ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 117 ไปอยู่ข้างนอก
เว่ยฉางอิ๋งคิดสักพักจึงถามว่า “ท่านพี่และพวกเขาทานอาหารเย็นกันแล้วหรือยัง?”
“คุณชายสี่นั้นบ่าวไม่ทราบ แต่ตอนคุณชายเชิญท่านเหนียนมานั้นยังไม่ได้ทานอาหาร ภายหลังเมื่อคุณชายสี่มาแล้วก็สนทนากันจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เรียกให้จัดอาหารเจ้าค่ะ”
สีหน้าของเว่ยฉางอิ๋งยิ่งไม่ดีไปกว่าเดิม “มืดค่ำเพียงนี้แล้ว อาหารก็ควรจะมาได้แล้ว พวกเจ้าก็ไม่รู้จักไปเตือนสักคำ? แม้ท่านพี่จะใจกว้าง แต่ท่านเหนียนก็เป็นแขก หากปล่อยให้ทั้งเขาและคุณชายสี่หิ้วไส้กิ่วแล้วเรื่องนี้แพร่ออกไป ก็จะบอกว่าเรือนจินถงของเรานิ่งเฉยดูดาย! ไม่รู้จักดูแลเลยแม้แต่น้อย!” ตามหลักแล้วเหนียนเซิงย้าวซึ่งเป็นที่ปรึกษาคงไม่อาจยื้อเวลาอยู่เสียจนเสิ่นจั้งเฟิงไม่ได้ทานอาหารเย็น ยิ่งไปกว่านั้นในเมื่อเขาถูกเชิญมา หากก่อนเวลาอาหารเย็นเขายังคุยกันไม่เสร็จ หลังจากทานอาหารแล้ว ยังสามารถจุดตะเกียงสนทนากันต่อจนมืดค่ำ หากดึกดื่นเกินไป ดีชั่วก็มิใช่ว่าไม่เคยนอนค้างอยู่ที่เรือนจินถง
จนยามนี้ยังไม่ทานอาหาร เพียงคิดก็รู้ว่าจะต้องถูกเสิ่นจั้งฮุยรั้งตัวเอาไว้
เมื่อคิดถึงว่าวันนี้สามีทั้งต้อนรับจางผิงซวี ทั้งไปปรึกษาการใหญ่กับเสิ่นเซวียนผู้เป็นพ่อสามี ยามนี้ยังมิได้หยุดพัก แล้วยังเรียกเหนียนเซิงย้าวมาหารือวางแผนอีก …ต้องวุ่นวายเพียงนี้ บ้านสี่ก็ยังมาก่อความเดือดร้อนเพิ่มขึ้นไปอีก เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกรำคาญน้องสามีผู้นี้มาจากก้นบึ้งของหัวใจ
เวลานี้แม้จะฟังว่านางกำลังต่อว่าบ่าวไพร่ แต่ความจริงแล้วเป็นการว่ากระทบไปถึงเสิ่นจั้งฮุย
พวกบ่าวแก้ต่างว่า “ไม่กล้าปิดบังฮูหยินน้อย ท่านอาว่านไปเชิญมาแล้วสองหน แต่กลับถูกสั่งให้ออกมาเสียเจ้าค่ะ”
นางว่านเป็นแม่นมของเสิ่นจั้งเฟิง ในเรือนจินถงแห่งนี้ นอกจากเว่ยฉางอิ๋งสองสามีภรรยาแล้ว นางก็นับว่าเป็นคนที่มีฐานะสูงสุด แม้แต่นางหวงที่เป็นแม่บ้านจริงๆ ก็ยังเกรงอกเกรงใจนางว่าน แม้แต่นางไปเชิญก็ยังไร้ผล จึงไม่อาจโทษบ่าวคนอื่นๆ ได้
เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้วพลางสั่งนางหวงไปว่า “ท่านเข้าไปบอกสักคำ ว่านี่ก็ค่ำมากแล้ว หากมีเรื่องสำคัญใดที่วันนี้ยังสนทนากันไม่เสร็จก็ยังมีวันพรุ่ง แต่หากไม่ทานอาหาร แล้วปล่อยให้ท่านเหนียนและน้องสี่หิวไส้กิ่ว ข้าก็จักรับผิดชอบไม่ไหว! เข้าจะกลับไปเปลี่ยนเสื้อที่ข้างหลังก่อน หากท่านไปพูดแล้วยังไม่สำเร็จ ข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็จะไปเชิญด้วยตัวเอง”
นางหวงพยักหน้า “เจ้าค่ะ”
เมื่อกลับมาถึงเรือนด้านหลัง เว่ยฉางอิ๋งเพิ่งจะเปลี่ยนเสื้อเสร็จ และกำลังจัดกำไลที่คลายตัวหลวมออกเล็กน้อย เตรียมจะไปที่เรือนชั้นหน้าอีกครั้ง เสิ่นจั้งเฟิงก็กลับเข้ามาแล้ว สีหน้าของเขาอ่อนล้านัก ไม่มีแก่ใจจะมาหยอกล้อภรรยา เพียงบอกว่า “เจ้าเองก็ยังไม่ได้ทานข้าว? เช่นนั้นพวกเราก็ทานข้าวด้วยกันเถิด”
“น้องสี่มาพูดเรื่องใด แม้แต่อาหารเย็นก็ไม่ทานกัน?” เว่ยฉางอิ๋งเห็นว่าคอเสื้อของเขาเปียกเป็นวงกว้าง เวลานี้ฟ้ามืดแล้ว แม้จะอยู่ในฤดูร้อน แต่ยามกลางคืนก็ค่อนข้างเย็นสบาย ที่เรือนด้านหน้าก็มีหีบน้ำแข็ง ตามหลักแล้วไม่ควรจะมีเหงื่อออกมากเพียงนี้ คิดว่าคงเป็นเพราะเรื่องที่สนทนากันไม่ราบรื่นจนเกิดความกังวลและร้อนรุ่มใจ นางจึงเข้าไปส่งผ้าเช็ดหน้าให้เขาเช็ดเหงื่อ แล้วบ่นว่า “ค่ำมืดเพียงนี้แล้วเขามีเรื่องใดที่ไม่อาจรอวันพรุ่งค่อยมาพูดเล่า?”
เสิ่นจั้งเฟิงเช็ดเหงื่อที่หน้าผากเงียบๆ ไม่เอ่ยคำ แล้วดื่มชาร้อนที่เจวี๋ยเกอส่งมาให้ จึงบอกว่า “เขาเป็นกังวลว่าน้องสะใภ้สี่จะไม่อาจอยู่ร่วมกับคนที่บ้านได้ จึงคิดจะทำเรื่องขอไปทำงานที่อื่น จึงตั้งใจมาหารือกับข้า”
“อะไรนะ?” เว่ยฉางอิ๋งตกตะลึง เผยเหม่ยเหนียงทำให้ท่านป้าใหญ่และพี่หญิงใหญ่ของบ้านสามีโกรธแทบเป็นแทบตาย เรื่องก็ยังไม่ทันจบเลย! เสิ่นจั้งฮุยกลับตัดสินใจเรียบร้อยแล้วว่าจะพานางไประเริงกันข้างนอก?
ไม่ต้องถามก็รู้ว่านี่จะต้องเป็นเผยเหม่ยเหนียงยุยุงเขาแน่!
