ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 114 ขอการรักษา
คนทั้งกลุ่มมาถึงคฤหาสน์จี้อย่างยิ่งใหญ่ เว่ยฉางอิ๋งรอให้หนีเวยอีมาเปิดประตูไม่ไหว จึงสั่งให้บ่าวถีบประตูให้เปิดออก แล้วพากันหามเจียงเจิงตรงเข้าไปจนถึงเรือนด้านหลัง
ระหว่างนั้นหนีเทาผัวเมียซึ่งนางหวงส่งให้มาดูแลที่นี่รีบออกมาหลังได้ยินเสียง และมาพบเข้าตรงหน้าประตูวงพระจันทร์ เมื่อเห็นว่ามีคนกลุ่มหนึ่งพังประตูเข้ามาเหมือนพวกอันธพาล ทั้งยังหามคนคนหนึ่งเข้ามา รู้ว่าจะต้องมาบีบบังคับให้ช่วยรักษาให้แน่ จึงพากันทั้งกลัวทั้งโกรธ กำลังจะถามไปก็พลันมองไปเห็นนางหวงผู้เป็นแม่อยู่ในนั้น นางมีสีหน้าร้อนรน เดินตามหลังฮูหยินอายุยังน้อยสวมเสื้อผ้าหรูหราผู้หนึ่ง จึงยิ่งอดตื่นตระหนกไม่ได้!
เวลานั้นเอง เว่ยฉางอิ๋งก็ถามพวกเขาไปก่อนแล้วว่า “จี้ชวี่ปิ้งอยู่ที่ใด? รีบเรียกเขาออกมาช่วยคนเร็ว!”
หนีเทาไม่เคยเห็นนาง แต่เห็นว่ามารดาเดินอยู่ข้างๆ นาง จึงรู้ฐานะของนางในทันใด พลันโพล่งตอบไปว่า “ท่านหมอเทวดาอยู่ข้างหลังขอรับ”
ที่สุดก็ตามไปพบกับจี้ชวี่ปิ้งที่เรือนทางด้านหลังตามที่เขาชี้บอกไป …คฤหาสน์จี้เงียบสงบเสมอมา เว่ยฉางอิ๋งพาคนกลุ่มใหญ่บุกเข้ามา เสียงเอะอะดังลั่นเพียงนั้น ทว่าจี้ชวี่ปิ้งกลับยังค่อยๆ บิขนมโรยลงไปให้อาหารปลาจิ่นหลี่[1]อยู่ที่ขอบอ่างอย่างเอ้อระเหยลอยชาย เว่ยฉางอิ๋งเป็นคนเปิดม่านเข้าไปก่อน เขาไม่แม้จะเงยหน้าขึ้นมาก็บอกว่า “บอกแล้วว่าไม่รักษาก็คือไม่รักษา หากอยากเอาชีวิตก็เอาไปตามใจได้เลย!”
เว่ยฉางอิ๋งกัดฟันพูดอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ข้ากลับอยากดูนักว่าเจ้าไม่เสียดายชีวิตจริงหรือไม่!”
แพทย์เลื่องชื่อที่มีวิชาแพทย์เป็นเลิศในเขตทะเลผู้นี้กลับมีอารมณ์ร้ายกาจเสียยิ่งกว่าวิชาแพทย์ของเขาเสียอีก เว่ยฉางอิ๋งมีชาติกำเนิดสูงส่ง แต่ไรมาไม่เคยมีผู้ใดกล้าพูดจาเสียมารยาทต่อหน้านางมาก่อน บัดนี้รู้สึกว่าสองครานี้นางทนเขามามากพอแล้ว จึงสั่งให้บ่าวที่ติดตามมาด้วยเข้าไปลงมือในทันใด ต้องบีบให้จี้ชวี่ปิ้งรักษาคนให้จงได้!
