหล่ยซึ่งเป็นคนที่เขาให้ความสำคัญเป็นที่สุดและอบรมบ่มเพาะเหมือนเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ๆ ของเขานั้นยังหนุ่มแน่น
ดังนั้นการที่เจียงเจิงติดตามเว่ยฉางอิ๋งมาที่เมืองหลวง ครึ่งหนึ่งก็เพราะฝีมือของแม่เฒ่าซ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งกลับด้วยหวังว่าจะสามารถทำให้จูเหล่ยมีอนาคตที่ดีได้ แต่กลับไม่คิดว่าเมื่อศิษย์อาจารย์มาถึงเมืองหลวงได้เพียงไม่กี่เดือน เจียงเจิงก็ต้องมาเกิดเรื่องเช่นนี้!
เว่ยฉางอิ๋งมองเจียงเจิงเป็นดังอาจารย์เสมอมา เมื่อได้ยินว่าเพราะเขาไม่อยากให้เกิดเรื่องเดือดร้อนจึง… แม้เสิ่นจวี้จะพูดจาให้คลุมเครือ ทว่า เว่ยฉางอิ๋งมีหรือจะฟังไม่ออก? เจียงเจิงไร้ภรรยาไร้บุตร ศิษย์เพียงคนเดียวก็เป็นผู้มีวรยุทธที่อยู่ในวัยหนุ่มฉกรรจ์ หากมิใช่ว่ากลัวจะทำให้เว่ยฉางอิ๋งลำบาก เขาก็คงจะพาศิษย์หนีไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว ฟ้าดินกว้างใหญ่ออกเพียงนั้น โดยเฉพาะที่ต้าเว่ยในเวลานี้ก็ไม่สงบสุข มีพวกโจรออกอาละวาดทุกหัวระแหง อย่าว่าแต่องค์รัชทายาทเลย ต่อให้ฮ่องเต้มีพระราชโองการประกาศจับไปทั่วแคว้น ก็หาได้ทำอันใดกับพวกเขาได้ไม่!
ครูฝึกที่คิดคำนึงแทนตนเช่นนี้ แต่กลับต้องมารับเคราะห์จนมีสภาพนี้เพราะตนเอง! ใจของเว่ยฉางอิ๋งพลันรุ่มร้อนดังไฟเผา เดิมทีนางถูกซ่งไจ้สุ่ยพูดกรอกหู จึงรู้สึกรังเกียจฮองเฮากู้และองค์รัชทายาทพระองค์นี้ยิ่งนัก ภายหลังซ่งไจ้สุ่ยยอมทำลายโฉมตนเองจนสามารถยกเลิกการสมรสได้สำเร็จ ยามนี้มีชีวิตอยู่อย่างสบายอุรามีอิสระเสรี ความรังเกียจที่เว่ยฉางอิ๋งมีจึงเพิ่งจะเจือจางลงบ้าง เวลานี้เจียงเจิงเกือบจะถูกตีตายทั้งเป็น …หากมิใช่ว่าตวนมู่ซินเหมี่ยวมาหาพอดี ไม่แน่ว่าเจียงเจิงอาจจะตายไปแล้วจริงๆ ก็ได้!
หากมิใช่ว่าในหัวนางยังพอจะเหลือสติอยู่บ้าง เว่ยฉางอิ๋งก็คงจะบุกไปที่ตำหนักตะวันออกเสียในทันทีทันใด แล้วลากไอ้เจ้าองค์รัชทายาทเลอะเลือนบ้าอำนาจไร้คุณธรรมผู้นี้ออกมา และตีเขาให้ตายคามือจึงจะหายแค้น!
เพียงแต่ผู้ที่กำลังคับแค้นอยู่เต็มอกในเวลานี้เช่นกัน กลับมิได้มีแต่นางผู้เดียว…
ในท้องพระโรงฉางเล่อ ตำหนักเว่ยยาง ฮองเฮากู้โกรธเสียจนเอาถ้วยชาวาดลายหงส์ซึ่งเป็นของเก่าจากรัชสมัยก่อนที่นางรักที่สุดโยนทิ้งจนแตก แล้วร้องถามองค์รัชทายาทเซินสวินเสียงดังลั่นว่า “เจ้าว่าเจ้าไปตีบ่าวติดตามของเว่ยฉางอิ๋งเพื่อระบายความแค้นรึ?!”
