ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 129 จับคู่
วันรุ่งขึ้น นางหวงรับคำสั่งให้ไปที่คฤหาสน์จี้ และเพราะเว่ยฉางอิ๋งเห็นใจว่าบุตรชายรองลูกสะใภ้รองและหลานสาวเพียงคนเดียวล้วนอยู่ที่คฤหาสน์จี้ ดังนั้นไม่ว่านางจะจัดการเรื่องครานี้ได้อย่างไร ก็ให้นางอยู่ทานอาหารกับบุตรชายสะใภ้และหลานสาวเสียก่อนค่อยกลับมา ดังนั้นจนหลังเที่ยงนางจึงค่อยกลับมา
ขณะนั้นพอดีว่า เว่ยฉางอิ๋งจัดการเรื่องงานบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว กำลังเรียกคนยกวุ้นผลไม้ออกมาทาน นางเฮ่อบอกนางว่าให้ใส่น้ำแข็งน้อยสักหน่อย …พอได้ยินว่านางหวงกลับมาแล้ว จึงสั่งความว่า “ไปนำมาให้ท่านอาหวงชามหนึ่ง”
นางหวงคล้องตะกร้าเปียกๆ อันหนึ่งไว้ที่แขนเดินเข้ามา ยิ้มพลางขอบคุณ กล่าวว่า “เข้าน้อยพบกับคุณหนูตวนมู่แปดที่นั่น พอเห็นข้าน้อยนางก็เข้ามาสอบถามเรื่องหยกเลยเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งร้องอ่ะออกมาคำหนึ่ง กล่าวว่า “ยุ่งนั่นยุ่งนี้กลับลืมไปเสียแล้ว อีกประเดี๋ยวท่านอาไปหามาสองชิ้น อย่าให้นางมาที่บ้านเล่า ยามนี้ข้ายุ่งนัก ไม่มีเวลามาต้อนรับขับสู้นาง ให้ท่านอาเป็นคนนำไปส่งให้นางเถิด”
แล้วถามนางว่า “ในตะกร้ามีสิ่งใด?”
“เวยเวยเห็นแก่กิน วันนี้เห็นข้าน้อยไปหา ก็รบเร้าจะกินเม็ดบัวกวนเจ้าค่ะ” นางหวงเอ่ย “ข้าน้อยคิดว่า ฮูหยินน้อยอนุญาตให้ข้าน้อยอยู่ต่อได้สักพัก จึงทำให้นางทาน และพอดีนำกลับมาให้ฮูหยินน้อยลองทานสักหน่อยด้วยค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งถามยิ้มๆ ว่า “ปลาทอง ปลาจิ่นอวี๋ที่นางเลี้ยงไว้ในอ่างบัวของจี้ชวี่ปิ้งเป็นเช่นใดบ้าง? ยามนี้ซื้ออ่างปลาอันใหม่ให้นางแล้วหรือยัง?”
“ปรากฏว่าปลาทั้งกลุ่มนั่นตายหมดแล้วเจ้าค่ะ” นางหวงเอ่ยยิ้มๆ “ปลาและอ่างใหม่ ข้าซื้อให้นางแล้วเจ้าค่ะ ที่ไปวันนี้สะใภ้ของข้าน้อยยังมาฟ้องว่า นางเอาแต่วนเวียนอยู่ที่ข้างอ่างปลาอยู่ทั้งวัน แม้แต่ไปรับแขกที่ประตูก็ไม่รีบร้อนไปแล้ว ข้าน้อยจึงบอกกับนางว่า หากเรื่องนี้ทำให้เสียงาน ทั้งปลาทั้งอ่างข้าน้อยก็จะยกไปเสีย”
เว่ยฉางอิ๋งจึงว่า “เด็กเล็กอย่างไรก็มักห่วงเล่น ข้าก็เห็นว่าดีชั่วอย่างไรที่เรือนของจี้ชวี่ปิ้งก็มิได้มีคนไปมามากนัก หรือต่อให้มีคนไป เขาอารมณ์ร้ายปานนั้น ผู้อื่นก็คงไม่หวังว่าจะได้รับการต้อนรับอย่างดีนัก จะชักช้าบ้างก็คงไม่เป็นไร ถ้าคนเหล่านั้นสามารถอดทนกับจี้ชวี่ปิ้งได้ แล้วจะไปถือสาเด็กเล็กๆ คนหนึ่งหรือ?”
