ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 12 ตระกูลซูเกิดเรื่อง
อยู่ดีๆ เรื่องก็ตกมาอยู่ที่ตัว เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกกลัดกลุ้มใจเป็นอย่างยิ่ง ฮูหยินซูเป็นแม่สามีซึ่งแน่นอนว่าไม่อาจล่วงเกินนางได้ ทว่าน้องสามีตัวน้อย เสิ่นจั้งหนิงก็เป็นบุตรสาวแท้ๆ ของฮูหยินซู น้องสาวแท้ๆ ของสามีตน…ทั้งสองฝ่ายล้วนไม่อาจล่วงเกินได้ คำถามนี้ของฮูหยินซูควรจะตอบอย่างไรจึงจะดี?
ในขณะที่ทุกคนพากันจับจ้องมา นางก็ไม่อาจสอบถามนางหวงได้ คิดไปคิดมาก็ทำได้เพียงพูดให้คลุมเครือเข้าไว้ จึงยิ้มพลางว่า “เรียนท่านแม่ สะใภ้เพิ่งจะเคยมาเมืองหลวง และยังเพิ่งเคยเห็นการแต่งหน้าแบบน้ำตาเลือดเช่นนี้ ดูแล้วก็รู้สึกว่าแปลกใหม่เจ้าค่ะ”
เสิ่นจั้งหนิงรีบพูดไปว่า “ท่านแม่ท่านฟังสิ พี่สะใภ้สามยังบอกว่าแปลกใหม่เลย ก็มิเห็นพูดว่าไม่งาม!”
เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกปวดหัวหนัก กำลังคิดว่าจะประนีประนอมอย่างไรต่อไปดี ทว่าฮูหยินซูกลับตบโต๊ะและดุด่าบุตรสาวขึ้นมา “พี่สะใภ้สามของเจ้าเห็นแก่หน้าเจ้าเท่านั้น จึงได้บอกว่าแปลกใหม่! สารรูปเช่นนี้หาใช่เรื่องงามไม่งามหรือ? นี่มันดูไม่ได้เลยต่างหาก!”
“พวกพี่สาวในบ้านท่านลุงก็แต่งกันเช่นนี้ การแต่งหน้าแบบน้ำตาเลือดนี้ข้าก็ยังไปเรียนมาจากพวกนางด้วย!” เสิ่นจั้งหนิงกล่าวอย่างไม่ยอมแพ้ว่า “ท่านแม่ไม่ต่อว่าพวกพี่ๆ แต่กลับเอาแต่ต่อว่าข้า!”
“ข้าก็ว่าแล้วว่าสองสามวันมานี้ไยเจ้าจึงทำร้ายตัวเองจนเป็นเช่นนี้ ที่แท้ก็เรียนมาจากพวกลูกผู้นี้หรอกรึ?” ฮูหยินซูโกรธเสียจนชี้นิ้วไปหานางแล้วว่า “ห้ามเจ้าไปบ้านซูอีกแล้ว ส่วนเรื่องแต่งหน้าแบบน้ำตาเลือดนี้ กลับไปข้าจะเขียนจดหมายไปลองสอบถามพวกท่านป้าของพวกเจ้าดู! นี่มันเรื่องใดกัน! ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดคิดวิธีการแต่งหน้าพิเรนทร์ๆ เช่นนี้ออกมา สอนให้เด็กสาวดีๆ กลายมามีสารรูปประหลาดเช่นนี้!”
เสิ้นจั้งหนิงย่อมไม่ยินยอม ทะเลาะกันอยู่สักพักใหญ่ จึงถูกฮูหยินซูสั่งให้คนลากมาตรงหน้าและตีนางไปสองสามหน แล้วกล่าวอย่างเกรี้ยวกราดว่า “หลานสาวของเจ้าล้วนอยู่ตรงหน้านี้ เป็นอาแต่กลับไม่ทำตัวเป็นตัวอย่างแก่พวกนางยังไม่ว่า ยังกลับมาสอนให้พวกนางทำเรื่องแย่ๆ น่าขายหน้าเช่นนี้อีกรึ? เจ้าดูซูจิ่งซิ ทั้งอายุน้อยกว่าเจ้า ทั้งเป็นคนในรุ่นที่ต่ำกว่าเจ้า แต่ทั้งกริยาวาจามีเรื่องใดที่ไม่ดีกว่าเจ้า! คนเป็นอาเช่นเจ้าไม่รู้สึกขายหน้าบ้างหรือไร?”