ทว่าพวกบ่าวยังไม่ทันเข้าไป จูเหล่ยกลับชิงก้าวออกมาจากกลุ่มคนเสียก่อน แล้วปรี่เข้าไปโขกหัวแรงๆ ลงกับพื้นต่อหน้าจี้ชวี่ปิ้งหนหนึ่ง …เสียงโขกหัวหนนี้ดังยิ่งนัก จนแม้แต่คนที่ได้ยินก็ยังรู้สึกเจ็บแทนเขา จูเหล่ยกลับไม่พูดไม่จา แล้วโขกหัวโป๊กๆๆ ลงไปติดต่อกันสามหน โขกหัวเสียจนเห็นเลือด จึงเอ่ยเสียหนักว่า “จูเหล่ย แห่งเฟิ่งโจว ขอร้องด้วยใจจริงให้ท่านหมอเทวดาช่วยชีวิตท่านอาจารย์ด้วย ตัวจูเหล่ยไร้ของมีค่า ขอเพียงท่านหมอเทวดายอมช่วยท่านอาจารย์ ชีวิตของจูเหล่ยนี่ก็เป็นของ ท่านหมอเทวดาแล้วขอรับ!”
ปรากฏว่าจี้ชวี่ปิ้งก็สมกับคำร่ำลือจริงๆ เขากลับไม่แยแสทั้งไม้แข็งไม้อ่อน ยิ้มหยันพลางว่า “มือทั้งคู่ของข้านี้ ทำให้คนมีชีวิตมานับไม่ถ้วน ทำให้คนตายมาก็นับไม่ถ้วน เอาชีวิตมาให้ข้า ฟังเสียจนชินหูแล้ว จะมีค่าเท่าใดกันเชียว?”
เว่ยฉางอิ๋งอดทนจนไม่อาจอดทนได้อีก จึงก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว แล้วเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ในเมื่อเจ้าไม่รู้จักรับน้ำใจเพียงนี้…”
“ท่านปู่หมอเทวดา!” พลันมีเสียงของเด็กน้อยขัดคำนางขึ้นมา กลับเห็นหนีเวยอีค่อยๆ เบียดตัวออกมาจากกลุ่มคนอย่างยากลำบาก ดอกไม้ทำจากผ้าไหมบนผมเปียเล็กๆ ข้างหนึ่งล้วนเบี้ยวไปหมดแล้ว นางรีบวิ่งมาตรงหน้าจี้ชวี่ปิ้งอย่างรวดเร็ว เอ่ยเสียงดังว่า “ท่านปู่หมอเทวดา วานนี้ท่านแพ้หมากรุกแล้วบอกว่าจะรับปากเวยเวยข้อหนึ่ง! ตอนนั้นเวยเวยยังคิดไม่ออกว่าอยากได้สิ่งใด แต่ยามนี้กลับคิดได้แล้ว ก็คือครานี้ให้ท่าน…”
จี้ชวี่ปิ้งแค่นเสียงออกมาหนหนึ่ง พูดตัดบทว่า “เจ้าคงลืมไปแล้วว่า เดิมทีวานนี้เจ้าเป็นคนแพ้ แต่กลับงอแงขอเดินใหม่จึงได้ชนะข้า”
ในขณะที่บรรยากาศก็กำลังเดือดพล่านอยู่แล้ว เมื่อเขาพูดดังนี้ จึงยิ่งทำให้บรรยากาศดึงเครียดถึงขีดสุด
หนีเวยอีกลับทำเหมือนไม่รู้สึกใดๆ หัวเราะฮิๆ แล้วว่า “ไม่ว่าจะชนะมาอย่างไร ดีชั่วเวยเวยก็ชนะแล้วมิใช่หรอกรึเจ้าคะ? ท่านปู่หมอเทวาดบอกว่า คนไร้สัจจะไม่อาจยืนหยัดอยู่ได้ เวยเวยล้วนจำได้ขึ้นใจ! หรือว่าท่านปู่หมอเทวดากลับจำไม่ได้เสียแล้วเจ้าคะ?”
