ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 121 “กลอนชมดอกอวี้หลาน”
วันต่อมา นางฮั่วฮูหยินใหญ่และตวนมู่อู๋เซ่อฮูหยินรองตระกูลซ่งก็ถูกเชิญตัวมาที่จวนเสิ่นด้วยความมึนงง ครั้งเว่ยฉางอิ๋งไปเยี่ยมซ่งไจ้สุ่ยคราวก่อนได้พบกับ ตวนมู่อู๋เซ่อแล้ว ส่วนนางฮั่วซึ่งเป็นพี่สะใภ้ใหญ่บ้านลุงเพิ่งได้พบหน้าหนนี้เป็นหนแรก
หน้าตาของนางฮั่วค่อนข้างคล้ายกับฮั่วชิงหลิงที่เคยได้พบในวังเมื่อคราวก่อน ไม่รู้ว่าเป็นพี่น้องในบ้านเดียวกันหรือไม่ นางน่าจะมีอายุเท่ากับซ่งไจ้เถียน นับว่าเป็นรุ่นราวคราวเดียวกับนางหลิว เมื่อเทียบกับพวกสะใภ้เช่นเว่ยฉางอิ๋งที่เพิ่งจะแต่งงานก็นับว่านางค่อนข้างมีอายุแล้ว ดูท่าทางเป็นคนอ่อนโยน มุมปากอมยิ้มอยู่ตลอดเวลา ดูไปแล้วดวงตามีเมตตานัก พอได้เห็นก็รู้ว่าต้องเป็นคนใจดีมีเมตตาคนหนึ่ง
นางหมิ่นพาเผยเหม่ยเหนียงมารออยู่ก่อนหน้าตั้งนานแล้ว จึงมาคอยตอบรับพวกนางเข้าประตูพร้อมกับพวกของนางหลิวด้วย หลังจากแยกกันเข้าที่นั่งของเจ้าบ้านกับแขกและทักทายกันสองสามประโยค นางฮั่วจึงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มถึงสาเหตุที่เชิญพวกนางคู่สะใภ้มา
ทางนี้นางหลิวเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ฟังโดยคร่าวๆ กล่าวว่า “ต้องขอให้น้องเผยเป็นคนมาเล่าเองว่าเป็นวันใด และวันนั้นเป็นสถานการณ์เช่นใดเถิด”
ว่าแล้วเผยเหม่ยเหนียงจึงเล่าเรื่องราวความเป็นมาแต่ต้นจนจบ บอกว่าวันนั้นเป็นวันเกิดของฮั่วชิงหลิงซึ่งเป็นน้องสาวแท้ๆ ของนางฮั่ว จึงเชิญคุณหนูสูงศักดิ์ของแต่ละบ้านไปร่วมฉลองเล็กๆ ที่จวน เผยเหม่ยเหนียง นางฮั่ว และยังมีตวนมู่อู๋เซ่อล้วนไปด้วย ในงานเลี้ยงคราวนั้นตวนมู่อู๋เซ่อได้ดึงตัวเผยเหม่ยเหนียงไปที่ใต้ร้านองุ่นในส่วนดอกไม้เล็กของบ้านฮั่วและพูดคำยุยงเหล่านั้น
นางพูดได้ชัดเจนนัก ทั้งเวลา สถานที่ สถานการณ์ล้วนละเอียดเป็นอย่างยิ่ง ไม่เหมือนปั้นเรื่องขึ้นมาลอยๆ แต่อย่างใด เมื่อทุกคนฟังแล้วสายตาที่มองไปยังตวนมู่อู๋เซ่อก็ค่อยแปลกประหลาดขึ้นมาทุกที…
สีหน้าของตวนมู่อู๋เซ่อเปลี่ยนไปทันใด แล้วต่อว่าเผยเหม่ยเหนียงต่อหน้าทุกคนขึ้นมา “พูดจาส่งเดชจริงๆ ข้าก็มิได้สนิทสนมอันใดกับเจ้า แล้วจะดึงเจ้าไปพูดเช่นนี้ได้อย่างไร?”