เดิมทีเสิ่นซูจิ่งยืนเงียบๆ อยู่ข้างหลังนางหลิวผู้มารดา ได้ยินคำจึงรีบกล่าวว่า “ท่านย่ากล่าวชมเกินไป หลานยังเด็กนัก ยังต้องขอคำชี้แนะจากผู้ใหญ่อีกมากเจ้าค่ะ ท่านอาหญิงสี่แม้จะชอบแต่งหน้าประหลาด แต่มีนิสัยร่าเริงสดใส และดีกลับหลานๆ เป็นอย่างยิ่งเจ้าค่ะ” นางเอ่ยคำอย่างอ่อนโยน ท่าที่อ่อนน้อม สุภาพเรียบร้อย
ฮูหยินซูเข้าไปดึงหูบุตรสาวแล้วตวาดไปว่า “เจ้าฟังดู! นี่จึงจะคือกริยาของกุลสตรีตระกูลใหญ่! มีหรือจะเหมือนเจ้า!”
นางหลิวเห็นฮูหยินซูนำบุตรสาวของตนไปเปรียบเทียบกับน้องสามีตัวน้อยก็กลัวว่าจะสร้างความบาดหมางให้แก่เสิ่นจั้งหนิง จึงรีบกล่าวออกไปว่า “ท่านแม่ได้โปรดอย่าโกรธเคือง สะใภ้คิดว่าเรื่องที่น้องสี่กล่าวมานั้น การแต่งหน้าในยุคนี้ก็เป็นเช่นนี้ หากพวกคุณหนูวัยเด็กสาวในเมืองหลวงล้วนแต่งหน้าเช่นนี้ น้องสี่ก็เพียงลองแต่งเล่นๆ ตามเขา คงมิได้คิดจริงๆ ว่าการแต่งหน้าเช่นนี้น่าดู หากผ่านไปสักพัก เมื่อไม่เป็นที่นิยมแล้ว น้องสี่ก็จะไม่แต่งหน้าเช่นนี้แล้วเจ้าค่ะ”
เสิ่นจั้งหนิงกล่าวอย่างน้อยใจว่า “ก็ใช่อยู่แล้ว! หากไม่เป็นที่นิยมแล้วข้าจะแต่งหน้าเช่นนี้ทำสิ่งใดเล่า? ทั้งแป้งและชาดนี่ก็ทำให้ใบหน้าไม่สบายนัก…”
ฮูหยินซูยังจะด่าทอต่อไป แต่ข้างนอกกลับมีสาวใช้ตัวน้อยยกกระโปรงรีบวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว นางก้มหัวลงแล้วกล่าวว่า “ฮูหยินเจ้าคะ บ้านซูส่งจดหมายมา บอกว่าเมื่อครู่นี้ฮูหยินผู้เฒ่าหมดสติไปเจ้าค่ะ!”
“ว่าอย่างไรนะ?!” ฮูหยินซูตกใจหนักหนาเสียจนหน้าถอดสีแล้วลุกพรวดขึ้นมา “เร็วเข้า! รีบให้คนไปเตรียมรถ!”
เสิ่นจั้งหนิงเองก็ตกใจเช่นกัน กล่าวว่า “ท่านยายรึ? ข้าไปด้วย!”
ยามนี้ฮูหยินซูไม่มีแก่ใจจะสนใจนาง รีบบอกกับบรรดาสะใภ้ว่า “อี๋เอ๋อร์เจ้าอยู่คอยดูแลบ้าน เยี่ยนอวี่เจ้าไปบ้านเสิ่นกับข้า…ฉางอิ๋ง เจ้าเพิ่งเข้าบ้านมาก็กลับไปเสียก่อนเถิด! มีเรื่องใดก็ให้ขอคำชี้แนะจากพี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้า!”