แม้จี้ชวี่ปิ้งจะเป็นคนอารมณ์ร้อนและคบหาลำบากจนแม้แต่กู้หน่ายเจิงก็ยังสู้ไม่ได้ หนำซ้ำทั้งยังหนักหนากว่ากู้หน่ายเจิงอีกไม่รู้เท่าใด แต่กลับไม่ได้หน้าหนาเท่ากู้หน่ายเจิง เมื่อถูกเด็กหญิงตัวน้อยกังขาเรื่องการรักษาคำพูดต่อหน้าธารกำนัล สีหน้าของเขาพลันแข็งทื่อขึ้นมาทันใด แล้วนิ่งพินิจพิจารณา
เมื่อเห็นสภาพการณ์ดังนี้ นางหวงถึงกับลอบปาดเหงื่อ รีบเข้าไปดึงเว่ยฉางอิ๋งเอาไว้ แล้วพูดไกล่เกลี่ยว่า “เวยเวย ห้ามพูดจาส่งเดช ท่านหมอเทวดาเป็นผู้ใด? แล้วจะบิดพลิ้วต่อเด็กเล็กๆ เช่นเจ้าได้อย่างไร!”
จูเหล่ยสบโอกาสเหมาะจึงรีบพยายามขอร้องต่อไปว่า “ขอร้องท่านหมอเทวดา โปรดช่วยชีวิตท่านอาจารย์ด้วยขอรับ หากวันหน้าท่านหมอเทวดามีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจ ให้บุกน้ำลุยไฟ จูเหล่ยก็จะไม่เกี่ยงแต่อย่างใดขอรับ!”
เว่ยฉางอิ๋งพยายามข่มอารมณ์แอบนับในใจ หายใจเข้าหนึ่ง หายใจเข้าสอง หายใจเข้าสาม… และในลมหายใจที่นางอดทนไม่ไหวจนจะปะทุออกมานั้น ที่สุดจี้ชวี่ปิ้งก็สะบัดแขนเสื้อ เอาขนมทั้งหมดโยนลงไปในอ่างปลา แล้วเอ่ยเสียงเย็นชาว่า “เห็นแก่หน้าของเวยเวยน้อย… เอาคนไปส่งไว้ที่เรือนตะวันออก!”
นางหวงทั้งครอบครัวพากันโล่งอก หนีเทากุลีกุจอเข้าไปบอกกับคนที่กำลังหามเจียงเจิงอย่างกระตือรือร้นว่า “เชิญทุกท่านทางนี้ขอรับ!”
จี้ชวี่ปิ้งเข้าไปตรวจรักษาเจียงเจิงในเรือนตะวันออก หนีเทาสามีภรรยารีบไปต้อนรับจัดหาที่นั่งและน้ำชามาให้ทุกคน …นางหวงก็ต้องคอยปลุกปลอบอยู่เป็นนาน เว่ยฉางอิ๋งจึงสงบลงได้ นางดื่มชาไปอึกหนึ่งก็มองไปเห็นหนีเวยอีกำลังเกาะอยู่บนขอบอ่างปลา พลางม้วนแขนเสื้อขึ้นพยายามช้อนเอาขนมที่จี้ชวี่ปิ้งทิ้งลงไปก่อนหน้านี้ขึ้นมา …แม่นางน้อยผู้นี้หน้าตางดงามผิวพรรณดี ยามนี้นางยู่ปากเล็กๆ ของนางพลางเชิดขึ้นสูง เขย่งขา สีหน้าเหมือนกำลังจะร้องไห้ พยายามตักขนมขึ้นมาอย่างสุดกำลัง ท่าทีเช่นนี้น่ารักนัก เว่ยฉางอิ๋งว่างๆ อยู่ไม่มีอะไรทำ จึงคิดจะไปหยอกล้อนาง กล่าวว่า “วันนี้ข้าเป็นหนี้บุญคุณเวยเวยน้อย เวยเวยน้อยมีสิ่งใดที่ต้องการหรือไม่?”
“เรียนฮูหยินน้อย หากฮูหยินน้อยสามารถทำให้ท่านย่าและท่านอาตวนมู่ล้วนไม่เรียกข้าน้อยว่า ‘เวยเวยน้อย’ ได้ก็พอแล้วเจ้าค่ะ” หนีเวยอีตอบไปคำหนึ่งอย่างใจเลื่อนลอย พลันถูกนางหวงตีหัวเบาๆ ไปหนหนึ่งในทันใด แล้วยิ้มเอ็ดไปว่า “พูดส่งใดกัน? ฮูหยินน้อยเอ่ยถามเจ้า แม้แต่หัวเจ้าก็ยังไม่หันมาสักหน ข้าสอนเรื่องระเบียบกับเจ้ามาเช่นนี้รึ?”
