ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 122 อำนาจเหนือความคาดหมาย
สิ่งที่สะใภ้สองคนของซ่งอวี่วั่งเสนาบดีฝ่ายพิธีการทำในจวนราชครู เป็นข้อเปรียบเทียบที่ทำให้เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนได้พอดิบพอดี นางฮั่วสะใภ้ใหญ่ดีงามเป็นเลิศ ส่วนตวนมู่อู๋เซ่อสะใภ้รองกลับชั่วร้ายจนถึงที่สุด
ตวนมู่อู๋เซ่อผู้แสนไม่ดีงามยังวางแผนทำลายเผยเหม่ยเหนียงสะใภ้ใหญ่ที่เพิ่งแต่งเข้าบ้านมาใหม่ของเซียงหนิงปั๋วเสิ่นโจ้ว ยุยงให้บุตรสาวจากตระกูลใหญ่ซึ่งเพียบพร้อมดีงามอ่อนโยนน่ารักในสายตาของซูซิ่วม่านฮูหยินท่านราชครู จนทำให้นางเสียผู้เสียคน แต่งเข้าบ้านมายังไม่ครบเดือนก็เกิดความเข้าใจผิด ไปทำให้ท่านป้าใหญ่แท้ๆ ที่เลี้ยงดูสามีมาจนเติบใหญ่ต้องโมโหจนล้มป่วย …แต่ไรมาหมิงเพ่ยถังก็ขึ้นชื่อเรื่องปกป้องคนของตน เซียงหนิงปั๋วยิ่งมีชื่อเรื่องปกป้องบุตรธิดา แรกเริ่มนั้น เพื่อเสิ่นจั้งจูบุตรสาวคนโต แม้แต่ประตูบ้านใหญ่ของตระกูลซูแห่งชิงโจวเขาก็ยังไปพังเสียจนยับเยินมาแล้ว
ประสาอะไรกับคนที่ถูกวางแผนให้ร้ายเป็นถึงบุตรชายคนโตและลูกสะใภ้ใหญ่ของเขา? หนำซ้ำอันดับของตระกูลตวนมู่แห่งจิ่นซิ่วก็หาได้สูงกว่าตระกูลซูแห่งชิงโจวไม่
ด้วยเหตุที่ฮ่องเต้ไม่โปรดงานราชกิจ ดังนั้นพิธีเข้าเฝ้าฯ ในรัชสมัยปัจจุบันจึงมีไม่บ่อยครั้งนัก แต่ตวนมู่หวงบิดาของตวนมู่อู๋เซ่อก็โชคร้าย เพราะกลับทำงานอยู่ในฝ่ายกลาโหมเช่นเดียวกันกับเสิ่นโจ้วพอดี …เสิ่นโจ้วเองก็ไม่ได้ไว้หน้าสหายร่วมงานเลยแม้แต่น้อย ด้วยเหตุที่ตระกูลเสิ่นเป็นตระกุลสายบู๊ เหล่าผู้ชายล้วนฝึกวรยุทธมาแต่เล็ก แม้จะค่อนข้างมีอายุแล้วแต่ร่างกายก็ยังแข็งแรงมีเรี่ยวแรงดี เขาเข้าไปชกต่อยตวนมู่หวงซึ่งเป็นเพียงบัณฑิตอ่อนแอผู้หนึ่ง ได้ยินว่าในระหว่างที่กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด แม้แต่พวกเด็กรับใช้ที่คอยดูแลรับใช้อยู่ในฝ่ายกลาโหมล้วนต้องเข้าไปห้ามปรามการวิวาท ตวนมู่หวงถูกชกอยู่เป็นนานจนจมูกเขี้ยวช้ำหน้าบวมหน้าตายับเยินไปหมด แทบต้องร้องไห้คร่ำครวญยามถูกประคองออกไป…