คำพูดนี้ก็มีเหตุผล และนางก็ไม่มีท่าทีรู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย แต่จนใจเหลือที่ ไม่ว่าใครก็ดูออกว่านางฮั่วซึ่งนั่งอยู่ถัดจากนางขึ้นมากลับมีท่าทีไม่สบายใจเอาเสียเลย แล้วพูดตะกุกตะกักว่า “เรื่องนี้? ระ…เรื่องนี้…กะ…ก็ผ่านไปนานมากแล้ว ข้ากลับจำไม่ได้แล้ว” ยังไม่ทันพูดจบใบหน้าของนางฮั่วก็พลันแดงลงไปถึงลำคอก่อนแล้ว
นางหมิ่นพลันร่ำไห้และคุกเข่าลงต่อหน้านางฮั่ว โดยไม่สนใจว่าตวนมู่อู๋เซ่อกำลังโมโหโกรธายกใหญ่ “ได้ยินบุตรสาวบอกว่าเรื่องนี้เพิ่งผ่านมาไม่นานเท่าใด ซึ่งก็เป็นเรื่องช่วงที่นางกำลังจะออกเรือน ห่างจากตอนนี้ก็ไม่ถึงสองสามเดือน เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงเรื่องใหญ่ชั่วชีวิตของบุตรสาวข้าและชื่อเสียงของสตรีทั้งตระกูลเผยของข้านะเจ้าคะ! ฮูหยินฮั่ว ท่านโปรดอย่าได้ทำเป็นเลอะเลือนด้วยต้องการปกป้องน้องสะใภ้ของตนเองเลยเจ้าค่ะ! ข้าขอร้องท่านล่ะ ท่านโปรดให้ความเมตตาให้ความเป็นธรรมกับบุตรสาวของข้าด้วยเถิด! บุตรสาวข้าล้วนบอกแล้วว่าขณะที่น้องสะใภ้ของท่านพูดนั้น นางก็ทั้งตื่นตระหนกทั้งหวาดกลัว และเพราะท่านไม่อาจฟังต่อไปจึงออกปากตำหนิและยับยั้งนางเอาไว้!”
บ้านฝั่งมารดาและบิดาของนางหมิ่นล้วนเป็นเพียงตระกูลใหญ่ แต่จะอย่างไรนางก็เป็นผู้ใหญ่กว่า …แล้วนางฮั่วจะกล้ารับการคารวะอย่างใหญ่โตของนางต่อหน้าผู้คนมากมายได้อย่างไร จึงรีบสะดุ้งขึ้นมาจากที่นั่ง แล้วเอื้อมมือไปประคองนางไว้อย่างลนลาน “ฮูหยินหมิ่นท่านโปรดอย่าทำเช่นนี้ โปรดอย่าทำเช่นนี้เลย!”
ทว่ายิ่งนางเป็นดังนี้ นางหมิ่นก็ยิ่งยืนกรานจะคุกเข่าลงเสียให้ได้ แล้วเอ่ยทั้งน้ำหูน้ำตาไหลว่า “หากวันนี้ท่านไม่ยอมให้ความบริสุทธิ์แก่บุตรสาวข้า บุตรสาวของข้าก็จะต้องแบกรับความผิดว่าไม่ดีงามและอกตัญญูต่อผู้ใหญ่ หากข้าสอนสั่งบุตรสาวเป็นดังนี้ แล้วข้ายังจะมีหน้าอยู่ต่อไปได้อย่างไรเล่า? ข้าก็คงมีแต่จะต้องชดใช้บ้านฝั่งเขยด้วยความตายเท่านั้นแล้ว!”
