ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 12-2 สงบข้อพิพาท (2)
“จากนั้นลูกหลานก็เอาแต่นอนกินสมบัติเก่าจนหมด ไม่ถึงสองสามรุ่นก็จะถูกพวกบ่าวจอมสับปลับรังแกเอา?” ตวนมู่ซินเหมี่ยวสีหน้าเคร่งเครียดตอกกลับไป
เชื้อพระวงศ์และสามัญชนต่างกันราวฟ้ากับดิน แม้บิดามารดาของเติ้งจงฉีจะเสียไปนานแล้ว อีกทั้งยังถูกคนในตระกูลขับไล่ไสส่ง ทว่าชีวิตของเขาและเติ้งวานวานเมื่อก่อนนี้ก็ยังเป็นชีวิตที่คนทั่วไปจำนวนมากมายโหยหาและอิจฉาแล้ว
พอตวนมู่ซินเหมี่ยวพูดเรื่องนี้ เติ้งจงฉีจึงไม่อาจพูดสิ่งใดอีก หรือจะยังเสนอแนะว่าเมื่อไช่อ๋องถูกถอดพระยศกลายเป็นสามัญชนแล้ว วันหน้าก็ไปแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงเพื่อให้ลูกหลานได้มีฐานะเป็นชนชั้นสูงสักตระกูลหนึ่ง?
ฮ่องเต้ทรงเกรงกลัวตระกูลสูงศักดิ์ ตระกูลสูงศักดิ์เองก็เกรงกลัวฮ่องเต้ …หากไม่ถึงขั้นเป็นตาย ไม่เพียงแค่ฮ่องเต้ที่ทรงตัดสินพระทัยลงมือกับตระกูลสูงศักดิ์ในทันทีทันใดไม่ได้ ตระกูลสูงศักดิ์เองก็หากไม่ถึงขั้นไม่มีหนทางอื่นแล้วจริงๆ ก็ไม่ต้องการจะได้ชื่อว่าเป็นผู้วางแผนสังหารกษัตริย์เช่นกัน ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นเพราะเสิ่นจั้งเฟิงสัมผัสได้ว่าองค์รัชทายาททรงตั้งตัวเป็นศัตรูกับตระกูลเสิ่นจึงได้เริ่มวางแผนเปลี่ยนตัวองค์รัชทายาท หากเข้าไปก้าวก่ายเรื่องตัวเลือกของผู้สืบราชบัลลังก์ยังไม่นับว่าเป็นสิ่งใด การปรับเปลี่ยนตัวผู้สืบราชบัลลังก์ในแต่ละยุคสมัยแต่กาลก่อนจะไม่มีเงาของตระกูลเลื่องชื่ออยู่เบื้องหลังได้อย่างไร? แต่หากให้เซินสวินได้มาเป็นกษัตริย์จริงๆ ถึงยามนั้นต่อให้สังหารกษัตริย์ได้สำเร็จ นอกเสียจากคนตระกูลเสิ่นได้ขึ้นครองราชย์ ขึ้นมาปกครองแผ่นดินต้าเว่ยเสียเอง หาไม่แล้วชีวิตในวันข้างหน้าจะอยู่อย่างเป็นสุขได้อย่างไร!
ต่อให้ต้าเว่ยสูญสิ้นและสร้างราชวงศ์ใหม่ขึ้นมา แต่กษัตริย์พระองค์ใดจะสามารถวางใจให้ตระกูลชั้นสูงที่เคยสังหารกษัตริย์ยังคงอยู่ต่อไป?