ข้างฝ่ายบ้านซ่ง ในวันเดียวกับที่นางฮั่วถูกหามกลับไป เมื่อเห็นว่าพี่สะใภ้ใหญ่ที่คอยปกป้องดูแลตนจนเรียกได้ว่าคล้ายเป็นมารดาแท้ๆ ครึ่งหนึ่งถูกหามลงมาจากรถม้าด้วยลมหายใจรวยริน เมื่อกลับไปถึงเรือนหลังกลับยังพยายามฝืนตัวเองและพูดปรามออกมาจากหลังฉากกั้นลมว่าอย่าไปโทษภรรยาของเขาเองมากเกินไป …ซ่งไจ้เจียงซึ่งแต่ไรมาเป็นคนสุภาพอ่อนโยน อีกทั้งยังขึ้นชื่อว่าเป็นคนใจเย็นที่สุดในบรรดาบุตรหลานตระกูลชั้นสูง เขาพลันหันหลังจากไปโดยไม่ให้ซุ่มให้เสียง แล้วกลับไปยังบ้านสองด้วนสีหน้าเขียวคล้ำ ตรงเข้าไปเขียนหนังสือหย่า แล้วสั่งบ่าวคนสนิทให้บังคับนำตัวตวนมู่อู๋เซ่อที่กรีดร้องโวยวายดังลั่นว่าตนถูกใส่ความกลับไปส่งที่บ้านฝั่งมารดาของนาง
เช้าวันรุ่งขึ้น ด้วยเหตุที่พี่สะใภ้ใหญ่ต้องนอนซมอยู่บนตั่ง พี่สะใภ้รองก็ถูกส่งตัวกลับบ้าน ซ่งไจ้สุ่ยคุณหนูใหญ่ตระกูลซ่งที่เดิมทีอยู่ว่างๆ อยู่ในจวนก็ต้องเข้ามาดูแลบ้านเป็นการชั่วคราว และสิ่งที่ซ่งไจ้สุ่ยทำเป็นอันดับแรก็คือตรวจนับสินติดตัวทั้งหมดของตวนมู่อู๋เซ่อ แล้วให้คนนำไปส่งที่บ้านตวนมู่ทีละคันรถ
ครานี้ ต่อให้มารดาของตวนมู่อู๋เซ่อจะรักบุตรสาวปานใดก็ไร้ผลแล้ว เพราะเรื่องนี้เป็นที่เล่าลืออย่างกว้างขวางไปทั่วทั้งเมืองหลวง ในตระกูลตวนมู่แห่งจิ่นซิ่วเองก็มีคนที่ทนฟังและทนดูต่อไปไม่ไหว จึงพากันไปบีบให้พวกเขากำจัดคนไม่ดีงามในตระกูลออกไปเสีย
ซึ่งก็เหมือนกับที่ฮูหยินหมิ่นตบหน้าเผยเหม่ยเหนียงต่อหน้านางหลิว นางก็มิใช่ว่ามีเผยเหม่ยเหนียงเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียว หากแต่ต้องคำนึงถึงเด็กสาวคนอื่นๆ ในตระกูลด้วย บ้านตวนมู่เองก็หาได้มีเพียงตวนมู่หวงสามีภรรยาที่รักใคร่บุตรธิดา แล้วเด็กสาวคนอื่นๆ และคนอื่นๆ ในตระกูลตวนมู่ก็ไม่ต้องเป็นคนแล้วเช่นนั้นหรือ?
ส่วนข้างฝ่ายตระกูลเสิ่น… แม้เสิ่นโจ้วจะไปต่อยตีตวนมู่หวงที่ไม่รู้จักอบรมบุตรสาว ทว่าเผยเหม่ยเหนียงเองก็ไม่มีทางไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ นางไปคุกเข่าอยู่หน้าเรือนหลักของฮูหยินซูสามวัน ไม่ว่าฮูหยินซูจะเอ่ยทัดทานเช่นใดนางก็ไม่ยอมไป จากนั้นนางจึงเป็นฝ่ายขอหย่าร้างกลับบ้านเสียเอง เสิ่นจั้งฮุยตัดใจจากนางไม่ได้จึงมาคุกเข่าอยู่เป็นเพื่อนนางเสียเลย….
