ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 124 เปลี่ยนกำหนดแต่งงาน
เว่ยฉางอิ๋งทุบสามีด้วยท่าทีกึ่งล้อเล่นกึ่งให้คำเตือน จากนั้นนางก็เก็บท่าทีล้อเล่นไปเสีย แล้วมาพูดเรื่องจริงจังว่า “ยามนี้เจ้าก็จะไปแล้ว เช่นนั้น…เรื่องตำหนักตะวันออกเล่า?”
เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยยิ้มๆ “ท่านพ่อเตรียมการไว้แล้ว เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล”
เว่ยฉางอิ๋งคิดในใจว่าข้าไม่เป็นกังวลก็แปลกแล้ว วางแผนโค่นล้มผู้สืบราชบัลลังก์นับเป็นการใหญ่สะเทือนแผ่นดิน หากล้มเหลวขึ้นมา แม้จะถูกคนในตระกูลตัดขาดด้วยเป็นสายหลักของตระกูลสูงศักดิ์ ทว่าจวนราชครูทั้งหมดจะต้องหนีไม่รอด!
อีกทั้งหากเซินสวินมีใจเคืองแค้นตระกูลเสิ่นจริงๆ การปล่อยให้องค์รัชทายาทผู้นี้ขึ้นครองราชย์ก็มีแต่จะทำให้ลำบากยิ่งขึ้นไป ดังนั้นเรื่องนี้จึงต้องจัดการให้ลุล่วงให้ได้ การใหญ่เพียงนี้ หากไม่รู้ว่าเริ่มลงมือไปแล้วก็ยังพอทำเนา แต่ในเมื่อรู้แล้ว แต่กลับไม่รู้รายละเอียดความคืบหน้าต่างๆ …ยามเสิ่นจั้งเฟิงอยู่ที่บ้าน เว่ยฉางอิ๋งก็ยังสามารถสอบถามสามีได้สักคำสองคำ พอให้ได้รู้ความเคลื่อนไหวบ้าง
แต่ยามนี้สามีต้องไปหาความก้าวหน้าที่ซีเหลียง เว่ยฉางอิ๋งก็ไม่อาจไปสอบถามเอากับพ่อสามีได้กระมัง? แล้วจะไม่เป็นกังวลได้ที่ใด?
แต่ถึงจะเป็นกังวลก็ช่วยไม่ได้ หรือว่ายังสามารถขืนรั้งให้เสิ่นจั้งเฟิงอยู่ต่อไปได้?
เว่ยฉางอิ๋งจึงทำได้แต่เพียงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ซีเหลียงหนาวเหน็บแสนสาหัส คาดว่าสิ่งของต่างๆ คงมีไม่พร้อมสรรพ ต้องตระเตรียมของใดไปบ้าง?”
“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล” เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มพลางว่า “ก่อนหน้านี้ทั้งพี่ใหญ่และพี่รองก็เคยไปอยู่มาก่อนหลายปี ต้องตระเตรียมสิ่งใด วันพรุ่งข้าจะไปพวกเขาแล้วเขียนรายการออกมา พวกเราก็ตระเตรียมตามนั้นเป็นพอ”
เว่ยฉางอิ๋งนึงถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงเอ่ยถามว่า “ครานี้เจ้าจะพาเหนียนเซิงย้าวไปด้วยหรือไม่?”
เสิ่นจั้งเฟิงส่ายหน้า กล่าวว่า “แม้ท่านเหนียนจะมีความสามารถเหนือคน ทั้งชำนาญการวางแผน ทว่ากลับไม่นับว่าโดดเด่นเรื่องการทหาร ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเป็นบัณฑิต จากที่นี่ไปซีเหลียงห่างไกลนับพันลี้ หากพาเขาไปด้วยก็จะลำบากเกินไป อย่างไรก็ให้เขาคอยอยู่ช่วยท่านพ่อในเมืองหลวงเถิด” แล้วสั่งความว่า “ของกำนัลยามเทศกาล ก่อนนี้ล้วนเป็นเสิ่นเตี๋ยและเสิ่นจวี้ไปทำ ครานี้ข้าเพียงพาเสิ่นเตี๋ยไปด้วย ทิ้งเสิ่นจวี้เอาไว้ให้เจ้าใช้สอย ภายหลังเจ้าก็ไปถามเอารายชื่อของปีก่อนๆ จากเขา แล้วเจ้าก็มอบของกำนัลไปแทนข้า และอาจจะเพิ่มของกำนัลไปอีกสักเล็กน้อย”
เว่ยฉางอิ๋งรู้ว่านี่เป็นการให้ตนได้แสดงน้ำใจไมตรีต่อสหายและญาติมิตรของเขา นางพลันยิ้มหน้าบานแล้วโอบคอเขา กล่าวว่า “ข้ารู้แล้ว เจ้ายังมีเรื่องใดต้องสั่งความกับเข้าอีกหรือไม่?”