นางหวงเอ่ยยิ้มๆ “ฮูหยินน้อยเจ้าคะ คนแต่ละบ้านล้วนทราบว่าคนที่คอยอยู่รับใช้ข้างกายท่านหมอเทวดาจี้เป็นคนของบ้านเรา หากต้อนรับขาดตกบกพร่องแล้ว บัญชีนี้ก็จะไปลงที่บ้านเรานะเจ้าค่ะ”
“…” เว่ยฉางอิ๋งหมดคำพูด จากนั้นจึงว่า “บ้านเราเพิกเฉยต่อพวกเขาแล้วจะอย่างไรเล่า? พวกเวยเวยนางไปปรนนิบัติจี้ชวี่ปิ้ง หาได้ไปปรนนิบัติคนที่มาหาไม่”
นางหวงเปลี่ยนหัวข้อบอกว่า “วันนี้ข้าน้อยสอบถามจูเหล่ยแล้ว ได้ความว่าอาการปาดเจ็บของท่านองครักษ์เจียงคงที่แล้ว เวลานี้เพียงแต่รอพักฟื้นเท่านั้นเจ้าค่ะ ท่านหมอเทวดาจี้บอกเขาว่าฮูหยินน้อยใจกว้างนัก เงินที่ให้มาก็ใช้ได้ตามสบาย ฉะนั้นจึงให้แต่ยาดีๆ จูเหล่ยจึงรู้สึกขอบคุณฮูหยินน้อยเสียยิ่งนัก วันนี้มาบอกกับข้าน้อยว่า กลับไปจะต้องมาโขกหัวขอบคุณฮูหยินน้อยแน่นอนเจ้าค่ะ”
“ท่านลุงเจียงเป็นอาจารย์ของเขาและก็เป็นครูฝึกของข้าด้วย” เว่ยฉางอิ๋งยิ้ม กล่าวว่า “อีกประการหนึ่งเหตุที่ท่านลุงเจียงต้องมาประสบเหตุเช่นนี้ ว่ากันตามตรงก็เพราะต้องพลอยมารับเคราะห์เพราะข้า หากยังไม่ได้รับการรักษาดีๆ ยาดีๆ ข้าก็แล้งน้ำใจเกินไปแล้ว เรื่องนี้นับเป็นบุญเป็นคุณได้ที่ใดกัน และเขาก็ไม่จำเป็นต้องขอบคุณด้วย” แล้วถามว่า “ทางนางอวี๋นั่นเล่า?”
“ข้าน้อยบอกกล่าวกับท่านองครักษ์เจียงแล้วเจ้าค่ะ ยามนี้ท่านองครักษ์เจียงก็วางใจแล้ว และไม่ได้เอ่ยเรื่องจะขออวี๋เยี่ยนหวามาให้เป็นภรรยาของจูเหล่ยอีกเจ้าค่ะ” นางหวงเอ่ยพลางยิ้มน้อยๆ “ทว่าฮูหยินน้อยก็คาดการณ์ได้แม่นยำนักเจ้าค่ะ วันนี้ตอนข้ากำลังคุยกับลูกสะใภ้ เวยเวยก็วิ่งเข้ามาบอกว่า อวี๋เยี่ยนหวาผู้นั้นมานั่งคุกเข่าอยู่ที่หน้าประตูคฤหาสน์จี้แล้ว”
เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้ว กล่าวว่า “นี่นางยังตามตื๊อไม่เลิกจริงๆ รึ?”
นางเฮ่อนั่งกำหมัดฟังอยู่ข้างๆ มาโดยตลอด พลันถามขึ้นมายามนี้ว่า “เช่นนั้นแล้วพี่หวงท่านทำอย่างไรเล่า?” หากเป็นวิธีล้ำเลิศ นางก็อยากจะเรียนรู้ไว้บ้าง!