สรุปก็คือ ในที่สุดฮูหยินซูก็ยังอภัยให้แก่หลานชายและหลานสะใภ้อยู่ดี… เรื่องในฝั่งจวนราชครูก็เป็นดังนี้
เมื่อสองสามีภรรยากลับไปที่เรือนเซียงหนิงปั๋ว เสิ่นโจ้วก็คร้านจะทนฟังบุตรชายและบุตรสะใภ้พูดจาร่ำไร พลันสั่งให้คนกดเสิ่นจั้งฮุยให้นอนลง แล้วตีเขาไปสามสิบไม้ด้วยมือตนเอง ตีไปจนกระทั่งบนตัวของเสิ่นจั้งฮุยเต็มไปด้วยบาดแผล ทั้งตัวมีเลือดไหลนองก็ยังไม่ยั้งมือ สุดท้ายเพราะเสิ่นจั้งจูสงสารน้องชายจึงถลันตัวเข้าไปขวางเอาไว้ อีกทั้งนางยังสั่งคนไปรายงานที่จวนราชครู จนเสิ่นเซวียนมาปรามด้วยตนเอง เสิ่นโจ้วจึงหยุดลงโทษเขา
ส่วนเผยเหม่ยเหนียงสะใภ้ผู้นี้ แม้เสิ่นโจ้วจะไม่ได้ลงไม้ลงมือกับนาง ทว่าเขาก็ออกคำสั่งทั้งใบหน้าเย็นชาว่าให้บุตรสาวคนโตดูแลจวนต่อไป …ส่วนเรื่องที่เผยเหม่ยเหนียงเคยบอกว่าฮูหยินซูดูแคลนว่านางมีชาติกำเนิดต่ำต้อย เสิ่นโจวก็พูดกับเสิ่นจั้งจูต่อหน้าทุกคนไปตรงๆ ว่า “เจ้าอย่าได้นึกว่าเมื่อน้องสะใภ้แต่งเข้ามา เจ้าก็จะสามารถวางมือไม่สนใจดูแลเรื่องในจวนนี้แล้ว เจ้าก็ไม่คิดเสียบ้างว่านางเผยนั้นมีชาติกำเนิดเช่นใด? เป็นเพียงแค่บุตรสาวตระกูลใหญ่ พอแต่งเข้ามาก็จะสามารถมาเป็นนายหญิงของตระกูลเสิ่นของข้ารึ? เจ้าก็มองนางสูงเกินไปแล้ว! บ้านนี้อย่างไรก็ยังต้องเป็นเจ้าคอยดูแล! เจ้าเป็นบุตรสาวของข้า ทั้งยังเป็นบุตรสาวจากภรรยาเอก การอบรมดูแลน้องชายน้องสาวและภรรยาของเขาล้วนเป็นเรื่องที่เจ้าสมควรทำอยู่แล้ว ผู้ใดกล้าไม่เชื่อฟัง เจ้าก็เพียงมารายงานกับข้า! บุตรชายข้ายังต้องกลัวว่าจะแต่งเมียไม่ได้รึ?!”
เมื่อคำพูดนี้แพร่ไปถึงจวนราชครู ฮูหยินซูก็อดจะหลั่งน้ำตาไม่ได้ เพียงแต่ครานี้กลับมิใช่เพราะเศร้าเสียใจ หากแต่หันไปเอ่ยกับแม่นมเถาด้วยความยินดีเป็นการส่วนตัวว่า “ดังนั้นข้าจึงไม่อาจไม่อดทนต่อนางเผย …การที่น้องรองคอยยอมให้ท่านพี่มาแต่เล็ก ยินยอมพร้อมใจจะเป็นแรงหนุน แม้กระทั่งเรื่องแต่งงานของบุตรชายคนโตของเขา เขาก็ยังเป็นคนเสนอเองว่าจะไม่ยอมให้จั้งฮุยแต่งกับบุตรสาวตระกูลสูงศักดิ์! เขายอมให้จนถึงขั้นนี้ ทั้งข้าและท่านพี่ล้วนมองเห็นอยู่ในสายตา ด้วยน้ำใจอันนี้ของเขา ต่อให้บุตรชายคนโตและลูกสะใภ้ใหญ่ของเขาจะไม่รู้ความเพียงใด ข้าก็ไม่อาจไปเอาเรื่องกับพวกเขาได้อย่างที่ควรทำ!”
