ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 130-1 จูเหล่ยตาแหลม
เว่ยฉางอิ๋งคิดมาตลอดว่าคำพูดที่นางหวงซึ่งเป็นคนที่รอบคอบเก่งกาจพูดออกมาจะต้องไม่มีทางไม่มีเหตุผล ดังนั้นเมื่อได้ฟังนางหวงเอ่ยถึงเรื่องนี้ แม้จะรู้สึกว่า เจียงเจิงอายุมากกว่านางเฮ่อมากเกินไปหน่อย แต่อย่างไรก็ยังจำเรื่องนี้ไว้ในใจ
รอจนนางเฮ่อยกขนมเม็ดบัวกวนที่นึ่งจนร้อนมาแล้ว เว่ยฉางอิ๋งจึงส่งสัญญาให้นางหวงออกไปก่อน เหลือเพียงนางเฮ่ออยู่ตรงหน้า นางพลางกินคำเล็กๆ พลางแสร้งถามนางเฮ่อไปอย่างไม่มีเจตนาใดว่า “ท่านอาเฮ่อ ท่านรู้สึกว่าท่านลุงเจียงเป็นคนเช่นใด?”
วานนี้นางเฮ่อเพิ่งจะเอ่ยถึงเจียงเจิงไปอย่างไม่เคารพเสียอย่างยิ่ง จนถึงขั้นถูกนางหวงถลึงตาใส่มาแล้ว และภายหลังก็ยังถูกนางหวงอบรบเป็นการส่วนตัวมายกหนึ่ง บอกว่าเจียงเจิงเป็นคนที่แม้แต่เว่ยฉางอิ๋งก็ยังให้ความเคารพนับถือ แต่นางซึ่งเป็นแม่นมกลับดูแคลนเขา ยามนี้ก็ไม่ใช่ครั้งเว่ยฉางอิ๋งเป็นอยู่คุณใหญ่อยู่ในบ้านตนเอง ที่มีแม่เฒ่าซ่งคอยรักใคร่จึงไม่มีคนกล้าพูดสิ่งใด เวลานี้เว่ยฉางอิ๋งเป็นสะใภ้อยู่ในตระกูลเสิ่น โดยเฉพาะยามนี้เสิ่นจั้งเฟิงที่รักภรรยาหนักหนาต้องจากไกลไปสร้างผลงานที่ชายแดน ทั้งนอกบ้านในบ้านเว่ยฉางอิ๋งกำลังอยู่ในช่วงที่ไร้ที่พักพิงและต้องระมัดระวังตัวยิ่งนัก…หากให้คนนอกได้ยินเรื่องนี้เข้า ไม่แน่ว่าจะไปครหานินทาว่าเว่ยฉางอิ๋งไม่ได้ความ แม้แต้แม่นมข้างกายก็ยังควบคุมไม่ได้
นางเฮ่อภักดีต่อเว่ยฉางอิ๋งเป็นหนักหนามาโดยตลอด ยามเอ่ยถึงเจียงเจิงครั้งอยู่ที่เฟิ่งโจวก่อนหน้านี้ก็ด่าเขาจนเคยปากแล้ว หลังจากถูกนางหวงเตือนสติ นางก็รู้สึกหวาดหวั่นทั้งตกใจขึ้นมา เวลานี้จึงกำลังพยายามหาหนทางจะทำตัวดีๆ เป็นการชดเชย
ฉะนั้นเมื่อได้ยินคำของเว่ยฉางอิ๋ง นางจึงไม่แม้จะแต่จะคิดก็บอกไปว่า “ท่านองครักษ์เจียงภักดีต่อฮูหยินน้อย เป็นคนมีคุณธรรม ทั้งวรยุทธก็สูงส่ง เป็นคนดียิ่งนักเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งได้ยินคำ ขนมเม็ดบัวกวนในมือก็แทบจะร่วงลงมา พลันคิดว่า ‘สวรรค์! ที่แท้แล้ว ท่านอาเฮ่อสนใจท่านลุงเจียงจริงด้วย? ข้าได้ยินเพียงท่านอาด่าทอท่านลุงเจียงจนชินหูมาตั้งปลายปีแล้ว แต่กลับไม่เคยสัมผัสถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย?!’