เซินสวินมีหน้าตาที่ถ่ายทอดมาจากฮองเฮากู้ แม้เป็นเพราะเขาหมกมุ่นในกามารมณ์มานานปี เพิ่งจะสวมหมวกไปไม่นาน ขณะที่ผู้อื่นกำลังอยู่ในวัยหนุ่มแน่น แต่สีหน้าของเขากลับซีดขาว และมีความอิดโรยออกมาให้เห็นเสียแล้ว แต่ก็ยังคงหล่อเหลาอยู่ไม่คลาย
เพียงแต่เวลานี้เขากำลังนอนเอียงพิงอยู่บนตั่งนั่งในที่นั่งรอง มีหญิงงามสองคนที่ติดตามมานั่งคุกเข่าอยู่ข้างตั่งคอยทุบขานวดไหล่ให้เขา …ยามอยู่ต่อหน้ามารดาแท้ๆ ของตนก็ยังไม่สำรวมเพียงนี้ โดยเฉพาะที่มารดาของตนก็เป็นถึงฮองเฮา นับเป็นคนที่เลื่อนลอยไร้แก่นสารจริงๆ เซินสวินไม่ได้ระวังกริยาท่าทีอันใด เหมือนเขามองไม่เห็นว่าฮองเฮากู้กำลังโกรธเป็นฟื้นเป็นไฟอยู่เช่นนั้น พลางพูดอย่างสบายอุราว่า “ใช่พะยะค่ะ สนมที่เพิ่งรับมาใหม่บอกว่ารู้จักที่อยู่ของกิจการของภรรยาของเสิ่นจั้งเฟิง และรู้ว่าในนั้นมีคนที่ภรรยาของเสิ่นจั้งเฟิงให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง มิใช่เสด็จแม่บอกให้ลูกอย่าได้สร้างเรื่องราวใหญ่โตหรอกหรือพะยะค่ะ? ลูกก็คิดว่าโรงเตี๊ยมอันซุ่นนั่นก็มิได้ใหญ่โตอันใด จึงเรียกคนในนั้นออกมาสั่งสอนสักหน่อย พอได้ระบายความแค้น!”
ฮองเฮากู้แทบกระอักเลือดออกมา “เจ้าทำเช่นนี้ก็เพื่อระบายความแค้นรึ?” องค์ฮองเฮาผู้เป็นพระมารดาของแผ่นดินแทบจะหลั่งน้ำตาลงมาทันใด “ข้าก็บอกเจ้าหลายครั้งหลายหนแล้วว่าให้เจ้าอดทนสักหน่อย ยามนี้จักต้องอดทนเข้าไว้ เหตุเจ้าจึงไม่ได้ความเช่นนี้? ว่ามาซิ!”
“เสิ่นจั้งเฟิงและภรรยาของมันทำให้หญิงเก็บบัวสิบกว่าคนของลูกเสียโฉม ลูกก็แค่ไปตีบ่าวติดตามคนหนึ่งของมันให้ตายเพื่อระบายอารมณ์ เท่านี้ยังอดทนไม่พอหรือพะยะค่ะ?” เซินสวินได้ยินคำ พลันมีสีหน้าไม่พอใจพลางเอ่ยไปอย่างราบเรียบ “ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนั้นบ่าวผู้นั้นก็ยังไม่ตาย เพียงแต่ดูจากอาการบาดเจ็บแล้ว ป่านนี้คงเพิ่งจะสิ้นใจก็เท่านั้น”
ฮองเฮาหลั่งน้ำตาลงมาแล้วจริงๆ สะอึกสะอื้นพลางว่า “เจ้าคิดว่าเจ้าแค่เพียงตีบ่าวคนหนึ่งให้ตายเพื่อระบายอารมณ์ แต่ตระกูลเสิ่นจะคิดเห็นเช่นนี้หรือ? ตระกูลเว่ยจะคิดเห็นเช่นนี้หรือ?! เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่?”