เผยเหม่ยเหนียงพลันเข้าไปประคองนาง กล่าวว่า “ผู้ใดทำ ผู้นั้นรับผิด ต้องโทษที่ข้ายังเด็กนักไม่รู้ดีชั่วที่ไปหลงเชื่อตวนมู่อู๋เซ่อ และนึกว่าพี่สะใภ้ฮั่วเป็นคนจิตใจเมตตา แม้คิดปกป้องน้องสะใภ้ของตน แต่ก็คงไม่ถึงขึ้นกลับดำเป็นขาว ไม่ต้องให้ท่านแม่ชดใช้บ้านฝั่งท่านพี่ด้วยความตายหรอกเจ้าค่ะ ข้ากลับไปเอาผ้าขาวยาวผูกคอตายเป็นการชดใช้ให้ท่านป้าใหญ่เป็นพอแล้ว!”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ นางหลิวสามสะใภ้ก็ไม่สามารถนั่งดูเฉยๆ ได้แล้ว ไม่อาจไม่เอ่ยปากห้ามปรามว่า “ฮูหยินหมิ่นท่านใจเย็นๆ ก่อน น้องสะใภ้สี่เองก็อย่างเพิ่งวู่วาม พวกเราค่อยๆ พูดจากับ ฮูหยินฮั่วดีๆ ฮูหยินฮั่วเป็นผู้เพียบพร้อมด้วยคุณธรรมมาแต่ไร ย่อมต้องไม่กล่าวคำเท็จเป็นแน่”
แล้วพากันเอ่ยกับ นางฮั่วว่า “ต้องขออภัยฮูหยินฮั่วท่านจริงๆ ที่ต้องให้ท่านมาลำบากด้วยเรื่องของครอบครัวเราเช่นนี้! ทว่าท่านเองก็เห็นแล้ว คำพูดเพียงคำของท่านในวันนี้เกี่ยวพันถึงพวกสะใภ้เราจริงๆ …พวกเราจะยังเป็นพี่น้องสะใภ้กันต่อไปได้อีกหรือไม่ ขอพูดอย่างไม่ปิดบังท่าน ยามนี้ท่านแม่ของพวกเรายังคงนอนป่วยอยู่บนตั่งนอน …ความจริงของเรื่องนี้เป็นฉันใด ยามนี้ก็มีเพียงท่านที่จะพูดออกมาได้ยุติธรรมและน่าเชื่อถือที่สุด ต้องขอให้ท่านบอกพวกเรามาด้วยเถิด”
นางฮั่วกล่าวอย่างลำบากใจว่า “ข้านั้น… ต้องการช่วยทุกท่านนัก ทว่าเรื่องนี้… จริงๆ แล้ว…ข้าจำไม่ใคร่ได้จริงๆ”
นางหมิ่นร่ำไห้ออกมาอีก กล่าวว่า “ฮูหยินฮั่วท่านทนเห็นพวกเราแม่ลูกต้องตายไปได้จริงหรือเจ้าคะ?”
“ฮูหยินหมิ่น ท่านอย่าได้เอ่ยคำเช่นนี้เลย!” นางฮั่วเอ่ยพลางหน้าแดงหูแดงว่า “ขะ…ข้า….แต่ว่า… เรื่องนี้….” นางพูดจาสับสนไม่เป็นภาษา มองไปทางตวนมู่อู๋เซ่อแล้วมองไปที่เผยเหม่ยเหนียงแม่ลูก ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่ยินยอม เต็มไปด้วยความลำบากใจเหลือคณานับ
ตวนมู่อู๋เซ่อจึงยิ้มหยัน “แต่ไรก็ไม่ได้มีเรื่องเช่นนี้อยู่แล้ว พวกเจ้าทำเยี่ยงหญิงปากร้ายกลางตลาดใช้วิธีเอาความตายมาข่มขู่ ก็นึกว่าจะให้ร้ายข้าได้แล้วรึ?”
“ฮูหยินหมิ่น หากว่าใช่ก็คือใช่ หากไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ ท่านว่าเป็นตามหลักการนี้หรือไม่?” นางตวนมู่เลียบๆ เคียงๆ ช่วยพูดให้ลูกผู้น้อง “ท่านเอาความเป็นความตายมาอ้างหน้าเช่นนี้ แต่ความจริงก็ยังอยู่ตรงนั้น ไม่อาจบอกว่าเมื่อท่านทั้งสองไม่มีชีวิตอยู่แล้ว พี่สะใภ้ฮั่วก็จะสารภาพผิดตามคำพวกท่านเมื่อใด?”