“ก็คงเพราะนางโชคไม่ดี นางเพิ่งจะมาคุกเข่าได้ไม่นาน คุณหนูตวนมู่แปดก็มาเยี่ยมท่านหมอเทวดาจี้พอดี เมื่อเห็นว่านางคุกเข่าอยู่ตรงหน้าประตู จึงเอ่ยถามถึงสาเหตุ” นางหวงมีท่าทีจะหัวเราะแต่ก็กลับอดทนเอาไว้ แล้วกล่าวว่า “อวี๋เยี่ยนหวาผู้นั้นก็บอกไปว่าตนคิดจะมารับใช้เป็นวัวเป็นม้าให้แก่ท่านองครักษ์เจียงเพื่อชดใช้ความผิดให้บิดาตน …ปรากฏว่าคุณหนูตวนมู่แปดได้ยินเข้าก็มองไปที่นางอย่างยินดีนัก กล่าวว่า ‘เจ้าอยากจะเป็นวัวเป็นม้าให้เจียงเจิง? เจ้าไม่รู้หรือว่าเขาติดหนี้ค่ารักษากับพวกเราศิษย์อาจารย์อยู่ ยามนี้คนก็ถูกกักเอาไว้ที่เรือนอาจารย์ข้าแห่งนี้ ไปไหนไม่ได้แล้ว? ข้ากำลังกลุ้มอยู่ว่าคนผู้นี้ไม่มีปัญญาใดจะชดใช้ ไม่คิดว่ายังมีสาวใช้อีกคนที่สามารถมาใช้หนี้ได้’ แล้วเรียกให้นางเดินตามเข้ามา”
เว่ยฉางอิ๋งและนางเฮ่อเอ่ยถามเป็นเสียงเดียวกันว่า “จากนั้นเล่า?”
“จากนั้น ตอนแรกอวี๋เยี่ยนหวายังนึกว่าเจอโชคดีเข้าให้แล้ว จึงโขกหัวขอบคุณคุณหนูตวนมู่แปด ปากก็บอกว่าจะต้องปรนนิบัติท่านหมอเทวดาจี้และคุณหนูตวนมู่แปดอย่างสุดกำลังต่างๆ นานา…” นางหวงเม้มปากหัวเราะ “ปรากฏว่ายามนางเดินขึ้นบันไดหินมาคุณหนูตวนมู่แปดคร้านจะร่ำไรกับนาง จึงบอกกับนางไปตรงๆ ว่า ‘ปรนนิบัติพวกเราศิษย์อาจารย์อันใด? พวกเราศิษย์อาจารย์มีคนดูแลรับใช้อยู่แล้ว ข้าจะเอาเจ้าไปทดลองยาต่างหาก สองวันมานี้ปรุงยาใหม่มาสองสามชนิด จะได้ผลอย่างไรท่านอาจารย์ก็ยังไม่แน่ใจ บอกให้ข้าไปหาวิธีเอาพวกนักโทษประหารมาลองยาดูสักหน่อย ข้าคร้านจะไปวุ่นวายกับคนในตระกูล กำลังคิดว่าจะแอบใส่ยาให้เจียงเจิงกินดู ก็กลัวว่าจะไปล่วงเกินพี่สาวบ้านเว่ยเอา พอดีเจ้าเอาตัวใส่พานมาให้ นับว่าสวรรค์ช่วยข้าแล้วจริงๆ’ “
“…” เว่ยฉางอิ๋งเกือบหัวเราะออกเสียงออกมา!
นางเฮ่อรีบถามว่า “แล้วอวี๋เยี่ยนหวานั่นเล่า?”