หนีเวยอีเอ่ยอย่างน้อยใจว่า “ท่านย่าดูขนมในอ่างปลานี่สิเจ้าคะ ยังไม่รีบช่วยข้าช้อนขึ้นมาอีก! ประเดี๋ยวปลาก็ตายหมดอ่างกันพอดี!”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “ปลาอ่างนี้เป็นเจ้าดูแลอยู่รึ? ไม่ต้องกลัว คนที่ทิ้งขนมลงไปเมื่อครู่นี้คือจี้ชวี่ปิ้ง พวกเราล้วนเห็นกันหมด ไม่มีทางมาโทษเจ้าได้หรอก!”
“เรียนฮูหยินน้อย” เพราะถูกนางหวงตีมาหนหนึ่ง แม้จะไม่เจ็บ แต่เวลานี้หนีเวยอีก็ลงมาจากอ่าง แล้วคำนับไปลวกๆ หนหนึ่ง เกือบจะร้องไห้ออกมาพลางตอบว่า “ปลาอ่างนี้เป็นข้าน้อยใช้เบี้ยเดือนไปซื้อมา เพราะไม่มีที่เลี้ยง ท่านปู่หมอเทวดาจึงบอกว่าให้เลี้ยงไว้ในอ่างบัวของท่าน ปกติแล้วท่านปู่หมอเทวดาก็จะคอยช่วยให้อาหารด้วย ปรากฏว่าเมื่อครู่นี้ ท่านปู่หมอเทวดาไม่พอใจ จึงโยนขนมลงไปทั้งก้อน …เมื่อเป็นดังนี้ พอปลากินไปมากเกินไป คิดว่าพอตกถึงกลางคืนก็คงจะพุงบวมตายกันหมดแล้วเจ้าค่ะ!”
ก่อนหน้านี้เว่ยฉางอิ๋งเห็นจี้ชวี่ปิ้งโยนขนมลงไปในอ่างจนทำให้ปลาจิ่นหลี่ทั้งกลุ่มมารุมแย่งกินก็รู้สึกว่าปลาเหล่านี้จะอยู่ได้ไม่นาน เพียงแต่ตอนนั้นกำลังเป็นห่วง เจียงเจิง ไม่มีแก่ใจไปสนใจปลาจิ่นหลี่สองสามตัวนั่น ยิ่งไปกว่านั้นนางยังนึกว่าปลาจิ่นหลี่เหล่านี้เป็นของจี้ชวี่ปิ้งเลี้ยงเอาไว้ …ยามนี้เพิ่งรู้ว่าเป็นหนีเวยอีเลี้ยงเอาไว้เอง แต่เพราะแม่นางน้อยผู้นี้ช่วยพวกนางพูด ทำให้จี้ชวี่ปิ้ง เจ้าหมอเลื่องชื่อขี้ใจน้อยผู้นี้คิดแค้น จึงจงใจทำให้ปลาของนางตาย…
เมื่อคิดถึงว่าหมอเลื่องชื่อผู้นี้ก็อายุปูนนี้แล้ว ยังมาเจ้าคิดเจ้าแค้นกับเด็กตัวเล็กๆ …เว่ยฉางอิ๋งก็รู้สึกจากใจจริงว่านางหมดเรี่ยวแรง สักพักจึงบอกว่า “เจ้าอย่าเสียใจไปเลย อยากได้ปลาจิ่นหลี่แบบใด ให้ไปบอกกล่าวกับท่านย่าของเจ้า ภายหลังเจ้าอยากจะซื้อเท่าใดก็ซื้อเท่านั้น ล้วนให้มาลงบัญชีข้า”
แล้วบอกว่า “ใช้อ่างบัวของจี้ชวี่ปิ้งเลี้ยงไม่น่าวางใจ ค่อยบอกให้ท่านย่าของเจ้าซื้ออ่างปลาใหญ่ๆ สักอ่างมาให้ แล้วย้ายเอาไปไว้ใกล้ๆ ห้องที่เจ้าอยู่ ซ่อนเอาไว้ให้ดีสักหน่อย อย่าให้จี้ชวี่ปิ้งเจ้าคนใจแคบนั่นหาพบอีก”