กลุ่มคนที่สามารถแย่งชิงตำแหน่งไปประจำการที่ชายแดนครานี้ ล้วนกำลังเร่งเตรียมตัวกันอย่างรีบเร่ง …เมื่อถึงวันส่งอำลา เว่ยฉางอิ๋งพบว่าในกลุ่มคนขาดกู้อี้หรานไปคนหนึ่ง จึงอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ เพียงแต่นางกำลังวุ่นวายสั่งความเรื่องต่างๆ แก่เสิ่นจั้งเฟิงด้วยกันกับฮูหยินซู จึงไม่ว่างไปสอบถาม เพราะนางนั่งรถไปกับฮูหยินซูตอนขากลับ นางจึงเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาว่า “ได้ยินท่านพี่บอกว่ากู้จื่อหมิงก็ต้องเดินทางไปซีเหลียง แต่วันนี้กลับไม่เห็นเขา?”
ฮูหยินซูยิ้มพลางว่า “ในวันประสูติขององค์หญิงหลินชวนคราก่อน ยามเจ้าถูก สนมเอกเรียกไป ไม่ได้สนใจฟังที่ฮองเฮาตรัสรึ? ว่ากำหนดงานแต่งของกู้อี้หรานและพระธิดาเฉิงเสียนนั้นเหลืออีกเพียงสองเดือนแล้ว หลังจากผลการประลองในวันชูอิกปีก่อนออกมา ฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลกู้ก็ไปทูลขอพระเมตตากับองค์ฮองเฮาและฮ่องเต้ ให้กู้อี้หรานแต่งงานเสร็จแล้วค่อยไป”
แล้วว่า “เมื่อตระกูลเฉียนรู้เรื่องเข้าจึงเข้าไปทูลขอพระเมตตาคล้ายๆ กันให้แก่คู่หมั้นของลูกผู้พี่หญิงรองของพวกเจ้า ยามนี้ประตูทางเหนือจึงยังขาดคนอยู่”
ซูอวี๋หลีหมั้นหมายกับเฉียนเลี่ยนซึ่งเป็นลูกผู้พี่แท้ๆ ของนาง ซึ่งเขาก็ได้รับโอกาสในครานี้ด้วย เดิมทีเฉียนเลี่ยนเข้าพิธีสวมหมวกเรียบร้อยแล้ว และมีกำหนดแต่งลูกผู้น้องหญิงเข้าบ้านมาก่อนหน้าแล้ว จนใจที่กู้หน่ายเจิงคู่หมั้นของซูอวี๋ลี่ต้องไว้ทุกข์ จึงต้องเลื่อนกำหนดแต่งงานมาจนครึ่งปีหลังของปีนี้ ซูอวี๋หลีจึงต้องออกเรือนล่าช้าตามไปด้วย
“วันแต่งงานของลูกผู้พี่หญิงรองคล้ายจะกำหนดไว้สิ้นปีนี้นี่เจ้าคะ?” เว่ยฉางอิ๋งตกตะลึง เมื่อเป็นดังนี้เฉียนเลี่ยนก็ต้องล่าช้าไปนานมากเกินไปแล้ว