“เวยเวยเป็นคนไปเปิดประตูให้คุณหนูตวนมู่แปดบอกว่า พอนางได้ยินคำนี้ ไม่ทันพูดสิ่งใดสักคำ นางก็หันหลังวิ่งหนีไปเลย …วิ่งเร็วยิ่งกว่ากระต่ายเสียอีก ขนาดรองเท้าผ้าปักตกอยู่ในตรอกข้างหนึ่งยังไม่ทันมาห่วงเลยเจ้าค่ะ” นางหวงกล่าว “คาดว่าวันพรุ่งนางคงไม่กล้ามาแล้วเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยว่า “หากนางยังกล้ามาอีกก็ดี คนใจคอโหดเหี้ยมเช่นตวนมู่ซินเหมี่ยว หากจะจับนางไปลองยาจริงๆ ก็มิใช่ว่านางจะทำไม่ได้”
นางหวงยิ้มพลางว่า “ความจริงแล้ว คุณหนูตวนมู่แปดก็มิใช่คนใจคอโหดเหี้ยมนะเจ้าค่ะ เพียงแต่ลุ่มหลงในศาสตร์การแพทย์เกินไปหน่อยเท่านั้น เมื่อเทียบกับเรื่องการแพทย์นี้แล้วนางจึงมองว่าชีวิตคนมีค่าน้อยไปสักหน่อย”
แล้วว่า “เม็ดบัวกวนนี้ข้าน้อยเพิ่งจะทำตอนเที่ยง เพียงแต่กลัวว่าจะเสียเอาระหว่างทาง จึงเอาน้ำแข็งห่อมาด้วย ยามนี้ยังเย็นอยู่ ต้องนำไปอุ่นให้ร้อนก่อนจึงจะกินได้เจ้าค่ะ” พลางเอื้อมมือส่งไปให้นางเฮ่อ
นางเฮ่อไม่ได้คิดมากอันใด รับตะกร้ามาแล้วถามได้ความว่าเว่ยฉางอิ๋งอยากจะลองชิมตอนนี้สักชิ้นสองชิ้น จึงว่า “เช่นนั้นข้าน้อยจะเอาไปนึ่งในห้องครัวเล็กสักหน่อยเจ้าค่ะ”
แม้ว่าในห้องครัวเล็กจะมีบ่าวไพร่คอยดูแลอยู่แล้ว แต่ของที่เว่ยฉางอิ๋งเป็นคนสั่งเอง นางเฮ่อก็จะนำไปจัดการและยกมาให้ด้วยตนเองเสมอมา
อาศัยจังหวะที่นางออกไปแล้ว นางหวงจึงเก็บรอยยิ้มไปเสีย แล้วบอกกับเว่ยฉางอิ๋งว่า “วันนี้หลังจากข้าน้อยไปเยี่ยมเจียงเจิงแล้ว จูเหล่ยก็มาส่งข้าน้อยสองสามก้าว เรื่องที่เขาบอกกับข้าน้อยนั้นทำเอาข้าน้อยประหลาดใจเล็กน้อยเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งเห็นว่าก่อนหน้านี้นางส่งตะกร้าให้นางเฮ่อ แต่ไม่ได้ส่งให้สาวใช้ที่อยู่บนระเบียงทางเดิน ก็รู้ว่านางหวงจงใจให้นางเฮ่อแยกตัวออกไป เวลานี้จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “เขาพูดเรื่องใด?”
“จูเหล่ยถามข้าน้อยว่าน้องเฮ่อมีใจให้อาจารย์ของเขาใช่หรือไม่?”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงนางหวง พอดีว่าเว่ยฉางอิ๋งกลืนวุ้นผลไม้ลงคอจนเกือบจะสำลัก แล้วกระแอมไอไปหลายหน นางหวงรีบเข้าไปช่วยลูบหลังให้นาง เมื่อหายแล้ว เว่ยฉางอิ๋งเอาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดมุมปาก เอ่ยถามอย่างไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี “เหตุใดเขาจึงคิดเช่นนี้? ขอเพียงเป็นคนที่รับใช้ข้างกายมาสองปีขึ้นไปก็จะไม่มีผู้ใดไม่รู้ว่าท่านอาเฮ่อจงเกลียดจงชังท่านลุงเจียงเพียงใด”
“แต่จูเหล่ยพูดมาดังนี้เจ้าค่ะ” นางหวงเอ่ย “เขาบอกว่าวานนี้ที่เขามา เดิมทีคิดว่าพวกเราจะส่งสาวใช้ทำงานหนักไปสักสองคนเพื่อช่วยเขาลากอวี๋เยี่ยนหวาออกไป ปรากฏว่ากลับเป็นน้องเฮ่อไปเอง ไม่เพียงไปเอง หลังจากไล่อวี๋เยี่ยนหวาไปแล้วยังตั้งใจไปเยี่ยมท่านองครักษ์เจียงด้วย เมื่อเห็นท่านองครักษ์เจียงก็อบรมท่านองครักษ์เจียงไปหนแล้วหนเล่า…”
เว่ยฉางอิ๋งรีบถามว่า “เหตุใดท่านอาเฮ่อจึงไปอบรมท่านลุงเจียงเล่า? มิใช่เพราะท่านลุงเจียงคิดอยากหมั้นหมายอวี๋เยี่ยนหวาให้แก่จูเหล่ยหรอกหรือ จึงได้…?”