นางหมิ่นถูกข่มขู่เช่นนี้ แต่เผยเหม่ยเหนียงกลับยิ้มพลางว่า “ตวนมู่เยี่ยนอวี่เจ้าร้อนใจอันใด? พี่สะใภ้ฮั่วเพียงแต่บอกว่า ‘อาจจำได้ไม่ชัดเจน’ แม้ความหมายของคำพูดนี้เจ้าจะฟังไม่เข้าใจ แล้วผู้อื่นต้องฟังไม่เข้าไปไปด้วยรึ?” แล้วหันไปพูดกับนางฮั่วว่า “ข้ารู้ว่าพี่สะใภ้ท่านเป็นคนมีจิตใจดีงาม ต้องโทษที่ข้ายังเด็กไม่ประสา เวลานั้นหลังจากท่านร้องห้ามตวนมู่อู๋เซ่อ ข้าก็กลับไม่ได้รับฟังคำทัดทานของท่าน ยามนั้นท่านว่าท่านป้าใหญ่ของข้าผู้นี้เห็นท่านพี่เป็นดังบุตรชายแท้ๆ ไม่มีทางใช้เรื่องการแต่งงานที่สำคัญนี้เป็นเครื่องมือฝังเขาให้จมดิน แต่ตวนมู่อู๋เซ่อก็รีบพูดต่อไปว่า ‘เลือดเนื้อเชื้อไขแท้ๆ ของฮูหยินซูก็มีอยู่ตั้งกี่คนเล่า ก็ไม่แน่ว่าจะรักเท่าเทียมกันทุกคน แล้วประสาอะไรกับหลานชาย’ ครานั้นข้าหน้าบาง ก่อนออกเรือนจึงอายที่จะไปพบกับบ้านฝั่งสามีมากนัก คิดว่าพี่สะใภ้มิได้เป็นเป็นญาติเกี่ยวดองใดๆ กับตระกูลเสิ่น แต่ ลูกผู้พี่ของตวนมู่อู๋เซ่อกลับเป็นสะใภ้ของตระกูลเสิ่น …จึงหลงนึกว่าคำพูดของนางน่าเชื่อถือมากกว่า”
เมื่ตวนมู่อู๋เซ่อเห็นว่าคนทั้งบ้านเสิ่นรวมทั้งตวนมู่เยี่ยนอวี่ซึ่งเป็นลูกผู้น้องของตนล้วนมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา นางจึงพูดเสียงสูงว่า “ข้าจะไปพูดเช่นนั้นได้อย่างไรกัน! เจ้า…”
“ก่อนนี้เจ้ามายุยง แล้วภายหลังก็มาบิดพลิ้ว เจ้ามียางอายหรือไม่?!” เผยเหม่ยเหนียงร้องขึ้นมาด้วยเสียงสูงเสียยิ่งกว่านาง “ข้ายังจำได้ว่าวันนั้นเพราะพี่สะใภ้ฮั่วเพิ่งมีอาการดีขึ้นได้ไม่ถึงสองวัน!” นางกวาดตาไปยังนางฮั่วพลางพูดด้วยเสียงเฉียบขาดว่า “วันนั้น พี่สะใภ้ฮั่ว ท่านสวมเสื้อส้างหรูแขนแคบสีงาช้างเข้มปักลายหรูอี้สี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน แม้อากาศจะร้อนแล้วแต่เพราะท่านเพิ่งจะดีขึ้นหลังแท้งบุตร ในห้องวางหีบน้ำแข็งเอาไว้ ท่านจึงสวมเสื้อทับครึ่งแขนสีส้มอมชมพูปักลายดอกอวี้หลาน ยามท่านปรามข้าไม่ให้หลงเชื่อคำของตวนมู่อู๋เซ่อนั้น ยังพูดถึงลายดอกอวี้หลานที่ปักอยู่บนเสื้อ ว่าเสิ่นซูเหยียนบุตรสาวคนสุดท้องของตวนมู่เยี่ยนอวี่อายุเพิ่งได้สามขวบก็สามารถเขียน ‘กลอนชมดอกอวี้หลาน’ เป็นกลอนเจ็ดด้วยถ้อยคำสำนวนล้ำเลิศงดงามเป็นธรรมชาติ…”
“พี่สะใภ้ท่านยังบอกว่าแม้จะมีพรสวรรค์ชั้นเลิศมาแต่กำเนิด ทว่าเด็กเล็กๆ ที่อายุเพียงสามขวบ หากไร้ผู้อบรบชี้แนะแล้วจักเข้าใจถึงฉันทลักษณ์ของกลอนได้อย่างไร? เมื่อมีความสามารถอบรมชี้แนะบุตรสาวได้เช่นนี้ ตวนมู่เยี่ยนอวี่น่าจะไม่ใช่คนธรรมดา? ครานั้นพี่สะใภ้ท่านจำ ‘กลอนชมดอกอวี้หลาน’ บทนั้นได้เพียงสองวรรคสุดท้ายว่า ‘ลมบูรพาคลอนกรอบม่านเขียวอยู่น้อยๆ จากเบียดเสียดพลันแยกออกเห็นปรางค์คนงาม’ ข้ารู้สึกสนใจจึงเอ่ยถามถึงกลอนทั้งบท ท่านยังบอกว่าภายหลังจะต้องไปสอบถามมาบอกกล่าวกับข้าให้ได้ทั้งหมด เพียงแต่ภายหลังไม่มีโอกาสพบกับพี่สะใภ้เรื่อยมา นับแต่ข้าแต่งเข้าบ้านมากลับได้ยินบ่าวไพร่เอ่ยถึงว่าสองวรรคแรกนั้นคือ ‘ผกาฤดูใบไม้ผลิในเรือนหยกเบ่งบาน ม่วงนับหมื่นแดงนับพันเขาผู้นั้นอยู่หนใด’ ใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
นางฮั่วโพล่งออกไปโดยไม่ทันคิดว่า “ไม่ใช่ ข้ากลับมาค้นแล้วกลับเป็น ‘ที่สุดผกาในเรือนหยกก็เบ่งบาน ม่วงนับหมื่นแดงนับพับคนผู้นั้นอยู่หนใด’
ยังไม่ทันสิ้นเสียงนางฮั่ว คนทั้งโถงก็พลันเงียบลง จนแม้เสียงเข็มตกกระทบพื้นก็ยังได้ยินได้!