ฮูหยินซูบอกว่า “เปลี่ยนแล้ว อย่างไรเสียกู้หน่ายเจิงก็ออกทุกข์แล้ว ก่อนนี้มารดาของเขาเสียไปอย่างปัจจุบันทันด่วน …ครั้งนั้นทั้งสองบ้านล้วนเตรียมการเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เดิมทีเมื่อเขาออกทุกข์มาก็สามารถแต่งงานได้ทันที เพียงแต่ท่านยายของพวกเจ้าคิดว่าคนเช่นพวกเราต้องมีพิธีรีตองที่โอ่อ่ายิ่งใหญ่ ยามนั้นอากาศร้อน เป็นห่วงว่าอวี๋ลี่จะออกเรือนอย่างลำบากเกินไป จึงเสนอว่าให้เปลี่ยนมาแต่งงานในฤดูใบไม้ร่วงแทน ดังนั้นแล้วกำหนดแต่งงานของอวี๋หลีจึงต้องเปลี่ยนมาเป็นต้นฤดูหนาวตามไปด้วย ยามนี้เลื่อนกำหนดออกเรือนของอวี๋ลี่เข้ามา กำหนดแต่งงานของอวี๋หลีก็ต้องเลื่อนเข้ามาด้วยเช่นกัน”
เว่ยฉางอิ๋งร้องอ่ะไปคำหนึ่ง กล่าวว่า “ท่านแม่ไม่บอกข้าก็ไม่ทราบเลยเจ้าค่ะ กลับไม่ทราบว่ากำหนดออกเรือนของลูกผู้พี่หญิงทั้งสองเป็นเมื่อใดเจ้าคะ? สะใภ้จะได้ไม่ให้เสียการเจ้าค่ะ”
“อวี๋ลี่นั้นเป็นเดือนหน้า ส่วนของอวี๋หลีก็เป็นหลังจากกู้อีหรานแต่งพระธิดาเฉิงเสียนหนึ่งวัน” ฮูหยินซูยิ้มจางๆ กล่าวว่า “สองสามวันมานี้เจ้าล้วนต้องช่วยเฟิงเอ๋อร์เก็บข้าวของ คิดว่าบ่าวไพร่ก็ต้องถูกจัดสรรไปทำงานกันจนหัวหมุนเช่นกัน จึงไม่มีแก่ใจไปสนใจเรื่องเหล่านี้”
เว่ยฉางอิ๋งพลันหน้าแดงขึ้นมา นางเพิ่งแต่งงานใหม่เพียงสี่เดือน สามีก็ต้องไปทำงานไกลถึงชายแดน หากมิใช่ว่าซีเหลียงเป็นดินแดนของตระกูลเสิ่น และเสิ่นจั้งเฟิงก็เป็นว่าที่ประมุขคนต่อไปซึ่งเป็นความหวังอันยิ่งใหญ่ของหมิงเพ่ยถัง และหนนี้ก็ยังเป็นโอกาสที่พ่อสามีและท่านอาทุ่มเทช่วงชิงมาได้ ความจริงแล้วนางเองก็เป็นกังวลจนกินไม่ได้นอนไม่หลับมาตั้งนานแล้ว
เมื่อเป็นดังนี้ ตลอดสองวันมานี้นางจึงอ่อนเพลียมาก ทั้งยังเป็นทุกข์หนักหนาที่ต้องจากลากัน เป็นดังคำของฮูหยินซู ว่าจะยังมีแก่ใจใดไปสนใจเรื่องกำหนดงานแต่งของบรรดาลูกผู้พี่หญิง?