“จูเหล่ยบอกว่าตอนแรกที่พวกเขาสนทนากัน กลับไม่ได้เอ่ยถึงอวี๋เยี่ยนหวา หากแต่น้องเฮ่อบอกไปว่าท่านองครักษ์เจียงโง่เกินไป อยู่ดีๆ คนรู้จักกันมานานก็ย้ายจากชานเมืองเข้ามาอยู่ในเมืองหลวง ทั้งยังมีเงินทางมาเปิดร้านขายหูปิ่งอีก แต่เขากลับไม่รู้จักถามให้ละเอียด ประสาอะไรกับที่เขาไปซื้อหูปิ่งตั้งไม่รู้กี่หน แล้วก่อนนี้บ้านอวี๋ก็ไม่เคยขอให้เขาไปช่วยซื้อสิ่งใด แต่จู่ๆ ยามนี้กลับเอ่ยขึ้นมา แล้วจะไม่มีแผนการใดหรอกหรือ?” นางหวงกล่าว “ท่านองครักษ์เจียงจึงแก้ต่างว่า ก่อนหน้านี้ครั้งบิดาของตนและตนเองยังทำงานคุ้มภัย เมื่อมาถึงใกล้ชานเมือง แทบทุกครั้งก็จะมานั่งพักที่ร้านน้ำชาที่บ้านอวี๋เปิด บางครั้งบ้านอวี๋ขาดเหลือสิ่งใดที่มีเฉพาะในเมืองหลวงก็จะไหว้วานให้พวกเขานำมาด้วยตอนขากลับเมืองหลวง ฉะนั้น เมื่ออวี๋ฝูบอกว่าในร้านเหลือแป้งหมี่อีกไม่มาแล้ว และเขาออกไปจากร้านไม่ได้ ทั้งไม่อยากให้บุตรไปปรากฏตัวข้างนอก ท่านองครักษ์เจียงจึงบอกว่าตนเองจะไปซื้อให้เขาเจ้าค่ะ”
“แล้วหัวข้อกลายไปเป็นเรื่องของอวี๋เยี่ยนหวาได้อย่างไร?”
นางหวงเล่าว่า “ครานี้น้องเฮ่อจึงบอกว่า ตอนนางไล่อวี๋เยี่ยนหวาไปก็เห็นว่าเด็กสาวผู้นี้พูดจาคล่องแคล่วนัก เห็นชัดว่ามิใช่เป็นคนที่อยู่แต่ในบ้านไม่ได้พบเจอผู้คน”
“ท่านองครักษ์เจียงจึงเอ่ยไปลอยๆ คำหนึ่งว่า บุตรสาวคนรองบ้านอวี๋นี้พูดจาคล่องแคล่วนัก จากนั้นน้องเฮ่อจึงจับผิดเขา บอกว่าในเมื่ออวี๋ฝูดูแลบุตรสาวเข้มงวดนักจนไม่ให้นางออกไปปรากฏตัวข้างนอก แล้วเหตุใดท่านองครักษ์เจียงจึงรู้ว่าเด็กสาวผู้นี้พูดจาคล่องแคล่ว? เห็นชัดว่าไม่เพียงเคยพบมาก่อน อย่างน้อยก็ต้องเคยได้ยินนางพูดจากับคนอื่นมาก่อน หรือไม่ตนเองก็เคยพูดคุยกับนางมาก่อนจึงรู้ว่านางพูดเก่ง ท่านองครักษ์เจียงจึงบอกว่าบางครายามเขาไปซื้อหูปิ่งเด็กสาวผู้นี้ก็จะออกมาทักทาย นางเฮ่อจึงต่อว่าไปว่าท่านองครักษ์เจียงโง่ เช่นนี้ก็ยังมองไม่ออกว่าการที่อวี๋ฝูให้เขาไปซื้อของให้เป็นแผนร้ายที่จงใจวางเอาไว้…”