หนีเวยอีเอ่ยอย่างเสียใจว่า “ขอบคุณฮูหยินน้อยเจ้าค่ะ เพียงแต่เพื่อให้ซื้อปลาเหล่านี้มาได้ ข้าน้อยต้องหาเงินมาตั้งหลายเดือนเชียว! ยามนี้พวกมันจะตายแล้ว ข้าน้อย… ข้าน้อย…” ว่าแล้วน้ำตาพลันร่วงลงมา…
เว่ยฉางอิ๋งมองดูอย่างรู้สึกสงสารนัก พลางโบกมือห้ามไม่ให้นางหวงตำหนินาง แล้วเรียกให้นางมาตรงหน้า เอาผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาให้นางด้วยตนเอง ปลอบนางด้วยเสียงอ่อนโยนอยู่เป็นนาน แล้วสัญญาว่าวันหน้าจะมารับนางไปเล่นที่เรือนจินถง ไปดูปลาทองในบ่อที่อยู่ในลานบ้านของตนว่ายไปมา… แล้วพูดนั่นพูดนี่อีกมากมายจึงทำให้หนีเวยอีหยุดร้องไห้ได้
เมื่อปลอบแม่นางน้อยผู้นี้เสร็จ เว่ยฉางอิ๋งก็รู้สึกอ่อนเพลียเล็กน้อย มองไปรอบตัว กำลังจะสั่งให้คนไปสอบถามข่าวคราวที่เรือนตะวันออก กลับเห็นว่าจี้ชวี่ปิ้งเดินเข้ามาด้วยสีหน้าอ่อนล้า และมิได้สนใจคนที่อยู่รอบตัว เดินตรงเข้ามานั่งในที่นั่งหลัก ยกกาน้ำชาบนโต๊ะขึ้น นางหวงรีบพลิกถ้วยชาที่คว่ำอยู่ขึ้นมาอย่างคล่องแคล่ว …เพียงแต่ ไม่ว่านางจะคล่องแคล่วรวดเร็วเพียงใดก็ยังช้าเกินไป … ก็ไม่รู้ว่าจี้ชวี่ปิ้งกระหายเกินไป หรือว่าเหนื่อยเกินไปหรือว่า…แต่สรุปก็คือเห็นแต่หมอเลื่องชื่อในเขตทะเลผู้นี้ไม่ได้สนใจภาพลักษณ์ใดๆ พลันอ้าปากแล้วยกกาน้ำชาขึ้นมากรอกใส่ปากดื่มเอื้อกๆๆ …ดื่มเหมือนวัวดื่มน้ำ อย่างกับคนบ้านป่าเมืองเถื่อนก็ไม่บาน แล้วจึงเอาแขนเสื้อเช็ดปาก จากนั้นก็พ่นลมหายใจออกมายาวๆ!
…มือที่กำลังถือถ้วยชาอยู่ของเว่ยฉางอิ๋งอดจะสั่นขึ้นมาไม่ได้ คล้ายว่าน้ำชาที่ตนเองดื่มก็รินออกมาจากกาน้ำชาใบนั้น? หรือว่าปกติแล้วจี้ชวี่ปิ้งผู้นี้ล้วนดื่มชาเช่นนี้?!!
จี้ชวี่ปิ้งพ่นลมหายใจเสร็จ สีหน้าเหน็ดเหนื่อยก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง แล้วกวาดตาไปยังเวยฉางอิ๋งที่ยามนี้กำลังมีสีหน้าซีดเผือด แค่นเสียงว่า “คนผู้นี้บาดเจ็บสาหัสนัก เอาไว้กับข้าที่นี่ก่อน”
เว่ยฉางอิ๋งต้องใช้กำลังมากมายจึงข่มใจไม่ไปไถ่ถามเขาเรื่องกาน้ำชาได้ …ประเด็นสำคัญก็คือหากถามไปแล้วก็กลัวว่าตนเองจะอดอาเจียนออกมาทันใดไม่ได้ จึงเอ่ยถามทั้งปากแข็งเกร็งว่า “อีกนานเท่าใดท่านลุงเจียงจะได้สติ?”