ดีที่หนนี้ฮูหยินซูไม่ได้สอนสั่งนางต่อไปว่า ‘ต้องมีสง่าราศีเช่นภรรยาตระกูลใหญ่โต’ แต่กลับเอ่ยอย่างเห็นอกเห็นใจว่า “เจ้าแต่งงานมาไม่กี่เดือน เฟิงเอ๋อร์ก็ต้องไปชายแดน ทั้งเจ้าเองก็ไม่เคยไปที่ซีเหลียง จึงอดเป็นห่วงเขาหนักหนาไม่ได้ ยามวุ่นวายขึ้นมาย่อมยากจะดูแลทุกเรื่องได้ทั่วถึง ดีที่งานแต่งทั้งสองงานในครานี้เป็นตระกูลซูจัดการ พวกเราเพียงแค่ไปร่วมดื่มสุรามงคลในงานเป็นพอแล้ว”
เว่ยฉางอิ๋งลอบโล่งใจ จากนั้นจึงขอคำชี้แนะแม่สามีว่า ถึงเวลานั้นตนควรมอบของกำนัลเช่นใดไปแสดงความยินดี
ดังนี้แล้ว หลังจากกลับมา เพราะอย่างไรสามีก็เดินทางไปแล้ว เรื่องที่ต้องแยกจากกันสามปีก็เป็นกำหนดการที่แน่นอน ต่อให้เว่ยฉางอิ๋งอ่อนล้าเพียงใดก็ไร้ประโยชน์ กลับเป็นเรื่องต่างๆ ที่ตวนมู่เยี่ยนอวี่ดูแลและตนเองเพิ่งรับมาทีเสียอีก ที่บรรดาพ่อบ้านแม่บ้านพากันเข้ามาขอคำชี้แนะ ต่อให้นางคิดจะเสียใจสักหน่อยก็ยังไม่มีเวลาว่างเลย …แม้เมื่อเทียบกันแล้ว เรื่องที่ตวนมู่เยี่ยนอวี่ดูแลจะน้อยกว่างานในมือของนางหลิวมากนัก ทว่าสำหรับคนที่ไม่เคยดูแลบ้านเรือนเช่นเว่ยฉางอิ๋งแล้ว แม้ว่าจะมีพวกของนางหวงและนางเฮ่อคอยช่วย เมื่อเริ่มลงมือแรกๆ ก็ยังคงวุ่นวายลนลานอยู่บ้าง
กระทั่งจัดการมาได้หลายวันจึงค่อยๆ ชำนาญขึ้นมาสักน้อย
เว่ยฉางอิ๋งกำลังรู้สึกว่าพอจะผ่อนคลายลงได้บ้าง แต่กลับมีข่าวไม่ดีมาจากทางจวนซู บอกว่าเว่ยเจิ้งอินล้มป่วยเสียแล้ว
เมื่อท่านอาแท้ๆ ล้มป่วย เว่ยฉางอิ๋งที่เป็นทั้งหลานสาวและหลานสะใภ้ย่อมไม่อาจเพิกเฉย จึงรีบไปขอฮูหยินซูเพื่อไปเยี่ยมที่จวนซู ฮูหยินซูพยักหน้า “หากเจ้าไม่มาข้าเองก็กำลังจะส่งคนไปเรียกเจ้าพอดี… ประการแรกนางเป็นท่านอาแท้ๆ ของเจ้า แต่ไรมาร่างกายของท่านอาของเจ้าผู้นี้แข็งแรงดียิ่งนัก แต่กลับมาล้มป่วยในเวลาสำคัญเช่นนี้นับว่าไม่ดีเลย ประการที่สองเจ้าก็คุ้นเคยกับคุณหนูแปดบ้านตวนมู่ดี หากว่าไม่ไหวจริงๆ เจ้าก็ไม่ต้องกลับมารายงานข้า ให้ไปเชิญคุณหนูแปดที่บ้านตระกูลตวนมูมารักษาที่จวนเลย หากว่าค่ำมืดแล้วก็ค้างที่จวนซูสักคืน คาดว่าอวี๋ลี่ก็จะต้องช่วยจัดแจงให้เจ้า”
เว่ยฉางอิ๋งรีบขอบคุณแม่สามี เมื่อกลับถึงเรือนจินถงก็เรียกนางหวงมาและเร่งไปยังจวนซู นางเข้าไปคารวะแม่เฒ่าเติ้งก่อน แม่เฒ่าเติ้งหน้าตาเป็นกังวล เมื่อเห็นนางก็อดสะอื้นขึ้นมาไม่ได้ “ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ เหตุใดอินเอ๋อร์จึงมาล้มป่วยเสียแล้ว? วานนี้ท่านแพทย์หลวงจี้มาตรวจดูอาการก็ยังบอกสาเหตุไม่ได้ เรื่องนี้ช่าง…เฮ่อ!”
เมื่อได้ยินว่าแพทย์หลวงจี้ตรวจหาสาเหตุไม่พบ เว่ยฉางอิ๋งพลันชาไปทั้งหนังหัว คิดในใจว่าหรือต้องไปยุ่งเกี่ยวกับจี้ชวี่ปิ้งศิษย์อาจารย์คู่นี้อีกแล้วหรือนี่?