…สองวันก่อนยามเว่ยฉางอิ๋งไปพักอยู่เรือนเดี่ยวหลังหนึ่งของตระกูลเสิ่นซึ่งอยู่นอกเมืองหลวงรอวันฤกษ์ดีเพื่อเข้ามาในเมืองนั้น ท่านอาหญิงรองเว่ยเจิ้งอินส่งแม่นมชวี่มาเยี่ยมนาง และบอกว่าเดิมทีเว่ยเจิ้งอินคิดจะเดินทางมาเยี่ยมหลานสาวแท้ๆ ที่เรือนแห่งนั้นด้วยตนเอง แต่จนใจที่แม่สามีไม่สบาย จึงต้องอยู่ที่ข้างตั่งนอนคอยดูแลให้นางดื่มยาต้ม
เดิมทีในวัยเช่นฮูหยินผู้เฒ่านี้ ก็ยากจะไม่มีอาการปวดเศียรเวียนเกล้า เว่ยฉางอิ๋งเองก็มิได้เก็บมาใส่ใจอันใด เพียงบอกไปว่าพอดีว่านี่เป็นช่วงต่อระหว่างฤดูใบไม้ผลิกับฤดูร้อน คนสูงอายุปรับตัวไม่ค่อยทัน พวกรุ่นลูกหลานจึงไม่กล้าชักช้าและต้องคอยเฝ้าดูอยู่ข้างตั่งนอน
แต่ไม่คิดว่าแม่เฒ่าเติ้งจะถึงกับหมดสติไป…
อย่าได้กลายเป็นว่าพอตนเข้าบ้านก็มาเกิดเรื่องใหญ่โตขึ้นเชียว? เว่ยฉางอิ๋งอดกระวนกระวายขึ้นมาไม่ได้
เว่ยฉางอิ๋งพร้อมกับนางหลิวเดินไปส่งฮูหยินซู เสิ่นจั้งหนิงและนางตวนมู่ซึ่งเดินทางไปเยี่ยมไข้ที่บ้านตระกูลซู นางจึงได้เลียบๆ เคียงๆ สอบถามนางหลิวว่า “แม่เฒ่าเติ้ง…ท่านยายปกติแล้วสุขภาพดีอยู่หรือไม่เจ้าคะ? ไยจู่ๆ จึงหมดสติไป? และไม่ทราบว่าจะอาการหนักหนาหรือไม่”
สีหน้าของนางหลิวดูเป็นกังวล แต่ก็ไม่ถึงกับลนลาน กล่าวว่า “ปกติแล้วท่านมีสุขภาพดี แต่อย่างไรก็มีอายุถึงเพียงนี้แล้ว นับแต่ต้นปีที่แล้วก็เจ็บออดๆ แอดๆ มาเรื่อยๆ สองวันก่อนได้ยินว่ามีอาการไอเล็กน้อย แต่ไม่คิดว่า…” แม่เฒ่าเติ้งในวัยนี้เมื่อหมดสติล้มไปก็เป็นเรื่องที่อันตรายมากจริงๆ นางหลิวเองก็ไม่กล้าจะพูดสิ่งใดชัดเจน จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา กล่าวว่า “น้องสะใภ้รองไปบ้านซูกับท่านแม่ ข้าคิดว่าจะรับเอาพวกของซูโหร่วสองสามคนนี้มาดูแลในบ้านใหญ่ น้องสะใภ้สามเจ้าเพิ่งจะเข้าบ้านมา เรือนจินถงยังมีที่ต้องจัดแจงอีกมาสินะ พวกเราต่างคนต่างไปทำธุระเถิด”
เว่ยฉางอิ๋งรีบตอบไปว่า “เรื่องจัดเก็บเรือนนั้น รออีกสักหน่อยค่อยทำก็มิเป็นไรเจ้าค่ะ พี่สะใภ้ใหญ่ทางนั้นมีสิ่งใดให้ข้าช่วยเหลือหรือไม่เจ้าคะ? เพราะอย่างไรพวกซูโหร่วล้วนยังเด็กนัก”
นางหลิวหัวเราะ กล่าวว่า “ไม่ต้องหรอก น้องสะใภ้สามอาจยังไม่ทราบ พอดีว่าระยะนี้ข้ารับน้องสาวร่วมตระกูลข้าผู้หนึ่งนามว่ารั่วอวี้มาอยู่ด้วยสักพัก ยามนี้ก็ต้องขอแรงนางมาช่วยอย่างขาดไม่ได้… น้องสะใภ้รองสอนสั่งบุตรสาวมาเป็นอย่างดี บุตรสาวของนางล้วนเชื่อฟังยิ่ง ไม่จำเป็นต้องเป็นกังวลใดๆ”