“เรื่องนี้ต้องดูว่าคนเป็นนายเช่นเจ้าจะยอมเสียเงินทองหรือไม่แล้ว” จี้ชวี่ปิ้งเหลียวซ้ายแลขวา เรียกหนีเวยอีมาหาแล้วว่า “เวยเวยน้อยไปเอาของว่างในห้องครัวเล็กมาให้ปู่รองท้องสักหน่อย”
เดิมทีหนีเวยอีถูกเว่ยฉางอิ๋งปลอบจนหายแล้ว เวลานี้กลับยู่ปากเข้าเชิดหน้าขึ้นมาอีก “ท่านปู่หมอเทวดาใจร้ายที่สุด เมื่อครู่เพิ่งตั้งใจโยนขนมลงไปในอ่างอยากทำให้ปลาที่เวยเวยเลี้ยงตาย! เวยเวยไม่ไปให้หรอกเจ้าค่ะ!”
เมื่อถูกเปิดโปงต่อหน้าธารกำนัลว่าตนเอาคืนเด็กตัวน้อย ใบหน้าสูงวัยของจี้ชวี่ปิ้งพลันแดงขึ้นมา ฝืนยิ้มไปว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร? ปู่บังเอิญพลั้งมือทำตกต่างหาก!”
“ไม่ใช่เสียหน่อย! ท่านปู่หมอเทวดาฝั่งเข็มทั้งรวดเร็วทั้งแม่นยำปานนั้น มือไม้นิ่งเป็นที่สุดแล้ว!” แม้หนีเวยอีอายุยังน้อย แต่กลับไม่ถูกหลอกเอาง่ายๆ นางยังคงยู่ปากพลางพูดไป
นางหวงทนไม่ไหว ถลึงตาใส่นางไปหนหนึ่ง “ไยจึงมากความนัก? รีบไปสิ!”
ด้วยความกลัวท่านย่า หนีเวยอีจึงทำได้เพียงหันไปทำหน้าเบ้ใส่จี้ชวี่ปิ้ง แล้ววิ่งออกไปด้วยความโมโห
จนยามนี้เว่ยฉางอิ๋งจึงมีเวลาเอ่ยถาม “เงินทอง?”
“พวกเจ้าบุกรุกเข้ามาในเรือนข้า ถีบประตูใหญ่จนพัง คนตั้งมากมายรุมเข้ามาเช่นนี้ ตลอดทางเข้ามาต้องทำให้ทั้งธรณีประตู ทั้งต้นไม้ดอกไม้พังไปไม่มากก็น้อย หรือจะไม่ชดใช้? ทั้งยังให้ข้าลงมือช่วยคนด้วยตนเอง คงมิใช่ว่าจะเอาแต่มาขอรักษาแต่ไม่อยากจ่ายค่ารักษาหรอกนะ?” จี้ชวี่ปิ้งย้อนถามเสียงเย็นชา “คนผู้นี้ต้องอยู่กับข้าที่นี่ หรือไม่ต้องมีค่าห้อง? ต่อไปทุกๆ วันเขาต้องรักษาเขาทั้งภายในภายนอก ค่ายาเหล่านี้จะคิดอย่างไร?! ใช้ยาใดก็ต้องจ่ายเท่านั้น ต้องลงแรงเพียงใดก็ต้องใช้เงินเท่านั้น เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้วพลางว่า “เรื่องเหล่านี้ย่อมต้องเป็นข้าออกเงิน เจ้าว่าราคามาเถิด”
“เจ้าเป็นคนร่ำรวยออกเพียงนี้ ว่าน้อยไปก็กลัวจะทำเจ้าเสียหน้า” จนถึงวันนี้ นี่เป็นคำชมเพียงคำเดียวที่เว่ยฉางอิ๋งได้ยินจี้ชวี่ปิ้งเอ่ยชมตน ราคาย่อมไม่น้อย จี้ชวี่ปิ้งเอ่ยอย่างราบเรียบว่า “จ่ายทองคำหนึ่งพันตำลึงมาก่อนก็แล้วกัน รอจนคนอาการดีขึ้นแล้วค่อยจ่ายเพิ่มอีก ดูอารมณ์ข้าก่อน …ดีชั่วอย่างไร ด้วยชื่อเสียงของตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจวและตระกูลเสิ่นแห่งซีเหลียง ก็คงไม่บิดพลิ้วเงินข้าหรอก!”