ทุกคนต่างพากันมองตวนมู่อู๋เซ่อด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ ตวนมู่อู๋เซ่อเองก็นิ่งเหม่อไปเช่นกัน
“อ๊ะ!” เมื่อมาถึงยามนี้ นางฮั่วคล้ายสำนึกได้ว่าตนเองพลั้งปากไปเสียแล้ว นางรีบปิดปากเอาไว้อย่างตื่นตระหนกลนลาน พลางพูดอย่างร้อนใจว่า “น้องสะใภ้รอง …น้องสะใภ้รองอาจเพียงล้อเล่นกระมัง? คำล้อเล่นเล็กๆ น้อยในงานเลี้ยงสุรา จะถือเอาเป็นจริงเป็นจังอันใดได้!”
นี่ยิ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าก่อนนี้นางพลั้งปากพูดจริงๆ …นางหมิ่นเข้าไปกอดเผยเหม่ยเหนียงเอาไว้แล้วร้องไห้โฮ “สงสารลูกข้านัก ไยเจ้าจึงเลอะเลือนเช่นนี้! จนปล่อยให้คนนอกมาหลอกปลุกปั่นเจ้าจนหัวหมุน นี่เพิ่งแต่งเข้ามาไม่ทันครบเดือนก็ไปล่วงเกินทุกๆ คนในบ้านสามีเสียแล้ว แล้ววันหน้าเจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างไรเล่า!”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงร่ำไห้ นางหมิ่นก็ปล่อยมือ แล้วเอาแขนเสื้อมาเช็ดหน้า เงยหน้าขึ้นถลึงตาแรงๆ ใส่ตวนมู่อู๋เซ่อ ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน กล่าวว่า “ช่างเป็นบุตรสาวตระกูลเลื่องชื่อที่ดีจริงๆ! ช่างเป็นตระกูลตวนมู่แห่งจิ่นซิ่วที่เลิศเลอจริงๆ! ลูกข้าไม่เคยมีความแค้นเคืองใดกับเจ้า และไม่เคยได้ยินว่าบ้านเราเคยไปล่วงเกินเจ้าที่ใด หรือต่อให้มี หากเจ้าเข้ามาพูดจาที่บ้าน แล้วบ้านเราจะไม่มีคำชี้แจงให้เจ้าหรือ? แต่เจ้ากลับชั่วร้ายเยี่ยงนี้ ยุยงให้บุตรสาวที่ยังเด็กไม่ประสาของข้ามาทำการไม่ควรในบ้านสามี! แม้ตระกูลเผยของข้าจะเป็นตระกูลเล็กๆ แต่ว่ากันว่ามีเหตุผลสามารถไปได้ทุกหนแห่ง ไร้เหตุผลแม้เพียงหนึ่งชุ่นก็ยังเดินยาก! ตวนมู่อู๋เซ่อ หากวันนี้เจ้าไม่ให้คำอธิบายกับลูกข้ามา ข้าก็จะขอสู้ตายกับเจ้าที่นี่แล้ว!”
นางหมิ่นย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจว่าเรื่องที่เผยเหม่ยเหนียงไปล่วงเกินทุกคนในบ้านสามีก่อนหน้านี้นั้น แม้เสิ่นจั้งฮุยจะเห็นแก่ความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาและยังต้องการนางอยู่ แต่ก็จะไม่หัวรั้นเอาชนะผู้ใหญ่ไปได้! เซียงหนิงปั๋วเสิ่นโจ้วก็ขึ้นชื่อเรื่องเป็นน้องชายที่ภักดีต่อพี่ชายนัก! เขาจะต้องไม่มีวันเอาสะใภ้ที่อกตัญญูและกำเริบเสิบสานกับท่านป้าใหญ่เป็นแน่!