ยามนี้เว่ยฉางอิ๋งเองก็ยังไม่รู้ว่าควรจะชิงชังน้องสะใภ้ผู้นี้ หรือควรจะนับถือนางดี …นางแต่งเข้าบ้านมายังไม่ทันถึงเดือน ก็ปั่นหัวสามีจนคอยปกป้องนางไปเสียทุกเรื่อง จนแทบจะเรียกว่าเชื่อฟังแต่โดยดี ต่อให้นับว่านางไม่ดีงาม แต่ก็ไม่ใช่ว่าภรรยาที่ไม่ดีงามทั่วๆ ไปจะทำได้ถึงขั้นนี้! แต่ก็ยังโชคดีที่เสิ่นจั้งฮุยเป็นแค่บุตรหลานในตระกูลสูงศักดิ์ทั่วไป หากเป็นถึงระดับราชนิกุล เผยเหม่ยเหนียงผู้นี้ก็คงจะเทียบได้กับสนมต๋าจี่[1] และสนมฟานแล้ว!
เว่ยฉางอิ๋งนิ่งเงียบไปสักพัก จึงถามว่า “แล้วเจ้าว่าอย่างไร?”
“เขาเป็นบุตรชายคนโตของจวนเซียงหนิงปั๋ว ท่านอารองก็ยังอยู่ พี่หญิงใหญ่เองก็ครองตัวเป็นม่ายอยู่ที่บ้าน น้องหญิงสามและน้องชายเจ็ดในลำดับถัดมาก็ยังไม่ได้หมั้นหมาย วันหน้าเรื่องใหญ่น้อยของบ้านท่านอา บุตรชายคนโตเช่นเขาจะไม่มาดูแลได้อย่างไร?” เสิ่นจั้งเฟิงวางถ้วยชาลง สีหน้าออกจะเย็นชา กล่าวว่า “ข้าบอกให้ตัดใจเรื่องนี้เสีย และให้อยู่ในเมืองหลวงเสียให้จงดี เพื่อจะได้ดูแลท่านอารอง พี่หญิงใหญ่ น้องหญิงสามและน้องชายเจ็ด! หากกล้าทิ้งท่านอารองเพื่อน้องสะใภ้สี่ ข้าจะตีเขาให้ขาหัก! ก็อยากดูเหมือนกันว่าเขาจะออกไปอยู่ข้างนอกได้หรือไม่!”
เว่ยฉางอิ๋งเห็นด้วยกับเขามาจากขั้วหัวใจ “เป็นตามเหตุผลนี้จริง! ว่ากันว่าเมื่อบิดามารดายังอยู่อย่าไปไกลห่าง ประสาอะไรที่น้องชายสี่ก็เป็นบุตรชายคนโตของท่านอารองด้วย? อีกประการหนึ่งวันนี้น้องสะใภ้สี่ก็เป็นคนผิดแท้ๆ เขาก็ยังเอาแต่ปกป้องน้องสะใภ้สี่อยู่เช่นนี้ แล้วจักให้ท่านแม่คิดเห็นเช่นใด? ทั้งยังทำให้ท่านอารองลำบากใจด้วย!”
เสิ่นจั้งเฟิงถอนหายใจหนหนึ่ง กล่าวว่า “จั้งฮุยมีความคิดเห็นตื้นเขิน วันนี้ข้าด่าเขาไปเป็นนาน หากมิใช่เพราะเจ้ากลับมาแล้วและส่งคนไปบอกว่าให้ทานอาหารได้แล้ว ก็เกรงว่ายามนี้ข้าจะยังสั่งสอนเขาอยู่เลย …น้องสะใภ้สี่เพิ่งแต่งเข้าบ้าน ลำดับตระกูลของตระกูลเผยก็ไม่ทัดเทียมกับบ้านเราจริงดังว่า หากนางจะคิดมากสักหน่อยก็ไม่แปลก อย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องภายในครอบครัว เวลานี้น้องชายสี่ก็พอจะลืมหูลืมตาขึ้นมาได้บ้างแล้ว คอยดูไปก่อนว่าต่อไปเขาจะทำเช่นใด …เมื่อครู่นี้เจ้าไปส่งท่านลุงเจียงไปที่เรือนท่านหมอจี้? เป็นเช่นใดบ้าง?”