“ทองคำหนึ่งพันตำลึง?!” แม้เว่ยฉางอิ๋งจะเตรียมตัวเอาไว้แล้วว่าเขาจะต้องอ้าปากใหญ่โตเท่าสิงโตเพื่อเรียกเงินทอง แต่ก็อดจะนิ่งอึ้งไปไม่ได้ “เจ้าคงมิได้ป่วยจนเลอะเลือนไปแล้วกระมัง? แม้เจ้าจะเป็นแพทย์เลื่องชื่อในเขตทะเล ก็มิได้มีเหตุผลที่ต้องเรียกราคาสูงเพียงนี้!”
เวลานี้ต้าเว่ยค่อยๆ ถดถอยลง ทองคำนับวันยิ่งมีค่ามากขึ้น ทองคำหนึ่งพันตำลึงนี้… มีคนอีกตั้งเท่าใดที่กี่ชาติก็ยังไม่กล้าคิดว่าจะมีเงินทองมากมายเท่านี้ หากต้องการเงินสักหลายร้อยตำลึง ให้เขาไปก็ยังพอทำเนา แต่กลับไม่คิดว่าเขายังกล้าเอ่ยปากจริงๆ!
จี้ชวี่ปิ้งเห็นนางว่ามาดังนี้ จึงยิ้มเยาะ กล่าวว่า “หากเจ้าเกี่ยงว่าแพง ยามนี้ก็หามคนออกไปเสีย!”
เว่ยฉางอิ๋งใบหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา กล่าวว่า “ได้ยินมาว่าครานั้นท่านปู่ของเจ้าเกิดเรื่อง บ้านข้าก็นับว่าเคยช่วยเจ้าไว้หนหนึ่ง แม้ว่าภายหลังเจ้าจะต้องเร่ร่อนอยู่ข้างถนน ญาติผู้ใหญ่ตระกูลข้าก็ไม่ได้สนใจเจ้า ทว่าก็ทำให้เจ้าไม่ต้องไปลำบากถูกเนรเทศไปที่ซีเหลียง อย่างไรก็นับว่าเป็นบุญคุณหนหนึ่ง! ภายหลังเจ้าช่วยชีวิตบิดาข้า แต่คาดว่าเจ้าก็คงรู้ว่าท่านย่าของข้ามิเคยติดหนี้เจ้า! ก็เพียงรั้งตัวเจ้าไม่ให้ไปซีเหลียง แต่ก็มิใช่ว่าส่งคนไปช่วยตามหาญาติของเจ้าแล้วรึ แต่เจ้ากลับยังไม่พอใจ ยังคงเคืองแค้นอยู่ในใจจนถึงขั้นมองตระกูลเว่ยของข้าเป็นดังศัตรูเช่นนี้? กลับไม่รู้จักคิดเสียบ้างว่าครานั้นยามบ้านเจ้าเกิดเรื่อง หากมิได้คนหลายตระกูลที่เห็นแก่มิตรไมตรีแต่หนหลังออกมาช่วยพูดให้ หรือจะมีเจ้าอยู่ที่นี่ในวันนี้! เจ้าทะนงในวิชาแพทย์ของเจ้าเช่นนี้…”
จี้ชวี่ปิ้งยิ้มเยาะอยู่เงียบๆ สีหน้าเขามิได้เปลี่ยนไปแต่อย่างใด แต่สายตากลับเย็นชาลงโดยพลัน กล่าวว่า “เรื่องก่อนหน้านี้ล้วนไม่ต้องเอ่ยถึงแล้ว เพราะเป็นคนข้างกายเจ้าพูดให้เจ้าฟังทั้งสิ้น อย่างไรก็ย่อมเป็นบ้านเจ้ามีเหตุผล ทั้งยังเป็นเหตุผลใหญ่โตเสียด้วย! ข้าก็คร้านจะไปร่ำไรกับเด็กรุ่นหลังเยี่ยงเจ้า …เอาเช่นนี้เถิด ไม่มีทองพันตำลึงก็ได้ ให้เจ้าไปบอกแก่ท่านย่าเจ้าว่าให้ปล่อยข้าไปซีเหลียง เพื่อตามหาท่านอาเล็กที่บางทีอาจยังมีชีวิตอยู่ผู้นั้น ข้าจะโขกหัวสิบหนแปดหน หรือต่อให้เป็นร้อยหนขอขมาเจ้าเสียบัดเดี๋ยวนี้! เป็นเช่นใด?”