หนทางรอดเดียวในยามนี้ก็คือต้องกัดตวนมู่อู๋เซ่อไม่ยอมปล่อย แล้วผลักความรับผิดชอบทั้งหมดไปให้แก่ตวนมู่อู๋เซ่อ …ส่วนเรื่องที่บอกว่าฐานะของตระกูลตวนมู่แห่งจิ่นซิ่วสูงกวาตระกูลเผยแห่งยิวโจวนั้น อย่างไรเสียก็ยังมีตระกูลเสิ่นแห่งซีเหลียงขวางเอาไว้อยู่! อีกประการหนึ่ง นับแต่เผยเหม่ยเหนียงเอ่ยถึงตวนมู่อู๋เซ่อก็นับว่าล่วงเกินตระกูลตวนมู่ไปแล้ว หากยามนี้จะล่วงเกินอีกสักหน่อยก็ไม่เห็นจะเป็นไร
ทันใดนั้น นางหมิ่นก็ไม่ได้สนใจพิธีรีตองใดๆ อีกแล้ว ตั้งท่าจะเข้าไปสู้ตายกับนาง!
แม้ปกติแล้วตวนมู่อู๋เซ่อจะชอบวางอำนาจ แต่เมื่อเห็นว่านางตั้งท่าจะเข้าสู้ ก็รู้ว่านางต้องไม่ยอมปล่อยตนไปแน่ พลันมีสีหน้าเคร่งเครียดแล้วถลึงตาแรงๆ ใส่นางฮั่วไปหนหนึ่ง ยิ้มหยันพลางว่า “ฮูหยินหมิ่น ท่านเองก็เป็นคนที่อยู่ในเมืองหลวงมาโดยตลอด ยังไม่รู้หรือว่าพี่สะใภ้ผู้นี้ของข้ารู้สึกขัดหูขัดตาข้ามาแต่ไร วันๆ ก็เอาแต่คอยประจบพี่สามีและน้องสามีให้จัดการข้า ก่อนหน้านี้ไม่นานก็ยังมอบอนุงามกลุ่มหนึ่งให้สามีข้าด้วย! เมื่อนางเอ่ยถึงข้าแล้วจะมีคำพูดดีอันใดได้?”
นางตวนมู่หลับตาลงด้วยความสิ้นหวัง …นางรู้มาแต่ไรว่า ลูกผู้น้องผู้นี้ถูกที่บ้านเอาใจยิ่งนัก จนทำให้นางมีนิสัยหยิ่งผยองชอบวางอำนาจ หลังออกเรือนมา เพราะซ่งไจ้เจียงที่นางแต่งด้วยเป็นคนจิตใจดีอ่อนโยอย่างที่หาได้ยากยิ่งในตระกูลสูงศักดิ์ แม้นางแต่งงานมานานปีก็ยังไร้บุตรชาย ทั้งยังคอยสร้างเรื่องเดือดร้อนไม่หยุดหย่อน ซ่งไจ้เจียงก็ไม่ได้ถือสาอันใดนัก …คราก่อนนางไปล่วงเกินซ่งไจ้สุ่ยน้องสาวที่รักเพียงคนเดียวของซ่งไจ้เจียงอย่างหนักหนาสาหัส กลับทำให้ซ่งไจ้เจียงบันดาลโทสะขึ้นมาครั้งหนึ่ง แต่เมื่อมารดาของตวนมู่อู๋เซ่อเข้ามาขอความเห็นใจ ซ่งไจ้เจียงก็ยังยอมปล่อยนางเอาไว้
แต่ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าใด ตวนมู่อู๋เซ่อก็กลับรู้จักแต่จะวางท่าทีแข็งกร้าวไม่รู้จักอ่อนน้อม …ในเวลาเช่นนี้ ใช่เวลาจะมาแตกหักกับนางฮั่วหรือ?
ปรากฏว่าเมื่อนางฮั่วได้ยินคำพูดของตวนมู่อู๋เซ่อ นางไม่เพียงไม่โต้แย้ง แต่กลับยกแขนเสื้อขึ้นมาบังหน้า สะอื้นขึ้นมาว่า “น้องสะใภ้รอง ข้ารู้ว่าพี่สะใภ้เช่นข้าไม่ดีงามพอ ปกติแล้วยังยอมให้เจ้าไม่พอ แต่คำพูดนี้ของเจ้าก็บาดใจคนเกินไปแล้ว! พวกเราพี่สะใภ้น้องสะใภ้ล้วนเป็นคนบ้านเดียวกัน หากสามารถเข้าข้างเจ้าได้ ข้าจะไม่เข้าข้างเจ้าได้หรือ? เจ้าพูดราวกับว่าข้าจงใจทำร้ายเจ้าเช่นนั้น ขะ…ข้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร?”