ทั้งนอกบ้านในบ้านก็ล้วนมีเรื่องมากมาย เว่ยฉางอิ๋งจึงไม่มีแก่ใจมาบอกกับสามีว่าจี้ชวี่ปิ้งเอาใจยากเพียงใด จึงพูดไปอย่างเรียบง่ายว่า “ยังดีที่เขารับท่านลุงเจียงเอาไว้ แม้ค่ารักษาจะสูงไปหน่อย ทว่าข้าก็คร้านจะไปร่ำไรกับเขา”
เสิ่นจั้งเฟิงบอกอืมไปคำหนึ่ง กล่าวว่า “จูเหล่ยอยู่ที่นั่นด้วยหรือไม่?”
“ใช่แล้ว” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถามอย่างประประหลาดใจ “มีเรื่องใดหรือ?”
“ส่งคนสักคนไปคอยดูเขาไว้ อย่าให้เขาบุกไปบ้านอวี๋ แล้วไปแหวกหญ้าให้งูตื่นเล่า” เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ย
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจว่า “เจ้าฝากให้จางผิงซวีไปตรวจสอบรายละเอียดของคนบ้านอวี๋ แม้จางผิงซวีจะหาข้างอ้างอื่นไปสืบดูให้ ทว่าก็คงไม่อาจพ้นสายตาของฮองเฮาไปได้กระมัง?” องค์รัชทายาทเพียงคิดจะตีเจียงเจิงให้สาหัสเป็นการระบายแค้น ยิ่งไปกว่านั้นเขายังจงใจหาเหตุผล แล้วพาเจียงเจิงมาลงมือที่ถนนถัดออกไปอีกสองเส้นจากโรงเตี๊ยมอันซุ่น โดยมิได้ตีเขาให้ตายคาที่ คงเพราะคิดว่าเป็นการไว้หน้าเว่ยฉางอิ๋งและเสิ่นจั้งเฟิงมากแล้ว
แต่ฮองเฮากู้ไม่ได้เลอะเลือน ฮองเฮาไม่ได้มองไม่ออก ในสายตาของเสิ่นจั้งเฟิง หรือในสายตาของตระกูลสูงศักดิ์แล้ว เรื่องนี้จะต้องไม่ได้เป็นเพียงการระบายความแค้นครั้งหนึ่งที่ไม่มีสิ่งใดซับซ้อน ยิ่งไปกว่านั้น ท่าทีที่องค์รัชทายาทมีต่อตระกูลสูงศักดิ์ …เห็นชัดว่าองค์รัชทายาทชิงชังตระกูลสูงศักดิ์ โดยเฉพาะกับตระกูลเสิ่น
ซึ่งแน่นอนว่าหญิงเก็บบัวสิบกว่าคนที่ทะเลสาบหญ้าฤดูใบไม้ผลิถูกทำให้เสียโฉมเพราะไปตามรังควานเสิ่นจั้งเฟิงสามีภรรยา หากองค์รัชทายาทจะเคืองโกรธก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่หากองค์รัชทายาทมาถามเอาความกับเสิ่นจั้งเฟิงตรงๆ เสิ่นจั้งเฟิงขอขมาและชดใช้ให้เขาก็จะเลิกแล้วกันไป อย่างไรเรื่องนี้ก็หารือกันไม่ยาก ทว่าองค์รัชทายาทกลับไม่เคยเอ่ยเรื่องนี้กับเสิ่นจั้งเฟิง แต่กลับมาลงมือกับบ่าวติดตามของเว่ยฉางอิ๋งเสียเลย นี่เพราะเหตุใด?
เพียงคิดก็รู้ว่านี่จะต้องเป็นเพราะฮองเฮากู้ยับยั้งองค์รัชทายาทเอาไว้ไม่ให้เขาเอ่ยถึงเรื่องนี้ เพื่อกันเรื่องนี้เอาไว้ไม่ให้เกี่ยวพันไปถึงองค์รัชทายาท …ครั้งฮูหยินซูไปรายงานฮองเฮากู้ นางก็บอกชัดเจนแล้วว่านางสงสัยอย่างยิ่งว่าจะมีคนกำลังให้ร้ายทำลายชื่อเสียงขององค์รัชทายาท …แต่ความจริงแล้วนางกำลังช่วยองค์รัชทายาทอยู่!