“ที่แท้มีน้องสาวของพี่สะใภ้ใหญ่อยู่หรือเจ้าคะ?” เว่ยฉางอิ๋งคิดในใจว่าก่อนนี้เคยได้ยินมา ว่าคุณหนูตระกูลหลิวที่ชื่นชอบเสิ่นจั้งเฟิงมิใช่มีนามว่าหลิวรั่วเหยี่ยนี่? แล้วไยคนผู้นี้จึงมีนามว่ารั่วอวี้เล่า? ฟังดูแล้วคล้ายพี่เป็นพี่น้องกัน คงมิใช่ว่าคุณหนูตระกูลหลิวสองพี่น้องนี้ล้วนชื่นชอบสามีตน? หากเป็นดังนี้มันช่าง… จึงกล่าวไปว่า “ข้าเองกลับเพิ่งทราบ วันหลังควรต้องไปเยี่ยมเยือนทางบ้านพี่สะใภ้ใหญ่จึงจะถูกต้องเจ้าค่ะ”
“น้องสะใภ้สามอย่าได้เกรงใจ” นางหลิวยิ้มน้อยๆ พลางว่า “ดีชั่วข้าก็เพียงให้รั่วอวี้อยู่ช่วยไม่กี่วัน ไว้ให้น้องสะใภ้สามว่างแล้วค่อยมาก็ได้ อย่าได้รบกวนเวลาดูแลเรื่องของเจ้าเองเลย”
ทั้งสองคนกล่าวคำตามมารยามไปสักพักจึงแยกย้ายกันกลับเรือนของตน
เว่ยฉางอิ๋งกลับมาที่เรือนจินถง กลับเห็นว่าเสิ่นจั้งเฟิงยังไม่กลับมา จึงเป็นโอกาสดีที่จะเชิญนางว่านมาดื่มน้ำชา ‘คุยสรรเพเหระ’ กัน
นางว่านพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า “ต่อหน้าฮูหยินน้อยหรือจะมีที่สำหรับข้าน้อยนั่ง” เมื่อถูกนางเฮ่อขืนจับให้มานั่งลงจึงกล่าวขอบคุณอย่างนอบน้อมแล้วดื่มน้ำชาไปจิบน้อยๆ เว่ยฉางอิ๋งส่งสัญญาณ นางเข้าใจในทันที จึงกล่าวถึงเรื่องต่างๆ ในบ้านเสิ่น “หลายปีมานี้ฮูหยินเองมิใคร่จัดการเรื่องต่างๆ แล้ว ยามนี้เรื่องการจัดการในบ้านเป็นฮูหยินน้อยใหญ่ดูแล ส่วนฮูหยินน้อยรองบางทีก็จะมาช่วยบ้าง เพียงแต่ฮูหยินน้อยรองเป็นคนเรียบเฉยสักหน่อย หากมิใช่ยามที่วุ่นวายนักก็จะไม่มาก้าวก่ายเจ้าคะ”
“เมื่อครู่นี้ข้าได้ยินมาว่ายามนี้มีน้องสาวร่วมตระกูลของพี่สะใภ้ใหญ่มาอยู่ในบ้านเราด้วย ท่านอาว่าข้าควรจะไปคารวะสักหนหรือไม่?” เว่ยฉางอิ๋งสอบถามไปอย่างลังเล
นางว่านยิ้มแล้วว่า “คุณหนูสิบตระกูลหลิวนั้นแม้จะมิได้เป็นพี่น้องโดยตรงกับฮูหยินน้อยใหญ่ทว่าก็เป็นที่ชื่นชอบของฮูหยินน้อยใหญ่เป็นอย่างมาก มักจะรับนางมาอยู่ในจวนสักพักอยู่เป็นประจำ ฮูหยินน้อยเพิ่งจะเข้าบ้านมา วันหน้าเมื่อได้ไปทางเรือนของฮูหยินน้อยใหญ่สักสองสามหนก็จะต้องคุ้นเคย ตามความเห็นข้าน้อยกลับไม่จำเป็นต้องเร่งรีบไปในสองวันนี้…สองวันนี้ในเรือนของเราก็ยังมีเรื่องต้องทำอีกมาเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งลองสอบถามว่า “นามของคุณหนูสิบตระกูลหลิวนี้ ข้าได้ยินพี่สะใภ้สามเรียกนางว่ารั่วอวี้? ไม่ทราบว่าตอนนี้นางอายุสักเท่าใด เมื่อยามได้ไปหาจักได้เลือกของกำนัลที่เหมาะสมไว้ให้นาง”