แม่นมเถามถอนหายใจพลางว่า “นายท่านรองมีจิตใจดีงาม รักใคร่พี่ชาย เพียงแต่ครานี้คุณชายสี่ก็เลอะเลือนเกินไปจริงๆ เขาเป็นคนที่ฮูหยินเลี้ยงดูมากับมือจนเติบใหญ่ ฮูหยินเป็นคนเช่นใด เขายังไม่รู้แจ้งอีกหรือ?”
ฮูหยินซูเองก็รู้สึกเจ็บปวดอยู่ในใจ เพราะว่ากันจากใจจริงแล้วไม่อาจบอกว่าฮูหยินซูไม่ได้ทุ่มเทให้กับเสิ่นจั้งฮุยอย่างสุดจิตสุดใจ แม้ภายนอกจะพากันบอกว่านางเห็นเสิ่นเหลี่ยนสือซึ่งเป็นบุตรชายจากอนุเหมือนดังบุตรของตนเอง ทว่าตัวฮูหยินซูเองก็รู้ว่าต่อให้บุตรชายจากอนุของสามีตนเองเรียกขานตนว่าแม่ แต่นางเองก็มิใช่ว่าไม่มีบุตรชายแท้ๆ ของตนเอง แล้วจะเห็นบุตรของอนุเหมือนดังลูกแท้ๆ ของตนเองทุกประการได้อย่างไร?
กลับเป็นหลานชายเสียอีก ด้วยเหตุที่เขาเป็นบุตรของน้องสามี ฮูหยินซูไม่ได้รู้สึกอิจฉาริษยา กอปรกับรู้สึกซาบซึ้งใจที่น้องสามีคอยยอมถอยและช่วยสนับสนุนตระกูลในสายของตนตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ เสิ่นจั้งเฟิงและเสิ่นจั้งเฟิงมีอายุห่างกันเพียงหนึ่งปี แต่เล็กมาเมื่อลูกพี่ลูกน้องทั้งสองคนเกิดขัดแย้งหรือไม่ลงรอยใดๆ ต่อกัน ฮูหยินซูล้วนเข้าข้างหลานชายเสมอมา
ทว่าหลานชายที่ตนเลี้ยงดูมาด้วยความรัก กลับมาทำตัวแต่งเมียแล้วลืมแม่เสียชัดเจนเพียงนี้ แม้ฮูหยินซูจะไม่ใช่มารดาแท้ๆ ของเขา แต่เมื่อคิดไปก็ยังรู้สึกโมโหจนเจ็บแปลบอยู่ในใจ!