หากวันใดทั้งกษัตริย์และขุนนางไม่ปรองดอง ถ้าเกิดว่าตระกูลเสิ่นซึ่งเคยสังหารกษัตริย์ได้อย่างราบรื่นหันมากำจัดกษัตริย์พระองค์ใหม่แล้วจะทำอย่างไร? กษัตริย์พระองค์ใหม่ไม่ต้องการถูกกำจัด ก็มีเพียงต้องกำจัดตระกูลเสิ่นเสียก่อน
ฉะนั้น ในเมื่อฮ่องเต้เพียงแค่ใช้พระโอรสและพระนัดดาของตนมาเป็นการตักเตือน ตระกูลสูงศักดิ์เองก็จะไม่จงใจไปสร้างความไม่พอพระทัยให้แก่ฮ่องเต้ อย่างเช่นที่ตวนมู่สิ่งคอยเก็บเนื้อเก็บตัวก่อนหน้านี้ ตระกูลเสิ่นปั้นเติมเสริมแต่งเรื่องอาการบาดเจ็บของเสิ่นจั้งเฟิงทั้งยังส่งเว่ยฉางอิ๋งเดินทางไปเยี่ยมสามีไกลถึงพันลี้ …ทั้งหมดล้วนเป็นการแสดงความศิโรราบของขุนนางเพื่อลดความกังวลพระทัยของ ฮ่องเต้
สำหรับตวนมู่ซินเหมี่ยวแล้วพี่สาวร่วมท้องและหลานชายแท้ๆ ของตนเป็นญาติที่สำคัญที่สุดในโลกนี้ แต่สำหรับราชสำนักหรือตระกูลตวนมู่แล้ว ว่ากันจากใจจริงสองแม่ลูกนี้ก็ไม่ได้มีค่าอันใด …อย่าว่าแต่ท่านย่าและท่านแม่ของพระมารดาไช่อ๋องล้วนเสียไปแล้วเลย ท่านปู่ซึ่งเป็นประมุขของตระกูลและบิดาที่จะรับช่วงตระกูลตวนมู่แห่งจิ่นซิ่วต่อ แต่ไรมาล้วนมองแต่ผลประโยชน์ของส่วนรวม ย่อมไม่มาสนใจพวกเขามากมาย แม้แต่เสิ่นจั้งซิ่วที่ทั้งบิดามารดายังมีชีวิตอยู่ นางเป็นบุตรสาวคนโตของเสิ่นเซวียนสามีภรรยา โดยเฉพาะอย่างยิ่งฮูหยินซูรักใคร่นางเป็นที่สุด หลังจากสามีของนางต้องเปลี่ยนจากจี้อ๋องมาเป็นเซินเจียสามัญชนธรรมดา ตนเองก็เปลี่ยนจากพระชายาจี้อ๋องมาเป็นนางเสิ่น ทางตระกูลเสิ่นก็มิใช่ว่าเงียบเฉยกับนาง กระทั่งไม่ส่งบ่าวสักคนมาดูสักหนหรอกหรือ?
ในความเสมอภาคที่เล็กน้อยเช่นนี้ หากไม่มีความช่วยเหลือจากภายใน ลำพังแค่บุตรีตระกูลสูงศักดิ์เพียงผู้เดียวคิดอยากจะต่อกรกับฮ่องเต้ ก็ล้วนเป็นเพียงเรื่องตลกเรื่องหนึ่ง
แม้แต่เว่ยฉางอิ๋งเองที่ต่อให้อยากจะช่วยแต่ก็จนหนทาง
ตวนมู่ซินเหมี่ยวหดหู่ท้อแท้เป็นที่สุด!
เว่ยฉางอิ๋งปลอบโยนนางไม่ไหว จึงทำได้แต่กล่อมให้นางแก้พิษให้เติ้งจงฉีก่อน “ในเมื่อเมื่อครู่นี้เจ้าก็บอกออกมาจนหมดแล้ว เวลานี้ข้าก็จะไม่ไปพูดเรื่องไม่ดีเหล่านั้นกับเจ้า คนที่สามารถข่มขู่ไช่อ๋องแม่ลูกได้ ไม่มีทางเป็นสนมเอกเติ้งแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น สนมเอกยืนหยัดอยู่ในวังหลวงมานานปี แม้ไม่อาจบอกได้ว่าเป็นที่โปรดปรานเหนือตำหนักทั้งหก ทว่าก็ยังสามารถเข้าไปทูลเรื่องต่างๆ กับฮ่องเต้ได้ คุณชายเติ้งเป็นคนใจกว้าง ทว่าสนมเอกก็รักใคร่คุณชายเติ้งเสมอมา น้องซินเหมี่ยวหากเจ้าบีบบังคับสนมเอกเกินไป เกรงว่ากลับยิ่งเป็นการทำร้ายไช่อ๋องแม่ลูก”