เซินสวินขมวดคิ้ว “เสด็จแม่เอาแต่คำนึงถึงตระกูลสูงศักดิ์ทั้งหกอยู่เช่นนี้! แม้เสด็จแม่จะมีชาติกำเนิดเพียงแค่ตระกูลใหญ่ ทว่ายามนี้เสด็จแม่ก็สูงส่ง เป็นถึงนายหญิงใหญ่แห่งตำหนักทั้งหก เป็นถึงมารดาแห่งแผ่นดิน! ต่อให้เป็นสตรีแห่งหกตระกูลสูงศักดิ์ ยามมาอยู่ต่อหน้าเสด็จแม่ก็มิใช่ว่าต้องน้อมคำนับทักทายปราศรัย และต้องปรนนิบัติเสด็จแม่อย่างระมัดระวังกันถ้วนหน้าหรอกหรือ? เสด็จแม่เข้ามาอยู่ในตำหนังเว่ยยางก็มิใช่เพียงวันสองวันแล้ว เหตุใดยังทำตนประหนึ่งเป็นเพียงบุตรสาวตระกูลกู้แห่งหงโจวอยู่ได้ พอเห็นพวกตระกูลสูงศักดิ์ก็ต้องคอยก้มหัวให้?”
คำพูดนี้ทำให้ฮองเฮากู้แทบหมดสติล้มพับไป!
นางอวิ๋นนางกำนัลของสนิทของฮองเฮารีบเข้าไปประคองและปลุกปลอบฮองเฮาอย่างสุดกำลัง เมื่อเห็นว่าองค์รัชทายาททำให้ฮองเฮากู้กริ้วเสียจนพูดไม่ออก นางอวิ๋นผู้นี้ติดตามฮองเฮากู้ผ่านร้อนผ่านหนาวมานานปี จึงเข้าใจเป็นที่สุดว่าตลอดหลายปีมานี้ฮองเฮากู้ต้องทุ่มเทวางแผนและจัดการทุกอย่างเพื่อนางสามแม่ลูกมาเช่นใดบ้าง เมื่อมาเห็นองค์รัชทายาทอกัตญญูถึงเพียงนี้ ในขณะที่ตนกำลังปลุกปลอบฮองเฮาจึงอดจะต่อว่าเซินสวินทั้งน้ำตานองไม่ได้ว่า “เหตุใดฝ่าบาทจึงตรัสกับองค์ฮองเฮาเช่นนี้เพคะ? องค์ฮองเฮาตรัสเตือนให้ระวังกริยาวาจา ก็มิใช่ทำเพื่อฝ่าบาทหรอกหรือเพคะ? ฝ่าบาทน่าจะทรงทราบว่า…”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงนาง เซินสวินก็ลุกพรวดพราดขึ้นมาจากตั่ง จนทำให้สนมงามที่เก็บมือไปไม่ทันและไปขวางทางเขา ถูกเขาเตะจนล้มคว่ำลงกับพื้น เนิ่นนานก็ยังลุกไม่ขึ้น นางตื่นตกใจเสียจนขดตัวเป็นนกกระทา …เซินสวินเหลียวซ้ายแลขวา นางอวิ๋นก็ยังคิดว่าเขาจะทำสิ่งใด กลับเห็นว่าเขาไปคว้าเอาแจกันที่อยู่ไม่ไกลมือนักมา แล้วเหวี่ยงลงไปที่ฐานบัลลังก์ ด่าทอว่า “นังบ่าวชั่ว! จักต้องเป็นพวกเจ้าที่คอยขู่ให้เสด็จแม่กลัว! ไม่ว่าเรื่องใด พอมาเจอกับพวกตระกูลสูงศักดิ์ก็เอาแต่ให้ข้ายอมให้มัน ยอมให้มัน ไม่ก็ให้อดทน อดทนเข้าไว้! ข้าเป็นถึงองค์รัชทายาทนะ! มิใช่บุตรหลานตระกูลใหญ่หรือชาวบ้านต่ำต้อย จะต้องไปกลัวตระกูลสูงศักดิ์ด้วยรึ? ไม่เห็นหรือไรว่าพวกประมุขตระกูลสูงศักดิ์ทั้งหก มีผู้ใดบ้างที่ยามอยู่ต่อหน้าเสด็จพ่อแล้วจะไม่ยอมหมอบราบคาบแก้วอย่างขวัญผวาจนตัวสั่นงันงก?! ตระกูลสูงศักดิ์ทั้งหกในเขตทะเล เรียกขานกันเสียยิ่งใหญ่ ที่แท้ก็เป็นแค่พวกไพร่ใต้บารมีของราชสำนักก็เท่านั้น! ต้องเป็นพวกตระกูลสูงศักดิ์ซื้อตัวพวกเจ้าไปแล้วเป็นแน่ จึงจงใจข่มขู่เสด็จแม่และข้า! ไอ้พวกกินบนเรือนขี้รดบนหลังคา! มันน่าลากออกไปตีให้ตายเสียให้หมด ดูซิว่าผู้ใดจักกล้ามายุแยงให้เสด็จแม่และข้ายอมให้แก่พวกไพร่หลายตระกูลนั่นอีก!”