“ข้าน้อยได้ยินคนว่าอ่อนกว่าฮูหยินน้อยเพียงปีเดียวเจ้าคะ” นางยิ้มอย่างมีนัยยะอื่นซ่อนอยู่ แล้วกล่าวว่า “ยามนี้ไม่มีผู้อื่นอยู่ ข้าน้อยขอพูดมากสักหน่อย…มารดาของคุณหนูสิบบ้านหลิวนั้นเสียชีวิตไปนานแล้ว ฮูหยินใหม่คล้ายจะปฏิบัติต่อนาง… ซึ่งนี่ก็เป็นสาเหตุที่ฮูหยินน้อยใหญ่ของพวกเรามักจะรับนางมาพักอยู่ในด้วยบ่อยครั้ง อย่างไรเสีย แม้ฮูหยินน้อยใหญ่ก็เป็นบุตรสาวตระกูลหลิว แต่ก็ออกเรือนมาแล้ว จึงไม่ใคร่เหมาะจะเอ่ยถึงเรื่องในบ้านของตนเท่าใดนักเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งฟังความหมายของนางว่านออก ว่านี่เป็นการบอกเป็นนัยว่าตนไม่ต้องคิดมาก เหตุที่นางหลิวรับหลิวรั่วอวี้มาพักที่บ้านใหญ่ชั่วคราว ด้วยสงสารน้องสาวลูกผู้น้องผู้นี้ว่าจะถูกรังแกยามอยู่ใต้น้ำมือของมารดาใหม่ แต่ด้วยนางหลิวออกเรือนแล้ว ทั้งไม่อาจต่อว่าผู้ใหญ่ว่าทำเรื่องไม่ควร ทำได้เพียงรับน้องสาวมาอยู่ที่บ้านตน นอกจากจะทำให้น้องสาวรู้สึกสบายใจขึ้น ทั้งยังเป็นการบอกโดยอ้อมว่ามารดาใหม่ของนางอย่าได้ทำการเกินไปนัก…บุตรสาวเลี้ยงต้องมาพักอยู่ที่บ้านสกุลเสิ่นบ่อยครั้ง ด้วยอับจนข้นแค้นเกินไปหรือมีสีหน้าย่ำแย่เกินไป ผู้คนย่อมวิพากษ์วิจารณ์ว่ามารดาใหม่ไร้ความเมตตาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ที่แท้อายุรุนราวคราวเดียวกับข้า เช่นนั้นข้าก็รู้แล้วว่าถึงเวลาควรจะส่งของกำนัลใดไป” เว่ยฉางอิ๋งหน้าแดงขึ้นเล็กน้อย เพียงแต่ความสงสัยในใจกลับยังมิทันกระจ่าง…แม่นมชวี่เคยบอกว่า หลิวรั่วอวี้ผู้นี้สนใจเสิ่นจั้งเฟิงยิ่ง?
เมื่อคิดถึงว่าหลิวรั่วอวี้ก็อายุสิบเจ็ดปีแล้ว เด็กสาวในวัยนี้หากยังไม่ออกเรือนก็ก็จะต้องเตรียมตัวแต่งงานแล้ว ไยจึงยังมีเวลามาที่บ้านของพี่สาวร่วมตระกูลเล่า? ต่อให้มารดาใหม่ปฏิบัติต่อนางไม่ดี แต่ดีชั่วอย่างไรก็จะให้นางแต่งออกอยู่แล้ว… ไม่ว่าจะรังเกียจนางปานใด เพียงชั่วเวลาไม่นานเช่นนี้ก็จะทนไม่ไหวเชียวหรือ? มีความแค้นใหญ่หลวงเพียงนั้นเชียว?