จากนั้นพักใหญ่ๆ ฮูหยินซูจึงบอกว่า “จั้งฮุยเองก็ยังเด็กเกินไปจริงๆ ก่อนหน้านี้กลัวว่าเขาจะเสียคน แต่ไรมาจึงไม่อนุญาตให้เขาไปหอคณิกา และไม่อนุญาตให้พวกบ่าวงามๆ ให้ท่าเขา …พอได้เห็นความงามเพียงไม่เท่าใดของเผยเหม่ยเหนียง คาดว่าคงจะเกิดลุ่มหลงจนหน้ามืดตามัว ก็เขาเป็นคนหนุ่มที่กำลังเลือดลมพลุ่งพล่านนี่ ย่อมทำสิ่งต่างๆ ตามที่ใจตนต้องการ” คำพูดนี้เหมือนกับคำที่สนมเอกเติ้งวิจารณ์เติ้งจิงฉีหลานชายของนางที่ไปแอบรักเว่ยฉางอิ๋ง เพียงแต่ความรู้สึกของทั้งสองคนกลับแตกต่างกันลิบลับ
แม่นมเถาใคร่ครวญอยู่เป็นนาน จึงว่า “คุณชายสี่เป็นถึงบุตรชายคนโตของนายท่านรองนะเจ้าคะ ไม่ควรลุ่มหลงมัวเมากับความงามเช่นนี้” เมื่อเห็นว่าฮูหยินซูไม่พูดสิ่งใด แม่นมเถาจึงพูดให้จบว่า “ตามความเห็นของข้าน้อย…หรือว่า…ยามนี้คุณชายสี่ก็แต่งงานแล้ว จะรับอนุหรือนางเล็กๆ สักจำนวนหนึ่งก็น่าจะ…”
“ช่างมันเถิด!” ฮูหยินซูลังเลอยู่เป็นนาน แต่กลับส่ายหน้า ถอนหายใจพลางว่า “น้องรองก็ทุบตีจั้งฮุยจนเป็นเช่นนั้นแล้ว ทั้งชิงอำนาจการดูแลบ้านเรือนมาจากนางเผย อีกทั้งเอาคำที่นางต่อว่าข้าย้อนด่าทอนางกลับไปแล้ว …คนเป็นผู้ใหญ่เช่นข้าหากยังคงถือสาหาความ แม้ผู้อื่นจะไม่พูด แต่ท่านพี่ก็จะคิดว่าข้ารังแกน้องรองเกินไป”
แม่นมเถารีบบอกว่า “ข้าน้อยเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
ฮูหยินซูกุมขมับแล้วถามว่า “วันก่อนหลี่ยนสือไปทำอันใดนางตวนมู่หรือ เหตุใดสองวันมานี้นางจึงได้ลาป่วย?”
“หลังจากคุณชายรองได้ยินสิ่งที่ตวนมู่อู๋เซ่อทำแล้ว ก็นึกขึ้นได้ว่าก่อนนี้ฮูหยินน้อยรองมักไปมาหาสู่กับตวนมู่อู๋เซ่อ อีกทั้งเคลือบแคลงใจว่าเรื่องของลวี่เฉียวเมื่อคราก่อนจะเป็นเพราะถูกฮูหยินน้อยรองปิดบังอำพรางสิ่งใดเอาไว้…” แม่นมเถาถอนหายใจ “ฮูหยินน้อยรองจึงรู้สึกน้อยใจ แล้วไปพูดพาดพิงถึงฮูหยินน้อยสาม …พอคุณชายรองโกรธจึงพูดจาแรงไปสักหน่อย ฮูหยินน้อยรองคงจะทนรับไม่ไหวจึงโมโหจนล้มป่วยเจ้าค่ะ”
ฮูหยินซูเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “สามีภรรยาจะทะเลาะเบาะแว้งกันบ้างก็ไม่ได้เป็นอันใดหนักหนา! เพียงแต่อย่าทะเลาะกันเสียจนชาวบ้านรู้กันไปหมด ต่อให้ข้าว่างเพียงใดก็จะไม่ถึงกับไปเรียกสะใภ้มาต่อว่าเสียทุกคราไป …เพียงแต่เรื่องของบ้านสองก็เป็นเรื่องของบ้านสอง นางตวนมู่ไปเอ่ยถึงบ้านสามทำสิ่งใด? บ้านสามไปทำเรื่องใดให้นางไม่พอใจรึ? แล้วถามว่า “นางเอ่ยสิ่งใด?”