อย่างไรเสีย คนที่เป็นถึงผู้สืบราชบัลลังก์มาเลี้ยงดูหญิงเก็บบัวกลุ่มหนึ่งซึ่งมาคอยวางอำนาจอยู่ในฝูหรงโจว ทำตัวเหมือนนางคณิกาในหอนางโลมคอยเกี้ยวพาชายรูปงามที่ผ่านไปมา เพื่อพาเข้าไปที่ลับตาทำเรื่องบัดสี ส่วนองค์รัชทายาทก็คอยแอบดูอยู่ข้างๆ เพื่อหาความสำราญ …เรื่องเหลวไหลเหลวแหลกเช่นนี้ อย่าว่าแต่เป็นผู้สืบราชบัลลังก์เลย ต่อให้ขึ้นครองราชย์แล้วและทำเรื่องเช่นนี้ ในบันทึกประวัติศาสตร์ก็จะต้องวิพากษ์วิจารณ์ด้วยคำว่า ‘เหลวแหลก’ อย่างขาดเสียไม่ได้!
แม้ฮองเฮาจะเข้าใจดี แต่องค์รัชทายาทกลับไม่เข้าใจ! องค์รัชทายาทไม่เพียงไม่เข้าใจ ยิ่งไปกว่านั้น แม้ยามอยู่ต่อหน้าเขาจะถูกฮองเฮายับยั้งไม่ให้ไปหาเรื่องกับตระกูลสูงศักดิ์ แต่ส่วนตัวแล้วกลับยังเคียดแค้นอยู่ในใจ!
ทว่าคนที่จะขึ้นครองราชย์ปกครองใต้หล้าก็คือองค์รัชทายาท มิใช่ฮองเฮา…
องค์รัชทายาทยังไม่ทันขึ้นครองราชย์ก็เกิดความไม่พอใจตระกูลเสิ่น จนถึงขั้นไม่ห่วงฐานะตนเอง และมาปั้นแต่งข้ออ้างทำร้ายบ่าวติดตามคนหนึ่งของสะใภ้บ้านเสิ่น หากวันใดเขาขึ้นครองราชย์แล้ว ตระกูลเสิ่นจะยังอยู่ดีมีสุขหรือ?
ก็เป็นดังเช่นที่เสิ่นจั้งเฟิงว่าไว้… “อาศัยจังหวะที่เขายังเป็นองค์รัชทายาทอยู่” หากยามนี้ไม่ลงมือ หรือจะรอให้เซินสวินเป็นฮ่องเต้แล้วมาจัดการบ้านเสิ่น หรือถึงยามนั้นจึงค่อยมาแบกรับโทษปลงพระชนม์ฮ่องเต้?
หลังจากองค์รัชทายาทให้คนมาทำร้ายเจียงเจิง ก็ไม่แน่ว่าองค์รัชทายาทจะเก็บเรื่องนี้มาใส่ใจหรือไม่ ทว่ายามใดที่คนปราดเปรื่องเช่นฮองเฮากู้รู้เรื่องเข้า นางจะต้องไม่อาจวางใจได้ …ต่อให้จางผิงซวีหาข้ออ้างอีกร้อยข้อไปตรวจสอบรายละเอียดของคนบ้านอวี๋ อย่างไรก็ ตามฮองเฮาย่อมไม่ถูกปิดหูปิดตาเป็นแน่
ซึ่งสิ่งนี้เองที่ทำให้เว่ยฉางอิ๋งสงสัย ว่าเหตุใดเสิ่นจั้งเฟิงจึงให้จางผิงซวีไปสอบถามเรื่องบ้านอวี๋… ในเมื่อจะวางแผนทำการใหญ่ถึงขั้นโค่นล้มองค์รัชทายาท ยามนี้ไปตรวจสอบบ้านอวี๋ไม่เท่ากับเป็นการบอกกับฮองเฮาว่าตระกูลเสิ่นไม่คิดจะให้เรื่องนี้เลิกราไปง่ายๆ หรอกหรือ? หาไม่แล้ว ในเมื่อเรื่องนี้ก็ชัดเจนออกเพียงนี้แล้ว ตระกูลเสิ่นก็ควรจะทำเป็นไม่รู้เรื่องและไม่ไปตรวจสอบอันใดจึงจะถูก!
“ไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังสายตาของฮองเฮากู้” เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยเรียบๆ “เพียงแค่กังวลว่าตระกูลอื่นๆ จะนึกว่าที่จูเหล่ยไปหาความกับคนบ้านอวี๋เพราะพวกเราสั่งไปเท่านั้น”
เว่ยฉางอิ๋งตกตะลึง นิ่งคิดพักใหญ่จึงพอจะเข้าใจขึ้นมา “เจ้า…เรื่องนั้นจะทำการร่วมกับตระกูลอื่นๆ?”
“เดิมที เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่พวกเราหกตระกูลต้องร่วมมือกันอยู่แล้ว” เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยอย่างอ่อนเพลียเล็กน้อย “จะเป็นได้อย่างไรที่พวกเราจะลงมือเพียงตระกูลเดียว? ท่านพ่อก็…” พูดเพียงเท่านี้ เสิ่นจั้งเฟิงเอาผ้าเช็ดหน้าที่เปียกชุ่มวางไว้บนโต๊ะ แล้วมองที่ถังทองแดงหยดน้ำตรงมุมห้อง กล่าวว่า “ฟ้ามืดแล้ว ให้พวกเขายกอาหารมาเถิด”
“ข้าจะส่งคนไปคอยจับตาดูจูเหล่ยที่คฤหาสน์จี้เดี๋ยวนี้” เว่ยฉางอิ๋งขบริมฝีปากพลางว่า
นางให้เจวี๋ยเกอและหานเกอออกจากจวนไปคฤหาสน์จี้ทั้งในยามกลางคืน… สาวใช้ทั้งสองคนนี้ล้วนมาจาก ‘ปี้อู่’ แม้เวลานี้จะห้ามออกนอกเรือนแล้ว แต่หากคิดจะแอบไปที่เฉิงตงก็ย่อมมีวิธี …จักต้องจับตาดูจูเหล่ยเอาไว้ให้ดี หาไม่แล้วจะทำให้เสิ่นจั้งเฟิงเสียการเอาได้
เพิ่งจะหันหลังกลับมา กลับมีคนเร่งร้อนเข้ามาที่มุมประตู พลางเดินพลางพูดจา เสียงจ้อกแจ้กจอกแจ พูดจาอย่างรวดเร็วยิ่งนัก แต่กลับฟังไม่ออกว่าพูดสิ่งใด เว่ยฉางอิ๋งนึกว่าฉินเกอและเยี่ยนเกอกลับมาแล้ว จึงรีบหยุดเดิน เพื่อจะถามว่านางหลิวและนางตวนมู่ว่าอย่างไรได้บ้าง ปรากฏว่าพอเข้ามาดูใกล้ๆ กลับเป็นพวกของจูหลานสองสามคนกำลังห้อมล้อมตัวหม่านโหลวอยู่
ครานี้สีหน้าของหม่านโหลวร้อนใจยิ่งนัก รีบคารวะนาง ไม่มีเวลามาเอ่ยคำทักทายก็บอกว่า “ฮูหยินน้อยสามเจ้าค่ะ วันนี้ถูกฮูหยินน้อยสี่มาอาละวาด กลับลืมเรื่องสำคัญไปเสียสนิท …เมื่อครู่นี้ฮูหยินเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าบ่าวติดตามของท่านมิใช่ไปชนขบวนขององค์รัชทายาทหรอกหรือเจ้าคะ? ฮูหยินบอกวันพรุ่งให้ท่านเข้าวังไปขอขมากับองค์ฮองเฮาเจ้าค่ะ!”