เพราะเมามัวในกามารมณ์จนทำให้ร่างกายอ่อนแอ แรงแขนของเซินสวินไม่พอ แจกันจึงเพียงตกอยู่ที่ใต้บัลลังก์ตรงหน้านางอวิ๋น แต่เมื่อเห็นว่าเซินสวินเท้าสะเอวยืนอยู่ใต้บัลลังก์และตะโกนด่าทอด้วยสีหน้าอดรนทนไม่ไหวเต็มแก่และเต็มไปด้วยรัศมีการฆ่า มือที่ลูบหลังฮองเฮาอยู่ก็ยังค่อยๆ หยุดลง นางมองเห็นผู้สืบราชบัลลังก์ที่อยู่ข้างล่างได้อย่างพร่ามัวด้วยน้ำตาที่พรั่งพรูออกมา ผู้ซึ่งนางเฝ้าดูเขาเติบโตมาตลอดเวลาที่นางคอยอยู่เคียงข้างฮองเฮา นางอวิ๋นรู้สึกแต่เพียงว่า หัวใจของตน ค่อยๆ เย็นวาบขึ้นมาทีละน้อย ทีละน้อย…
ปรากฏว่าในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อนั้นเอง ฮองเฮากู้มารดาแท้ๆ ของเซินสวิน ที่ถูกพระโอรสทำให้โกรธเสียจนตัวสั่นจนคล้ายว่าเกือบสิ้นลมไปก่อนหน้านั้น กลับพยายามดิ้นรนขึ้นมาช่วยเขาแก้ต่าง นางกุมมือนางอวิ๋นเอาไว้แล้วเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือว่า “เซินสวินถูกคนทำให้เสียนิสัยแล้ว เจ้าเห็นแก่หน้าข้า อย่าไปถือสาเขาเลย…” แม้ฐานะของนางอวิ๋นจะเป็นเพียงนางกำนัลต่ำต้อย แต่กลับเป็นทั้งมือซ้ายและขวาของฮองเฮากู้ตั้งแต่ครั้งนางยังสาว จึงเป็นคนที่ฮองเฮากู้ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก จะว่าไปแล้วเมื่อครั้งอดีตฮองเฮาเฉียนยังอยู่ในตำหนักเว่ยยางแห่งนี้ หากมิใช่เพราะนางอวิ๋นจงรักภักดีเป็นที่สุด ลำพังฮองเฮากู้เพียงผู้เดียว ก็ยังไม่มีแม้โอกาสจะให้กำเนิดเซินสวินเสียด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ และภายหลังยังได้มีองค์หญิงชิงซินเลย!