“ฮูหยินน้อยรองบอกว่า ครานี้นางต้องพลอยรับเคราะห์เพราะลูกผู้น้องร่วมตระกูล แต่คุณชายรองกลับให้อภัยนางไม่ได้ แต่แรกนั้นชื่อเสียงของฮูหยินน้อยสามก็ยับเยินป่นปี้ คุณชายสามไม่เพียงยืนกรานว่าจะแต่งกับฮูหยินน้อยสามให้จงได้ กระทั้งยังเป็นกังวลว่า ด้วยสาเหตุนี้จะทำให้ฮูหยินน้อยสามจะไม่ได้รับความเคารพนบนอบจากพวกอนุ จึงส่งพวกบ่าวงามๆ ที่เคยปรนนิบัติมานานปีออกไปจนหมดยังไม่ว่า จนยามนี้ก็ยังไม่คิดจะรับอนุอีกด้วย คุณชายรองบอกว่านางไม่เรียบร้อยดีงาม นางก็อยากจะถามคุณชายรองเช่นกันว่า เมื่อเทียบกับนางแล้ว ฮูหยินน้อยสามมีสิ่งใดดีงาม และขอให้คุณชายรองพูดออกมา นางจะได้เอาเป็นเยี่ยงอย่าง” แม่นมเถานิ่งคิดสักพักจึงกล่าวว่า “ฮูหยินน้อยรองบอกว่านางเองก็สงสัยเช่นกันว่าเหตุใดเมื่อตนเองพบเจอเรื่องราวคล้ายกับที่ฮูหยินน้อยสามเจอ แต่กลับมีชะตาที่ต่างกัน?”
ฮูหยินซูไม่ชอบฟังผู้อื่นเอ่ยถึงเรื่องเว่ยฉางอิ๋งเสื่อมเสียชื่อเสียงครั้งก่อนนางแต่งงานเป็นที่สุด …นั่นก็เพราะว่าเว่ยฉางอิ๋งแต่งกับบุตรชายของนาง ผู้ซึ่งทั้งตระกูลให้ความสำคัญเป็นที่สุด เมื่อสะใภ้ผู้นี้ถูกครหานินทาเรื่องชื่อเสียง คนที่เสียหน้าที่สุดก็มิใช่เสิ่นจั้งเฟิงหรอกรึ?
ได้ยินคำ สีหน้าของนางพลันหนักอึ้งลงทันใด แล้วเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ผู้อื่นล้วนไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้แล้ว นางกลับคอยคิดถึงไม่ยอมลืมเสียที? นางเว่ยดีงามกว่านางที่ใดน่ะหรือ เพียงว่ากันเรื่องที่ตวนมู่ซินเหมี่ยวมาที่บ้านวันนั้น ไม่ว่าอย่างไรนางเว่ยก็ล้วนดีงามกว่านางแล้ว! เรื่องครานั้นข้ายังไม่ได้ไปคิดบัญชีกับนางเลย แต่นางกลับมีเหตุมีผลขึ้นมาเสียแล้ว? นางว่านางต้องพลอยรับเคราะห์เพราะน้องสาวร่วมตระกูลอันใดกัน …ปกติแล้วหากนางดีๆ อยู่ เหลียนสือจะเกิดความเคลือบแคลงใจในตัวนางด้วยเรื่องของน้องสาวร่วมตระกูลของนางรึ? หรือว่าการที่ตวนมู่อู๋เซ่อถูกให้หย่าและกลับบ้านไปนี้ จะทำให้บุตรสาวทุกคนของตระกูลตวนมู่ต้องถูกสามีทิ้งไปเสียหมด?!”
ฮูหยินซูเอ่ยอย่างเคืองโกรธว่า “ในเมื่อยามนี้ร่างกายนางไม่ใคร่ดี เช่นนั้นก็ไม่ต้องไปดูแลบ้านเรือนแล้ว ประเดี๋ยวจะเหนื่อยเสียเปล่าๆ เจ้าไปบอกกับนาง บอกว่าข้าเห็นใจที่ยามนี้นางออกไปข้างนอกไม่สะดวก ให้นางมอบอำนาจการดูแลบ้านทั้งหมดให้แก่นางเว่ยเสีย!”