เผยเหม่ยเหนียงยิ้มหยันพลางว่า “ตวนมู่อู๋เซ่อเจ้านี่ก็ช่างหน้าไม่อายเสียจริงๆ ทุกคนที่อยู่ที่นี่ในวันนี้ มีผู้ใดที่มองไม่เห็นว่าพี่สะใภ้ฮั่วคอยปกป้องเจ้าไปเสียทุกเรื่อง? คนที่ซื่อตรงเช่นพี่สะใภ้ฮั่ว แม้แต่คำโกหกก็ยังพูดไม่เป็น แต่เพื่อเจ้าแล้ว แม้พวกเราแม่ลูกก็แทบจะไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อ นางก็ยังไม่ยอมพูดความจริงออกมาเลย! หากมิใช่ว่าข้าใช้จงใจใช้กลอุบายหลอกให้คนซื่อตรงเช่นพี่สะใภ้ฮั่วหลงกล ก็เกรงว่าแม้พี่สะใภ้ฮั่วจะไม่อาจทนดูพวกเราแม่ลูกต้องตายไป แต่นางก็จะต้องปกป้องเจ้าเอาไว้ให้ได้! หลังจากพี่สะใภ้ฮั่วพลั้งปากก็มิใช่ว่ายังคงช่วยอธิบายแทนเจ้าอย่างสุดชีวิตหรอกรึ? หากพี่สะใภ้ฮั่วจงใจทำร้ายเจ้าจริงๆ พอมาถึงนางก็จะต้องพูดความจริงออกมาแล้ว นอกจากเป็นการเอาคืนเจ้าแล้วก็ยังได้รับความซาบซึ้งใจจากพวกเราแม่ลูกด้วย มิใช่เป็นเรื่องดีทั้งสองเรื่อง? แต่ยามนี้ เจ้ากลับไม่ได้สำนึกขอบคุณที่พี่สะใภ้ฮั่วปกป้องเจ้า ถึงแม้ว่าพวกเราแม่ลูกจะรู้สึกว่าพี่สะใภ้ฮั่วเข้าข้างคนฝ่ายตนมากเกินไป …แต่ข้าก็ยังอยากพูดเรื่องไม่น่าฟังสักคำ พี่สะใภ้บ้านใดที่มีน้องสะใภ้เช่นเจ้า ก็นับว่าเคยทำเวรกรรมมาแต่ชาติปางก่อนแล้ว!”
เวลานี้ นางฮั่วก็เช็ดน้ำตาหนแล้วหนเล่า ในฐานะพี่สะใภ้ใหญ่นางจึงมาขอขมาแทนตวนมู่อู๋เซ่อที่ขณะนี้กำลังโกรธแทบเป็นแทบตายว่า “ฮูหยินหมิ่นและทุกท่าน เดิมทีตอนที่เรามาก็ไม่รู้ว่ามีเรื่องใด ยามนี้เพิ่งรู้ว่าคำล้อเล่นเพียงชั่วครู่ของน้องสะใภ้ข้าผู้นี้ กลับทำให้น้องเผยเกิดเรื่องเข้าใจผิดอันใหญ่หลวงต่อบ้านของท่าน ทุกท่านก็ทราบดี แม่สามีของพวกเราคู่สะใภ้เสียไปเร็ว แต่ไรมาพ่อสามีก็ไม่ได้มาดูแลเรื่องภายในจวน ท่านพี่และน้องสามีก็ล้วนเป็นคนจิตใจโอบอ้อมอารี เรื่องนี้ล้วนเป็นความผิดของข้าซึ่งเป็นพี่สะใภ้ใหญ่ ที่ไม่ตักเตือนน้องสะใภ้รองในทันทีทันใด อีกทั้งไม่ได้ให้คำชี้แนะน้องเผยให้ดี เป็นเหตุให้น้องเผยทำให้บ้านของท่านไม่สุขสงบ แม้แต่ฮูหยินท่านราชครูก็ยังต้องล้มป่วย…”
เวลานี้ ที่สุดตวนมู่อู๋เซ่อก็เข้าใจทุกอย่างขึ้นมา นางทั้งตกตะลึงทั้งโกรธแค้นด้วยว่า …ที่นางฮั่วพูดมาดังนี้ ก็เพื่อต้องการตีตราความผิดว่านางเคยพูดคำเหล่านี้จริง ทำให้เผยเหม่ยเหนียงซึ่งเป็นหลานสะใภ้ที่เพิ่งแต่งเข้าบ้านได้ไม่ครบเดือนกำเริบเสิบสานกับท่านป้าใหญ่ของบ้านสามีและไม่เคารพพี่สะใภ้ทุกคนนั่นเอง!