เว่ยฉางอิ๋งตกตะลึง กล่าวว่า “เรื่องนี้…”
“เดิมทีวานนี้ ฮูหยินก็ควรจะพาฮูหยินน้อยสามเข้าวังไปขอขมาในวังด้วยตนเองแล้ว จนใจที่สารอนุญาตให้เข้าวังเพิ่งจะลงมาในวันนี้และบอกให้ฮูหยินพาท่านไปวันพรุ่ง แต่วันนี้ฮูหยินไม่ใคร่สบายนัก ดังนั้นจึงทำได้เพียงให้ฮูหยินสามตระกูลซูเข้าวังไปกับท่านแล้วเจ้าค่ะ” หม่านโหลวบอกความว่า “ก่อนฮูหยินน้อยสามท่านจะกลับมา ฮูหยินก็ส่งหม่านถิงไปบอกกับฮูหยินซูสามที่จวนซูแล้วเจ้าค่ะ …ฮูหยินบอกให้วันพรุ่งฮูหยินน้อยสามไม่ต้องไปคารวะที่เรือนหลัก ให้ไปที่จวนซูเลยเจ้าค่ะ!”
“…ข้ารู้แล้ว” เว่ยฉางอิ๋งถอนหายใจพลางว่า
แม้เวลานี้ตระกูลเสิ่นกำลังวางแผนโค่นล้มองค์รัชทายาท แต่ฮองเฮากู้และองค์รัชทายาทก็มิใช่จะล้มลงภายในวันเดียว มารยาทที่ควรมีระหว่างราชสำนักและสามัญชนย่อมไม่อาจละเว้นได้แม้สักวัน
เพียงแต่สองวันมานี้ทั้งนอกบ้านในบ้านของตระกูลเสิ่นเกิดเรื่องติดต่อกันมาไม่หยุดหย่อน ด้วยเรื่องของเจียงเจิงก็ทำให้เสิ่นจั้งเฟิงเกิดความคิดเรื่องโค่นล้มองค์รัชทายาท เว่ยฉางอิ๋งก็ต้องห่วงเรื่องนี้ห่วงเรื่องนั้น กลับลืมไปเสียได้ว่าเรื่องที่เจียงเจิง ถูกทำร้ายบาดเจ็บนั้นเป็นความผิดในข้อหา ‘ชนขบวนเสด็จขององค์รัชทายาท’ ในเมื่อเป็นดังนี้ ตนเองซึ่งเป็นนายย่อมต้องเข้าวังไปขอขมา
ยิ่งไปกว่านั้นการเข้าวังหนนี้ฮูหยินซูยังฝากให้เว่ยเจิ้งอินไปกับนาง… ฮูหยินซูไม่สบาย และที่นางเจ็บป่วยเช่นนี้ หากเผยเหม่ยเหนียงไม่ต้องได้รับผลตอบแทนที่สาสม ว่ากันตามหลักแล้วนางก็จะไม่ได้มีบทลงเอยที่ดีอันใด
เรื่องทั้งนอกบ้านในบ้านล้วนยังไม่สงบ เว่ยฉางอิ๋งจัดมวยผมที่ถูกลมราตรีพัดจนยุ่งเหยิงไปหมด ค่อยๆ เดินกลับเข้าไปในห้องที่ละก้าวอย่างเกียจคร้าน ลอบคิดในใจว่า ช่างเถิด ค่อยๆ ทำไปทีละเรื่องเถิด ร้อนใจไปก็เปล่าประโยชน์…
_____________________________________
[1] สนมต๋าจี่ ตามตำนานเล่าว่านางถูกปีศาจจิ้งจอกเก้าหางสิงร่าง ให้มาคอยมัวเมากษัตริย์โจ้วหวาง จนทรงฟังนางทุกอย่างและไม่สนใจราชกิจใดๆ จนเป็นเหตุให้ราชวงส์ชางล่มสลายในที่สุด