อีกทั้งรู้สึกเป็นห่วงเว่ยเจิ้งอินขึ้นมา ต่อให้จี้ฉงหย่วนไม่เอาไหนเพียงใด แต่อย่างไรก็เป็นแพทย์หลวง อาการปวดหัวตัวร้อนธรรมดาทั่วไปก็ไม่มีทางรักษาไมได้ โรคที่เขาวินิจฉัยออกมาไมได้ แน่นอนว่าต้องเป็นโรคที่หมอทั่วไปเกินจะรับมือ โดยเฉพาะเมื่อฮูหยินซูบอกว่าเว่ยเจิ้งอินเป็นคนแข็งแรงมาโดยตลอด จู่ๆ ก็มาล้มป่วย อย่าได้กลายเป็นกว่าพอล้มป่วยขึ้นมาก็เกิดเป็นเรื่องราวใหญ่โตเสียเล่า!
นางพยายามสนทนากับแม่เฒ่าติ้งไปด้วยใจกังวล แล้วมีสาวใช้ของแม่เฒ่าเติ้งพาไปที่บ้านสามของตระกูลซู ปรากฏว่ายังไม่ทันเข้าไปก็ได้กลิ่นยาที่แรงมากๆ มาจากในเรือน แรงจนถึงขั้นทำให้คนสำลัก
หัวใจของเว่ยฉางอิ๋งพลันเคว้งคว้างขึ้นมา สักพักจึงกล้าก้าวเข้าไปข้างใน เมื่อเข้าไปแล้วก็เห็นว่าทุกคนที่อยู่ข้างในล้วนมีท่าทีไม่สบายใจ สีหน้าเคร่งเครียด นางจึงรู้สึกว่ามีลมหนาวแผ่นซ่านขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ …เพราะเห็นว่าซูอวี๋ลี่ออกมาต้อนรับทั้งตาแดงก่ำ จึงถามไปอย่างร้อนรนว่า “ท่านอา?”
“ท่านแม่ยังดีอยู่” เห็นชัดว่าซูอวี๋ลี่เพิ่งจะร้องไห้มา บนแก้มยังมีหยดน้ำตาที่เช็ดยังไม่ทันแห้งอยู่หลายหยด พลางเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้ง “ลูกผู้น้อง เหตุใจเจ้าจึงมาได้? มิใช่บอกว่าหลายวันมานี้พี่สะใภ้รองของเจ้าไม่ค่อยสบาย และยามนี้เจ้าช่วย พี่สะใภ้ใหญ่ดูแลบ้านเรือนอยู่หรือ?”
“ท่านอาล้มป่วยแล้ว เข้าจะไม่มาได้อย่างไร?” เว่ยฉางอิ๋งกุมมือนาง ถามอย่างจดจ่อว่า “ท่านอาอยู่ที่ใด? ข้าไปเยี่ยมสักหน่อยได้หรือไม่?”
ซูอวี๋ลี่คิดอยากเอ่ยบ้างส่งแต่ก็หยุดคำไว้ กล่าวว่า “อยู่ข้างใน เพิ่งจะดื่มยา …เจ้าเข้าไปเถิด” แล้วมองไปยังบ่าวไพร่ข้างหลังนาง แล้วกลับบอกว่า “ยามนี้ท่านแม่ไม่อยากถูกรบกวนยิ่งนัก เจ้าตามข้าเข้าไปผู้เดียวเถิด”
“ช้าก่อน!” เว่ยฉางอิ๋งรีบเอ่ย “ข้าพาท่านอาหวงมาด้วย ให้ท่านอาหวงตรวจชีพจรท่านอาสักหน่อย จี้ฉงหย่วนผู้นี้รักษาท่านยายเช่นใดก็ยังไม่หาย รักษาท่านอาก็ไม่หาย ไม่รู้จริงๆ ว่าชื่อเสียงการเป็นแพทย์หลวงของเขานี้มาแต่ที่ใด? ยาที่เขาให้อย่าไปกินเลยเสียดีกว่า”
ซูอวี๋ลี่มองนางหวงหนหนึ่งแล้วกลับบอกว่า “ครั้งนี้คงไม่ต่างสักเท่าใด เจ้าเข้าไปก่อนเถิด ยามนี้ท่านแม่อารมณ์ไม่ดีนัก ไม่อยากพบคนอื่น”
เว่ยฉางอิ๋งอดตกตะลึงไม่ได้ ตามหลักแล้วเมื่อซูอวี๋ลี่ซึ่งบุตรสาวคนโต อีกทั้งเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวจะออกเรือน แต่เว่ยเจิ้งอินกลับมาล้มป่วยเอายามนี้ เช่นนั้นแล้วนางก็ควรต้องใจร้อนเป็นไฟและคิดจะเร่งรีบรักษาให้หายโดยไวนี่? ก่อนหน้านี้จี้ฉงหย่วนรักษาไม่หาย เมื่อได้ยินหลานสาวพานางหวงซึ่งเคยร่ำเรียนวิชามาจากจี้ชวี่ปิ้งมาหา ไม่ว่าจะเป็นซูอวี๋ลี่หรือเว่ยเจิ้งอินก็ควรรีบร้อนให้นางหวงเข้าไปตรวจดูอาการจึงจะถูก
แต่เหตุใดดูจากท่าทางของซูอวี๋ลี่แล้ว พวกนางแม่ลูกกลับไม่ใคร่อยากให้นางหวงเข้าไปตรวจอาการเล่า?