ในขณะที่นางกำลังสับสนร้อนรนอยู่นั้น ก็อดจะเข้าไปดึงนางฮั่วหนหนึ่งไม่ได้ แล้วเอ่ยอย่างเคืองโกรธว่า “ผู้ใดต้องการความหวังดีจอมปลอมของเจ้ากัน? ข้าได้ยอมรับเรื่องเหล่านี้แล้วหรือ? แล้วเจ้าก็มาขอขมาแทนข้าเสียแล้ว! เจ้าหุบปากไปเดี๋ยวนี้!”
ฟ้าดินเมตตา ต่อให้ตวนมู่อู๋เซ่อจะโง่เง่าอีกสักเท่าใด แต่นางก็รู้ว่ายามนี้ไม่อาจลงไม้ลงมือกับพี่สะใภ้ได้จริงๆ ดังนั้นจึงคิดเพียงจะดึงนางมาเพื่อไม่ให้นางพูดสิ่งใดต่อไปอีก… แต่เมื่อนางเพิ่งโดนตัวนางฮั่ว นางฮั่วก็ร้องว่าเจ็บเสียงดังลั่นและล้มลงกับที่!
เมื่อทุกคนเห็นดังนั้นก็อดจะตกใจจนหน้าถอดสีไม่ได้ ไม่มีเวลาจะมาต่อว่า ตวนมู่อู๋เซ่อที่ขณะนี้กำลังตื่นตกใจจนกล้าลงไม้ลงมือกับพี่สะใภ้ต่อหน้าธารกำนัล ต่างพากันเข้าไปประคองนางฮั่ว …เสียงของเผยเหม่ยเหนียงแจ่มชัดเป็นพิเศษยิ่งกว่าทุกคนในนั้น นางกรีดร้องว่า “พี่สะใภ้ฮั่วเพิ่งแท้งบุตรมาก่อนหน้านี้ไม่นาน! ตวนมู่อู๋เซ่อเจ้า!”
…ท่ามกลางความสับสบวุ่นวาย กลับเห็นว่านางฮั่วที่ล้มพับลงกับพื้นพยายามขยับลำตัวท่อนบนให้ลุกขึ้นมาอย่างยากลำบากทั้งน้ำตา แต่กลับยังหันหน้าไปมองตวนมู่อู๋เซ่อที่กำลังงงงันอยู่นอกกลุ่มชน ดวงตาเต็มไปด้วยความจริงใจน่าสงสาร พูดพลางสะอื้นว่า “พวกเราไร้แม่สามีคอยดูแลสอนสั่ง ว่ากันว่าพี่สะใภ้ใหญ่เป็นดังมารดา …ข้ารู้ว่าแต่ไรมาเจ้าก็ไม่ยอมรับพี่สะใภ้เช่นข้า แต่ยามนี้เจ้าทำเรื่องผิด ข้าเองย่อมมีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ไม่ว่าเจ้าต้องได้รับโทษทัณฑ์อันใด แล้วข้าจะไม่ช่วยเจ้าแบ่งเบามาสักเล็กน้อยหรือ… เจ้าจะยอมรับข้าก็ดี ไม่รับก็ช่าง อย่างไรข้าก็จะช่วยเจ้ารับผิด!”
เว่ยฉางอิ๋งตามนางหลิวเข้าไปปลอบนางฮั่วว่าอย่าได้เสียอกเสียอีก และให้ลุกขึ้นมาพูดก่อน แล้วหันไปสั่งบ่าวไพร่ให้รีบไปเรียกหมอมา …ในระหว่างที่กำลังว้าวุ่นกันอยู่นั้น นางก็หันไปสบตากับนางหลิว สองสะใภ้ต่างรู้กันในใจว่า ตวนมู่อู๋เซ่อ จบเห่แล้ว!
______________________________________