“ข้ากลับรู้สึกว่าในเมื่อเป็นดังนี้ มิสู้เก็บยาพิษนี้เอาไว้ใช้ควบคุมสนมเอกเสียเลยดีกว่า” ตวนมู่ซินเหมี่ยวได้ยินคำก็นิ่งคิดอยู่เนิ่นนาน แล้วปรายตาไปมองเติ้งจงฉี พลางกล่าวอย่างไม่เกรงเลยสักนิด “สนมเอกรักใคร่เขาประหนึ่งลูกแท้ๆ ก็ไม่ปาน! ย่อมทนให้เขาตายไม่ได้ หากได้รับจดหมายที่เขาร้องขอให้สนมเอกช่วยชีวิต นางต้องไม่ยอมชักช้าเป็นแน่ และต้องช่วยพูดให้พี่หญิงใหญ่และหลานชายข้าทุกวิถีทางแน่นอน”
ยามนี้ชีวิตของเติ้งจงฉีอยู่ในกำมือของตวนมู่ซินเหมี่ยว แต่เข่ากลับมีท่าทีสงบนิ่งยิ่งนักและเอ่ยอย่างราบเรียบไปว่า “หากข้ากลัวตาย ตอนที่รู้สึกว่าต้องพิษตั้งแต่แรกก็ต้องลงมือควบคุมตัวคุณหนูตวนมู่ แล้วใช้ชีวิตของคุณหนูตวนมู่เค้นถามหายาถอนพิษไปแล้ว”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวสำลักแล้วหันหน้าหนี ยิ้มหยันพลางว่า “ข้าว่าเจ้าไม่กล้าแสดงความขลาดกลัวออกมาต่อหน้าพี่เว่ย! แสร้งทำเป็นสงบนิ่งมากกว่า!”
เดิมทีที่นางเอ่ยเช่นนี้ก็เป็นเพราะถูกท่าทีสงบนิ่งเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นของ เติ้งจงฉีทำเอานางหาทางไปไม่ได้ จึงได้โพล่งออกไปเรื่อยเปื่อยเป็นการตอบโต้เขา ทั้งที่จริงแล้ว เขาก็มิได้สังเกตดูพวกของเว่ยฉางอิ๋งทั้งสองคนเลยเสียด้วยซ้ำ
ทว่าก่อนหน้านี้เติ้งจงฉียังมีท่าทีเยือกเย็นอยู่ จู่ๆ ก็สะท้านไปทั้งตัว พลันกวาดหางตาไปที่เว่ยฉางอิ๋งโดยไม่รู้ตัว แต่กลับเห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งไม่ได้มองตนอยู่ หากแต่ยังคงพยายามพูดจาดีๆ กล่อมตวนมู่ซินเหมี่ยวว่า “น้องซินเหมี่ยวคิดการดังนี้ไม่ถูกต้องยิ่งนัก! ข้าคิดว่าสนมเอกก็มิได้เพิ่งเข้าวังมาเมื่อวาน หากแต่เป็นผู้ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวในวังมาหลายสิบปี ทั้งด้วยฐานะสูงส่งดังนี้ของสนมเอก จะยอมให้น้องซินเหมี่ยวที่เป็นเพียงเด็กรุ่นลูกผู้หนึ่งบีบบังคับนางได้หรือ? ข้ากลับรู้สึกว่าหากสนมเอกรู้เรื่องนี้ก็ต้องวางแผนตอบโต้กับทางไช่อ๋องแม่ลูกเป็นแน่ อย่างน้อยก็ต้องให้เสมอกับน้องซินเหมี่ยวทำ! เพื่อมิให้เจ้าสร้างความลำบากให้คุณชายเติ้งจริงๆ!”