นางเข้าไปภายในห้องด้วยความสงสัยเช่นนี้ กลับเห็นว่ามุ้งบนเตียงถูกปลดลงมาแล้ว และมีการเผาดอกจื่อซู่เซียง[1]ที่ช่วยให้จิตใจสงบผ่อนคลาย และกลิ่นยาก็ไม่ได้แรงนัก ข้างใต้ฝ่าครอบกระถางก็มีดอกจื่อซู่เซียงที่ไหม้หมดไปแล้วจำนวนหนึ่ง
ภายในห้องมีเพียงนางสือแม่นมของเว่ยเจิ้งอินคอยปรนนิบัติอยู่ข้างตั่ง บนโต๊ะเล็กๆ รูปดอกไห่ถังสำหรับวางเตากำยานมีอ่างทองคำวางอยู่ ข้างอ่างมีผ้าใหม่วางพาดอยู่สองผืน
เว่ยเจิ้งอินนอนตะแคงอยู่บนตั่ง หันหน้าเข้าข้างใน เห็นเพียงผมยาวดำขลับที่สยายอยู่บนหมอน ทั้งศีรษะและไหล่ขยับอยู่ไม่นิ่ง เห็นชัดว่านางยังตื่นอยู่
ซูอวี๋ลี่พาเว่ยฉางอิ๋งเข้าไป นางสือรีบเข้ามาคารวะ เอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าน้อยคารวะคุณหนูใหญ่ และคุณหนูผู้น้องค่ะเจ้า!”
เมื่อเว่ยเจิ้งอินที่อยู่บนตั่งได้ยินคำนี้ก็รีบหันหลังกลับมา ทำให้เห็นว่าหน้าของนางค่อนข้างแดง บนหน้าผากมีผ้าเปียกวางอยู่ ดูท่าทางว่าป่วยจริงๆ แต่เว่ยเจิ้งอินกลับยกมือขึ้นหยิบผ้าออก ทั้งยังลุกขึ้นมานั่งได้อย่างคล่องแคล่ว แล้วเอ่ยด้วยเสียงที่มีลมปราณส่วนกลางเต็มเปี่ยมว่า “ฉางอิ๋ง เหตุใดเจ้าจึงมาได้?”
จากนั้นค่อยมีท่าทีตระหนักถึงบางสิ่งขึ้นมา “แม่สามีเจ้าส่งเจ้ามารึ?”
“ท่านอา?” เว่ยฉางอิ๋งเห็นนางหยิบผ้าออก อีกทั้งท่าทีคล่องแคล่วยามลุกขึ้นมาก็ค่อนข้างตะลึงงันแล้ว เมื่อมาเห็นท่าทางยามเว่ยเจิ้งอินพูดจาซึ่งเห็นชัดว่าไม่เหมือนกำลังป่วยอยู่ จึงอดถามไปไม่ได้ว่า “ท่านอา นี่ท่านกำลัง…?”
กำหนดแต่งงานของ ซูอวี๋ลี่ก็จวนเจียนเต็มทน เหตุใดเว่ยเจิ้งอินจึงมาแกล้งป่วยเสียแล้ว?
พลันเห็นว่าเมื่อเว่ยเจิ้งอินได้ยินคำถามเช่นนี้ สีหน้าของนางก็หนักอึ้งขึ้นมาอย่างในทันใด!
__________________________________
[1] ดอกจื่อซู่เซียง คือ ดอกทิวลิป