แม่นมเถาตอบรับไปคำหนึ่ง ในใจแอบยิ้มคิดว่า เห็นใจที่นางตวนมู่ออกไปข้างนอกไม่สะดวก …คำพูดนี้เหมือนเป็นการเอาใจใส่ แต่กลับบาดใจเสียยิ่งนัก เช่นนี้ไม่เท่ากันกำลังบอกว่าเมื่อตระกูลตวนมู่มีบุตรสาวที่ไม่ดีงามเช่นตวนมู่อู๋เซ่อ ฮูหยินซูก็คิดว่าระยะนี้ตวนมู่เยี่ยนอวี่ก็อย่าเพิ่งออกไปข้างนอกดีกว่า เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียหน้า?
…เพียงชั่วเวลาไม่กี่วันมานี้ เรียกได้ว่าเรือนหลังของหมิงเพ่ยถังมีการเปลี่ยนแปลงมากมาย เพราะเผยเหม่ยเหนียงฮูหยินน้อยสี่ทำให้เกิดเรื่องราวติดต่อกันมากมาย …ฮูหยินซูล้มป่วย ฮูหยินตระกูลซ่งสองคนถูกดึงเข้ามาเกี่ยวพันด้วย ตวนมู่อู๋เซ่อถูกหย่าร้าง เผยเหม่ยเหนียงขืนรักษาตำแหน่งสะใภ้ใหญ่ของจวนเซียงหนิ่งปั๋วเอาไว้ได้ และตวนมู่เยี่ยนอวี่พลอยรับเคราะห์ไปด้วย …จนสุดท้าย เมื่อมานับๆ ดูแล้ว ผู้ที่ได้ผลประโยชน์ในที่สุด นอกจากนางฮั่วฮูหยินใหญ่ตระกูลซ่งที่อดทนกับตวนมู่อู๋เซ่อน้องสะใภ้ผู้นี้มาแสนนานแล้ว ก็คือเว่ยฉางอิ๋งนั่นเอง
นางฮั่วยังต้องแลกมาด้วยการอดทนมานานปี และถูกผลักล้มจนต้องนอนซมบนตั่งจนยามนี้ แต่สำหรับเว่ยฉางอิ๋งแล้ว กลับพูดได้ว่านางไม่ได้ทำสิ่งใดเลย ก็ได้รับอำนาจที่ในส่วนที่ตวนมู่เยี่ยนอวี๋เคยมีมาแล้ว
แม้แต่ตอนที่แม่นมเถาไปแจ้งว่า นับแต่วันพรุ่งไปต้นไป งานในบ้านต่างๆ ที่เคยอยู่ในความดูแลของตวนมู่เยี่ยนอวี่ล้วนมอบให้แก่นาง ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อตวนมู่เยี่ยนอวี่หายป่วย ก็ไม่ต้องเอากลับคืนให้นางแล้ว แม่นมเถาก็ยังเอ่ยทั้งความรู้สึกสับสนในใจว่า “ ฮูหยินน้อยสามช่างวาสนาดีเสียจริงๆ!”
เพียงแต่ว่า แม้ยามอยู่ต่อหน้านาง เว่ยฉางอิ๋งจะตอบรับไปด้วยรอยยิ้ม และต้อนรับอย่างเป็นมิตรไมตรีเป็นที่สุด แต่รอจนแม่นมเถาไปแล้ว สีหน้านางกลับไม่มีความยินดีเลยแม้แต่น้อย ยามมองไปยังสิ่งของต่างๆ ที่แม่นมเถานำมามอบให้อยู่ภายในห้อง ทั้งสมุดบัญชี กุญแจและสิ่งของอื่นๆ ซึ่งเป็นตัวแทนอำนาจการดูแลบ้านเรือนของตวนมู่เยี่ยนอวี่ นางก็เพียงกวาดตามองผ่านอย่างเฉยชา…
______________________________________