นางหวงถอนหายใจ กล่าวว่า “คงเพระท่านองครักษ์เจียงถูกต่อว่าเสียจนรำคาญ จึงบอกว่าไปว่าเดิมทีตนเองคิดอยากหมั้นหมายอวี๋เยี่ยนหวาให้มาเป็นภรรยาของจูเหล่ย …จากนั้นยังไม่ทันพูดจบก็ถูกห้องเฮ่อด่ากลับไป! ทั้งสองคนโต้เถียงกันไปมาไม่กี่คำ น้องเฮ่อก็พูดคำเหล่านั้น ท่านองครักษ์เจียงเกิดโมโหขึ้นมาอย่างหนัก หากมิใช่ว่ายังบาดเจ็บอยู่ ทั้งถูกจูเหล่ยห้ามปรามไว้ เขาก็เกือบจะถลันออกไปเอาความกับน้องเฮ่อที่นอกฉากกั้นลมแล้วเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งหมดคำพูดเสียงอย่างยิ่ง กล่าวว่า “ดังนั้นจูเหล่ยจึงได้คิดว่าท่านอาเฮ่อมีใจให้ท่านลุงเจียง? เขาไม่รู้สึกว่าท่านอาเฮ่อ…เอ่อ…ร้ายกาจกับท่านลุงเจียงหรอกรึ?”
“จูเหล่ยผู้นั้นบอกว่า เขารู้สึกว่าสาเหตุน้องเฮ่อดูคล้ายคอยจับผิดคอยด่าทออาจารย์ของเขา ความจริงแล้วเพราะเป็นห่วงอาจารย์เขายิ่งนัก แล้วบอกว่าเหตุที่น้องเฮ่อสงสัยว่าท่านองครักษ์เจียงจะหมายตาอวี๋เยี่ยนหวาให้ตัวเขาเองนั้น เขาฟังดูแล้วเหมือน…เหมือนว่าน้องเฮ่อกำลังหึง?” นางหวงเอ่ยเสียงเบาอย่างขัดเขินว่า “จูเหล่ยยังพยายามบอกกับข้าน้อยว่า อาจารย์ของเขาโดดเดี่ยวมาทั้งชีวิต หากมีอาจารย์หญิงมาคอยดูแลสักคน เขาก็หวังจะให้เป็นเช่นนั้น และยินยอมจะเคารพกตัญญูต่ออาจารย์หญิงประหนึ่งมารดาแท้ๆ เรื่องนี้ฮูหยินน้อยท่านว่า?”
เว่ยฉางอิ๋งไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะพูดอย่างไรดี นางย้อนนึกทบทวนดูอย่างละเอียดอยู่เป็นนาน จึงว่า “คงเพราะก่อนนี้ข้าล้วนไม่เคยสังเกตกระมัง? แต่ไรมาข้าไม่เคยรู้สึกวาท่านอาเฮ่อจะมีใจให้ท่านลุงเจียงเลยนี่?” ปีก่อน ก่อนที่เจียงเจิงจะช่วยชีวิต เว่ยฉางอิ๋งพี่น้องเอาไว้ได้ นางเฮ่อถึงกับหวังให้เจียงเจิงตายเสียได้ไวๆ นี่!