“…” เว่ยฉางอิ๋งนิ่งเงียบลงพักหนึ่ง กล่าวว่า “เจ้าเป็นห่วงท่านอาของเจ้า ข้าเองก็คำนึงถึงบิดาข้า บางทีท่านอาของเจ้าอาจมีชีวิตอยู่ดีโดยไม่ต้องการให้เจ้าไปช่วยเหลือ แต่บิดาข้ากลับต้องนอนป่วยอยู่บนตั่ง ไม่มีสักวันที่ห่างจากยาของเจ้าได้ เจ้าบอกว่าทองพันตำลึงเช่นนั้นก็เป็นทองพันตำลึงก็แล้วกัน”
นางนึกว่า จี้ชวี่ปิ้งจะประชดประชันต่อไป หารู้ไม่ว่า จี้ชวี่ปิ้งกลับหัวเราะเหอะๆๆ ไปสองสามหน แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบว่า “ดังนั้น เมื่อข้าเห็นพวกตระกูลเว่ยก็จะไม่เป็นสุข ผู้คนทั่วไปที่ก็คิดคำนึงถึงญาติพี่น้องเช่นกัน ถือดีอันใดที่ต้องยกให้พวกเจ้าก่อนทุกคราวทุกเรื่องไป?” แล้วว่า “ในเมื่อเจ้ายอมจ่ายทองพันตำลึงช่วยชีวิตองครักษ์ผู้นี้ของเจ้า ทั้งยังสามารถเข้าใจว่าการคิดคำนึงถึงญาติมิตรนั้นเป็นทุกข์หนักหนาเพียงใด เพื่อบิดาเจ้าแล้ว ทนคำค่อนแคะของข้าสักหน่อยแล้วจะเป็นเยี่ยงใดเล่า?”
เว่ยฉางอิ๋งถูกเขาดักทางจนพูดไม่ออก เนิ่นนานหลังจากนั้นจึงบอกว่า “เช่นนั้นเจ้าจะให้ข้าโขกหัวขอขมาเจ้าสิบหนแปดหนหรือไม่?”
ท่าทีขุ่นเคืองเหลือคณาของจี้ชวี่ปิ้งพลันจางหายไปทันใด กลับมามีท่าทีสูงส่งดังเซียนบนเขา ดูสบายใจและผ่อนคลาย เหมือนกับว่าไม่เคยทะเลาะกับนางมาก่อนเช่นนั้น กล่าวว่า “องครักษ์ผู้นี้ของเจ้าบาดเจ็บหนักนัก ยาที่ต้องใช้มีราคาไม่ธรรมดา วางเงินสามร้อยตำลึงเอาไว้ก่อน หากไม่พอแล้วข้าจะส่งคนไปบอกเจ้า”
จู่ๆ เขาก็พลันว่าง่ายขึ้นมาเพียงนี้!
เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้วมองเขาอยู่ครึ่งค่อนวัน เมื่อเห็นว่าจี้ชวี่ปิ้งไม่ได้มีท่าทีล้อเล่น จึงหันไปสั่งความนางหวงทั้งความเคลือบแคลงใจว่า “พอกลับไปก็ให้นำเงินห้าร้อยตำลึงมาส่งให้เขา”
__________________________________
[1] ปลาจิ่นหลี่ คือ ปลาคราฟ