เพียงแต่นางว่านก็เป็นแม่นมของเสิ่นจั้งเฟิง ทั้งยังนอบน้อมกับตนยิ่ง นางก็บอกมาโดยอ้อมแล้วว่าไม่ต้องเคลือบแคลงในตัวหลิวรั่วอวี้ หากยังถามให้มากความ เช่นนั้นก็เท่ากับไม่เชื่อนางว่าน เว่ยฉางอิ๋งจึงยิ้มกลบเกลื่อนไป และตัดสินใจให้นางหวงไปสอบถามเองอย่างลับๆ ในภายหลัง
“ใช่แล้ว ท่านอาบอกว่าพี่สะใภ้รองเป็นคนเรียบเฉย ทว่าวันที่ข้าเข้าบ้านมา พี่สะใภ้รองกลับพูดหยอกล้อกับข้า ข้ายังนึกว่าพี่สะใภ้รองเป็นคนร่าเริงช่างเจรจาเสียอีก!” เว่ยฉางอิ๋งดื่มน้ำเฉินเซียงไปอึกหนึ่ง พลางหัวเราะเบาๆ
นางว่านเข้าใจ ครุ่นคิดสักพักจึงกล่าวว่า “ฮูหยินน้อยรองมีความสัมพันธ์อันดีต่อคุณหนูของจือเปิ่นถังสองสามท่านมาโดยตลอด หนึ่งในนั้น คุณหนูห้าตระกูลเว่ยแห่งจือเปินถังเว่ยลิ่งจือสนิทสนมกับฮูหยินน้อยรองเป็นพิเศษ ทั้งยังเคยสอนให้คุณหนูหลานรองของเราดีดฉินด้วยเจ้าค่ะ…ด้วยเป็นลูกผู้พี่ผู้น้องฝั่งมารดา รุ่ยอวี่และบ้านรองของจือเปิ่นล้วนเป็นตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจว คงเป็นเพราะเหตุนี้ ฮูหยินน้อยรองจึงให้ความสนิทสนมกับฮูหยินน้อยเป็นพิเศษ ในวันที่ฮูหยินน้อยเข้าบ้านจึงได้สนทนาเย้าหยอกเฮฮากันกระมังเจ้าคะ!”
ที่แท้ปัญหาก็ยังมาจากจือเปิ่นถัง
นับแต่เว่ยฉีเกษียณตัวจากราชการ จือเปิ่นถังก็สูญเสียอำนาจไปอย่างใหญ่หลวง โดยเฉพาะผู้ที่รับตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายปกครองก็ยังเป็นเว่ยหวน ซึ่งเป็นคนในอีกสายหนึ่งของรุ่ยอวี่ถัง แม้จะบอกว่ายังมีบุตรอีกสองสามคนของเว่ยฉีที่มีความสามารถ ทว่ายามนี้เว่ยฉีผัวเมียล้วนถูกเว่ยฮ่วนกักตัวไว้เป็นตัวประกันที่เฟิ่งโจว พวกเขาจึงทำการใดไม่ได้เต็มไม้เต็มมือ ในทางแจ้งนั้นเว่ยเซิ่งอี๋ดูคล้ายเคยมีเว่ยฉีคอยส่งเสริม แต่ในทางลับเขากลับถูกเว่ยฉีคอยขัดขวางและข่มเหง กลายเป็นว่าเมื่อไม่มีเว่ยฉีแล้ว เว่ยเซิ่งอี๋จึงพอจะมีโอกาสได้ลืมตาอ้าปากบ้าง
เว่ยฉางอิ๋งลอบแค่นเสียงอย่างดูแคลนในใจว่า นางตวนมู่ก็ไม่น่าต้องหาเรื่องหาราวกับตนเพราะคำของลูกผู้น้อง เกรงว่าข้อขัดแย้งที่ใหญ่หลวงที่สุดก็ยังคงอยู่ที่ตำแหน่งประมุขตระกูลเสียมากกว่า
ความรู้สึกขัดแย้งเช่นนี้ไม่อาจหดหายไปได้ นิสัยส่วนตัวของเว่ยฉางอิ๋งก็ไม่ชอบยอมให้ผู้ใด จึงได้เก็บบ้านสองใส่ไว้ในบัญชีเฝ้าระวังในทันที และถามถึงคนอื่นๆ ในบ้านเสิ่นต่อไป