แล้วนางก็ไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี “จูเหล่ยผู้นี้เป็นคนตลกจริงๆ ท่านอาเฮ่อด่าท่านลุงเจียงเสียขนาดนั้น ทั้งยังทำให้ท่านลุงเจียงโกรธจนแทบคลั่ง เขาเป็นศิษย์เพียงคนเดียวไม่คิดจะออกหน้าให้ท่านลุงเจียงก็ยังแล้วไป กลับยินดีจะให้ท่านอาเฮ่อไปเป็นอาจารย์หญิงของเขาเสียอีก? ไม่รู้จริงๆ ว่าหลังจากท่านอาเฮ่อกลับไปแล้ว ท่านลุงเจียงจะชกเขาระบายอารมณ์หรือไม่”
“ยามนี้อาการบาดเจ็บของท่านองครักษ์เจียงยังไม่หายดี หากคิดจะชกเขาก็เกรงว่าเขาคงจะไม่เจ็บหรอกเจ้าค่ะ” นางหวงพูดเล่นไปคำหนึ่ง แล้วว่า “พูดอีกสักเรื่องที่จะทำให้ฮูหยินน้อยยิ่งประหลาดใจเถิด เรื่องที่จูเหล่ยเอ่ยกับข้าน้อยอยู่ก่อนคือ …คนที่องอาจน่าเกรงขามและคล่องแคล่วว่องไวเช่นน้องเฮ่อนี้ เชื่อว่าอาจารย์ของเขาจะต้องสนใจนางยิ่งนักมานานแล้ว เพียงแต่ไม่กล้าพูดออกมาเท่านั้น”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างตกตะลึงว่า “คล่องแคล่วว่องไงนั่นแน่นอนอยู่แล้ว แต่องอาจน่าเกรงขามนี่? หรือว่าเขาหมายถึงท่าทียามท่านอาเฮ่อด่าท่านลุงเจียง???”
นางหวงหัวเราะฮ่าๆ ออกมา กล่าวว่า “ข้าน้อยก็ไม่ทราบ อาจจะใช่เจ้าค่ะ?” กระเซ้าไปคำหนึ่งก็กลับบอกว่า “แต่จะว่าไป ข้าน้อยกลับรู้สึกว่า ความจริงแล้วท่านองครักษ์เจียงก็เป็นคนไม่เลวเลย…”
“ท่านลุงเจียงอายุมากกว่าท่านอาเฮ่อหลายปีเชียวนะ?” เว่ยฉางอิ๋งตะลึงพลางเอ่ยออกไป
เจียงเจิงก็อายุเกือบจะครึ่งร้อยแล้ว นางเฮ่อเพิ่งจะสามสิบกว่าปี สองคนห่างกันสิบกว่าปีเต็มๆ ฉะนั้นแม้ทั้งสองคนล้วนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเว่ยฉางอิ๋ง แต่ครั้งเว่ยฉางอิ๋งหารือกับนางหวงเมื่อก่อนนี้ ว่าจะหาคนดีๆ ให้นางเฮ่อแต่งงานใหม่ กลับไม่เคยพิจารณาเจียงเจิงมาก่อนเลย
เวลานี้นางหวงเสนอขึ้นมา เว่ยฉางอิ๋งก็รู้สึกว่าเหนือความคาดหมายนัก “ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่แน่ว่าท่านอาเฮ่อจะชอบท่านลุงเจียงนี่?”
“น้องเฮ่อผู้นี้ ฮูหยินน้อยท่านไม่ทราบ” เว่ยฉางอิ๋งเคยเห็นเคยได้ยินนางเฮ่อด่าทอเจียงเจิงให้ไปตาย ดังนั้นจึงนึกเอาไว้ก่อนว่า ไม่ว่าอย่างไรแม่นมและครูฝึกของตนไม่มีทางจะเป็นคู่กันแน่นอน แต่นางหวงซึ่งเห็นนางเฮ่อมาแต่ครั้งยังสาวกลับไม่คิดเช่นนั้น นางกล่าวว่า “ครั้งสามีของนางยังอยู่ ก็มิใช่ว่าถูกนางด่าว่าจะเอามีดสับเขาเป็นพันเป็นหมื่นชิ้นตั้งแต่เช้ายันค่ำ? นางก็เป็นคนปากร้ายเช่นนั้นเอง ไม่ชอบก็ด่า ชอบก็ด่า…” เสียงพลันต่ำลง “ว่ากันว่าตีคือจูบด่าคือรัก ก็คือคนเช่นน้องเฮ่อนี่ล่ะเจ้าค่ะ”
_________________________________