ครั้งเซินสวินยังเล็ก ก็คอยวิ่งตามร้องเรียกนางอวิ๋นว่าแม่นมอยู่ตลอดเวลา นางอวิ๋นเองก็รักใคร่เซินสวินและองค์หญิงชิงซินดังชีวิต เพื่อติดตามฮองเฮากู้แล้ว นางกำนัลผู้นี้จึงไม่แต่งงานชั่วชีวิต… เพียงแค่บ่าวที่จงรักภักดีถึงเพียงนี้พูดสิ่งที่ถูกต้องประโยคหนึ่ง เซินสวินก็ไม่ได้คำนึงถึงน้ำใจไมตรีที่เคยมีในวันก่อน แต่กลับคิดจะสังหารให้ตาย!
ต่อให้เป็นผู้ใด แล้วจะไม่รู้สึกสะท้านใจได้หรือ? แม้แต่ฮองเฮากู้เองก็ยังรู้สึกว่านางไม่รู้จักกับบุตรชายผู้นี้อีกแล้ว!
น้ำตาเม็ดโตๆ ของนางอวิ๋นร่วงลงมา บีบมือตอบฮองเฮา กล่าวว่า “ฮองเฮาโปรดอย่าทรงเป็นกังวล บ่าวทราบว่าฝ่าบาทเพียงถูกคนล่อลวงเพคะ”
นายบ่าวทั่งสองพากันปลอบประโลมซึ่งกันและกัน เซินสวินซึ่งอยู่ข้างล่างบัลลังก์กลับมิได้รู้สึกซาบซึ้งใจใดเลยแม้แต่น้อย และไม่รู้สึกว่าตนเองทำผิดด้วย เมื่อเห็นว่าฮองเฮาไม่ได้สนใจเรื่องที่ตนเสนอให้สังหารพวกของนางอวิ๋นเสีย ก็ยิ่งรู้สึกว่าเสด็จแม่เชื่อถือคนข้างกายมากกว่าตน จึงแค่นเสียงหึคำหนึ่ง สะบัดแขนเสื้อ กล่าวอย่างชิงชังว่า “เสด็จแม่เห็นว่านางอวิ๋นบ่าวชั่วสำคัญกว่าลูกซึ่งเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเสด็จแม่ แล้วลูกจะเอ่ยคำใดได้อีก? หากตระกูลสูงศักดิ์สามารถทำสิ่งใดลูกได้ เสด็จแม่ก็ทรงคอยดูเอาเถิด ไยต้องมาสนใจลูกอีก? อย่างไรก็ตาม ลูกไม่อยากทนพวกตระกูลสูงศักดิ์อีกต่อไปแล้ว!”
เมื่อพูดจบก็ไม่ได้สนใจว่า ฮองเฮากู้จะมีความรู้สึกเช่นใดเมื่อได้ฟังคำนี้ แล้วก็พาสนมงามของตนจากไปทันใด!
ข้างหลังเขา ร่างของฮองเฮากู้เซไปมา สองตาล่องลอย พึมพำว่า “หะ…เหตุใดข้าจึงมีลูกโง่เง่าเช่นนี้?! เป็นเวรกรรมของข้าหรือไร?!”
เมื่อเห็นว่า ฮองเฮากู้สะเทือนใจอย่างหนัก จนแม้แต่คำพูดที่ไม่ควรพูดก็ยังเอ่ยออกมาแล้ว นางอวิ๋นพลันรู้สึกสะท้านขึ้นมาในใจ เลิกห่วงความเจ็บช้ำน้ำใจก่อนหน้านี้ของตน รีบเข้าไปปิดปากฮองเฮาเอาไว้ แล้วกระซิบว่า “ฮองเฮาเสียพระทัยเกินไป เข้าไปพักผ่อนในห้องบรรทมเสียก่อน อีกประเดี๋ยวค่อยตรัสเถิดเพคะ!”
นางขืนประคองฮองเฮากลับเข้าห้องบรรทม เมื่อเดินมาถึงประตูก็กลับพยักหน้าน้อยๆ แก่นางกำนัลคนสนิทของฮองเฮาที่อยู่ข้างใน แล้วกวาดตาไปที่นางกำนัลที่ยืนอยู่ทั้งซ้ายขวา นางกำนัลคนสนิทที่อยู่ข้างในก็เข้าใจในทันใด…
__________________________________