ในขณะที่เว่ยฉางอิ๋งตื่นตะลึงอยู่นั้น นางก็จดจ้องไปที่นางเฮ่อด้วยความงงงัน
นี่เป็นครั้งแรกที่นางเฮ่อเอ่ยปากชมคนที่นางด่าทอมาตลอด เห็นดังนั้นแล้วนางเฮ่อจึงรู้สึกกระดากอายขึ้นมาเล็กน้อย แอบคิดในใจว่าตนเองตั้งใจจะชดเชย แต่กลับพูดเกินไปสักหน่อย มิน่าเล่าฮูหยินน้อยจึงได้สงสัยเอา …เมื่อได้ดังนี้หน้าของนางก็แดงขึ้นมาน้อยๆ รู้สึกว่าตนก็เป็นคนที่เริ่มมีอายุแล้ว แต่กลับยังทำการมีพิรุธเช่นนี้ นับว่าไม่สมกับฐานะท่านอาแม่บ้านจริงๆ
ใบหน้าแดงๆ ของนางนี้ยิ่งทำให้เว่ยฉางอิ๋งมองว่าเรื่องที่จูเหล่ยคาดเดามีความเป็นไปได้อย่างมาก นางหยิบขนมเม็ดบัวกวนและนิ่งอึ้งอยู่เป็นนาน จึงตั้งสติได้แล้วว่า “ท่านอาเฮ่อ ทะ…ท่านเห็นว่าจูเหล่ยผู้นี้เป็นเช่นใด?” เดิมทีนางคิดจะเอ่ยถามถึงเจียงเจิงไปตรงๆ ทว่ากลับรู้สึกว่าในเมื่อนางเฮ่อเป็นคนที่ ‘ไม่ชอบก็ด่า ชอบก็ด่า’ อย่างไรก็ถามให้อ้อมค้อมสักหน่อยเป็นดี เพื่อไม่ให้นางเฮ่อเกิดอาการเขินปนชินแล้วกลายเป็นด่าทอเจียงเจิงไปเสีย และไม่ยอมพูดต่อไป
ถ้านางเฮ่อสนใจเจียงเจิง รักบ้านต้องรักทั้งอีกาบนบ้านด้วย แต่หากไม่สนใจเขา คาดว่าด้วยนิสัยของนางเฮ่อ นางคอยตินั่นตินี่เรื่องรูปลักษณ์ของจูเหล่ย ยามเอ่ยถึงเขาจะต้องไม่มีคำดีแน่ …เว่ยฉางอิ๋งคิดเช่นนี้
ทว่าเมื่อนางเฮ่อได้ยินคำนี้แล้วกลับคิดว่า ‘เหตุใดฮูหยินน้อยจึงถามถึงจูเหล่ยด้วย? ใช่แล้ว แม้ไอ้เจ้าจูเหล่ยจะเป็นศิษย์ของเจ้าแซ่เจียงน่าสับเป็นพันชิ้นนั่น ทั้งยังอัปลักษณ์เสียอีก ทว่าวรยุทธของเจ้าแซ่เจียงไม่ธรรมดาจริงๆ แล้วเจ้าแซ่เจียงก็ให้ความสำคัญกับไอ้เจ้าอัปลักษณ์นี้นัก คาดว่าฝีมือของมันคงไม่เลวเลย ฮูหยินน้อยคงคิดจะรับไอ้เจ้าอัปลักษณ์นี่เอาไว้รับใช้กระมัง?’