นางว่านพูดกับนางถึงน้องสาวของสามีทั้งใหญ่เล็กเป็นอันดับแรก “คุณหนูใหญ่และคุณหนูสามล้วนเป็นบุตรสาวของท่านเซียงหนิงปั๋ว คุณหนูใหญ่แต่งกับคุณชายรองตระกูลซู เพียงแต่ปีนั้นคุณชายตระกูลซูล้มป่วยและเสียชีวิต คุณหนูใหญ่เสียใจยิ่งนักไม่อาจทนอยู่ที่บ้านซูได้ต่อไปจึงย้ายกลับมาอยู่ที่จวนเซียงหนิงปั๋ว ฮูหยินท่านเซียงหนิงปั๋วเสียชีวิตไปนานแล้ว หลังจากคุณหนูใหญ่กลับมาจึงได้ช่วยแบ่งเบาภาระการดูแลเรื่องต่างๆ ในบ้าน ส่วนคุณหนูสามนั้น หลังจากมารดาของคุณหนูสามเสียไปคุณหนูสามก็ยังคงไว้ทุกข์จนถึงวันนี้ ยามฮูหยินน้อยและคุณชายไปคารวะที่จวนเซียงหนิงปั๋ว คุณหนูใหญ่และคุณหนูสามจึงต่างมิได้ออกมาเจ้าค่ะ”
แม่ม่ายผู้หนึ่ง กับผู้ที่ไว้ทุกข์ ไม่เหมาะจะมาพบกับคู่แต่งงานใหม่จริงดังว่า
“คุณหนูรองเป็นบุตรสาวคนโตของฮูหยินของเรา ปีนั้นเข้าพระเนตรฮ่องเต้ จึงพระราชทานให้เป็นพระชายาเอกของท่านอ๋องจี่ ยามนี้ยังคงติดตามท่านอ๋องจี่อยู่ในเขตที่ดินศักดินา จึงมิได้เห็นนางเจ้าค่ะ” นางว่านยิ้มน้อยๆ ยามเอ่ยถึงพวกน้องชายของสามี “คุณชายสี่หมั้นหมายแล้ว ว่าที่ฮูหยินน้อยสี่เป็นคุณหนูตระกูลเผย อีกสองเดือนให้หลังก็จะเข้าบ้านแล้วเจ้าค่ะ คุณชายห้าเป็นบุตรชายคนเล็กของบ้านเราซึ่งสนิทสนมกับคุณชายของเรามาก แน่นอนว่าคุณชายหกและคุณชายแปดด้วย โอ้ ใช่แล้ว คุณชายเจ็ดของเซียงหนิงปั๋วทางนั้นก็เหมือนคุณชายสี่ ที่ล้วนเป็นฮูหยินของเราดูแลมาจนเติบใหญ่เจ้าค่ะ!”
เว่ยฉางอิ๋งกล่าวด้วยความสงสัย “นี่เป็นเพราะเหตุใด?”
“เพราะหลายปีก่อนนั้นท่านเซียงหนิงปั๋วเคยสูญเสียคุณชายหลายท่านไปแต่ยังเล็ก หลังจากนั้นเมื่อฮูหยินของท่านเซียงหนิงปั๋วคลอดคุณชายสี่แล้วจึงไม่กล้าเลี้ยงดูเอง และขอให้ฮูหยินของเราช่วยเลี้ยงดูให้ ไม่คิดว่าก็กลับเติบโตมาแข็งแรงจริงๆ ดังนั้นเมื่อคุณชายเจ็ดเกิด ท่านเซียงหนิงปั่วจึงขอร้องให้ฮูหยินช่วยเลี้ยงดูไปด้วยกัน” นางว่านยิ้มพลางว่า “เช่นนั้นต่อหน้าฮูหยินของพวกเราทั้งคุณชายสี่และคุณชายเจ็ดจึงเหมือนเป็นบุตรแท้ๆ เจ้าค่ะ”
“ท่านแม่เป็นผู้มีเมตตายิ่ง” เว่ยฉางอิ๋งอมยิ้มพลางกล่าวอย่างอ่อนโยน
แล้วยังสนทนาถึงเรื่องสิ่งที่ฮูหยินซูโปรดปรานอีกสองสามประโยค นางว่านรู้เรื่องใดก็ไม่ปิดบัง และมีเรื่องเล่าไม่จบสิ้น ทั้งยังพลอยเล่าถึงอาหารและสิ่งของต่างๆ ที่เสิ่นจั้งเฟิงโปรดปรานอีกด้วย… เช่นนี้เรื่อยไปจนถึงเที่ยง เว่ยฉางอิ๋งอยากจะให้นางอยู่ทานอาหารด้วยกัน แต่เสิ่นจั้งเฟิงกลับกลับมาเสียแล้ว
_______________________________