โอ้โลมปฏิโลมกันไปดังนี้ ในใจของตวนมู่ซินเหมี่ยวเองก็รู้ดีว่าสนมเอกเติ้งไม่มีทางเป็นคนชนิดที่ข่มขู่ได้โดยง่าย โดยเฉพาะที่ยามนี้ท่านผู้ซึ่งใช้ไช่อ๋องแม่ลูกมาบีบบังคับให้ตนเชื่อฟังผู้นั้นเป็นถึงฮ่องเต้ หากสนมเอกเติ้งได้รู้ว่าตนใช้เติ้งจงฉีมาข่มขู่นาง ไม่แน่ว่าพระสนมเอกผู้นี้จะไปปั้นเติมเสริมแต่งต่อพระพักตร์ฮ่องเต้ เพื่อให้ฮ่องเต้ทรงลงมือกับไช่อ๋องแม่ลูก …นี่กลับมิใช่สิ่งที่นางหวังจะได้เห็น ฉะนั้นเมื่อเว่ยฉางอิ๋งพยายามหาทางลงให้นางหลายคราว นางก็ลงมาเสียเถิด จึงเขียนยาชุดโยนให้แก่เติ้งจงฉี บอกว่า “เจ้าไปหายามาเคี่ยวกินเอง ดื่มติดต่อกันสามครั้งก็หายแล้ว”
เมื่อเรื่องวุ่นวายคราวนี้ดำเนินมาถึงตรงนี้ก็ยุติลงแล้ว เว่ยฉางอิ๋งเห็นว่าเติ้งวานวานยังไม่ตื่น สาวใช้สองคนของเติ้งวานวานยืนตัวลีบอยู่ที่มุมห้องด้วยสีหน้าตื่นกลัว …นั่นเพราะตอนที่ตวนมู่ซินเหมี่ยวโต้เถียงกับเติ้งจงฉี เมื่อครูนี้ล้วนลืมให้คนออกไป บ่าวเช่นจูหลานและจูสือล้วนเป็นคนสนิทของเว่ยฉางอิ๋ง เมื่อมาได้ยินเรื่องนี้เข้าก็ยังแล้วไป แต่แม้พวกนางจะเป็นสาวใช้ใกล้ชิดของเติ้งวานวานแต่ก็ไม่ถึงขั้นเป็นบ่าวคนสนิท พวกนางย่อมกังวลว่าจะถูกปิดปาก …ความจริงแล้วทั้งตวนมู่ซินเหมี่ยว เติ้งจงฉีและเว่ยฉางอิ๋งก็ต่างเพิ่งนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาพร้อมกัน ซึ่งทั้งสามคนล้วนเข้าใจประเด็นนี้ดีอยู่ในใจและหันมาสบตากันคราวหนึ่ง เว่ยฉางอิ๋งจึงถามอย่างราบเรียบว่า “เหตุใดจนยามนี้วานวานก็ยังไม่ได้สติ?”
“เมื่อครู่นี้นางหมดสติไป ข้าคิดว่าถ้านางตื่นขึ้นมาก็ต้องมาดึงตัวข้าร้องห่มร้องไห้วุ่นวาย ข้ารำคาญต้องมาทนรับเรื่องเช่นนี้เป็นที่สุด จึงฝังเข็มนางไปเข็มหนึ่ง เพื่อให้นางนอนหลับไปเสียเลย น่าจะ…อื่ม หลังจากตอนเย็นวันนี้ไปก็จะตื่นขึ้นมาเอง” ตวนมู่ซินเหมี่ยวเอ่ย เมื่อเห็นว่าเติ้งจงฉีกำลังจะพูด ตวนมู่ซินเหมี่ยวจึงเอ่ยอย่างรำคาญใจว่า “ไม่เป็นอันตรายต่อนางหรอกน่า! สนมเอกเติ้งก็มิใช่ชอบนางนักหนา ร่างกายนางบอบบางเพียงนั้น เป็นตัวทดลองเข็มทดลองยาไม่ไหวหรอก ข้าจะไปลงไม้ลงมือกับนางทำสิ่งใด?”
เติ้งจงฉีฟังคำพูดนี้แล้วกลับยิ่งไม่วางใจ พลันหันไปขอร้อง เว่ยฉางอิ๋งต่อหน้า ตวนมู่ซินเหมี่ยวว่า “ต้องรบกวนพี่สะใภ้หาคนไปส่งน้องสาวข้ากลับเข้าในห้อง และช่วยจัดหาหมอที่น่าเชื่อถือท่านหนึ่งมาให้น้องสาวข้าด้วย”
เว่ยฉางอิ๋งกดตวนมู่ซินเหมี่ยวที่กำลังจะตอบโต้เอาไว้และหันไปบอกกับเติ้งจงฉีว่า “คุณชายเติ้งโปรดวางใจเถิด เรื่องเหล่านี้ล้วนให้ข้าจัดการ”
______________