นางรู้สึกว่าจูเหล่ยเป็นคนหนุ่ม ทั้งยังมีวรยุทธไม่เลว ยิ่งไปกว่านั้นดูไปแล้วก็ยังเป็นคนมีหัวคิด อย่างไรก็ต้องมีที่ให้ใช้สอยได้ จึงพยักหน้ากล่าวว่า “ดูว่าเป็นคนซื่อสัตย์คนหนึ่งเจ้าค่ะ” แล้วคิดว่าเหตุที่เว่ยฉางอิ๋งเล็งเห็นจูเหล่ยยังต้องเป็นเพราะ เจียงเจิงด้วยแน่ๆ จึงเอ่ยไปอีกประโยคหนึ่งว่า “เพราะเป็นศิษย์ขององครักษ์เจียง คาดว่าก็คงจะภักดีต่อฮูหยินน้อยด้วยเช่นกันเจ้าค่ะ”
คำพูดนี้ยามเข้ามาในหูของเว่ยฉางอิ๋งย่อมกลายเป็นว่า นางเฮ่อเปลี่ยนท่าทีมาช่วยพูดให้จูเหล่ยแล้ว…
เว่ยฉางอิ๋งถอนหายใจยาวๆ รู้สึกเกิดคาดและกลัดกลุ้มกับสิ่งที่ตนได้มารับรู้ภายหลังนี้ แล้วรู้สึกว่าจูเหล่ยรู้ก่อนเห็นก่อน มีสายตาเฉียบคมดังสายฟ้าจริงดังว่า จึงเอ่ยปลงอนิจจังว่า “จูเหล่ยไม่เลวเลยจริงๆ มีสายตาแหลมคมนัก”
แต่ไรมานางเฮ่อก็ว่าตามนางอยู่แล้ว จึงเอ่ยสำทับไปว่า “ฮูหยินน้อยกล่าวถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกว่าทดสอบนางเฮ่อถึงตรงนี้ก็น่าจะพอแล้ว …สำหรับเว่ยฉางอิ๋งแล้ว แม่นมกับครูฝึกล้วนเป็นคนของตน แน่นอนว่าแม่นมย่อมต้องใกล้ชิดกว่าสักหน่อย ดังนั้นหากเป็นพียงเจียงเจิงและจูเหล่ยมีความคิดเช่นนี้ แต่นางเฮ่อไม่เห็นด้วย เว่ยฉางอิ๋งก็จะไม่ตกปากรับคำกับเรื่องนี้
แต่เวลานี้นางเฮ่อเองก็แสดงท่าทีออกมาแล้วว่ามีความหมายเช่นเดียวกันแล้ว…
เว่ยฉางอิ๋งตัดสินใจว่าอีกประเดี๋ยวจะเรียกนางหวงเข้ามาให้นางไปส่งสัญญาณบอกให้ทางเจียงเจิงแสดงท่าทีออกมาสักหน่อย
นางหวงฟังเว่ยฉางอิ๋งระบายความรู้สึกนับหมื่นนับพันว่า “ท่านอากล่าวไม่ผิดเลยจริงๆ ไม่คิดว่าจูเหล่ยผู้นั้นมองดูหยาบกระด้าง แต่กลับมีสายตาแหลมคม! ตั้งหลายปีมานี้ ข้ากลับมองไม่ออกเลย แต่เขากลับมองเห็นได้อย่างชัดแจ้ง! คิดไปแล้วก็รู้สึกผิดนัก ที่ข้าทำให้พวกเขาเสียเวลามานานเช่นนี้!” นางหวงไม่รู้สึกกังขา กล่าวว่า “ท่านองครักษ์เจียงไม่เคยแต่งงานมาก่อน หากน้องเฮ่อแต่งกับเขา เช่นนั้นก็จะเป็นภรรยาเอก กลับมีหน้ามีตากว่าไปแต่งกับพ่อบ้านที่อยากแต่งงานอีกหนด้วยนะเจ้าค่ะ”
“เรื่องเช่นนี้อย่างไรก็ยังต้องเป็นฝ่ายชายแสดงท่าทีออกมาก่อนเป็นดี” เว่ยฉางอิ๋งสั่งความไปว่า “เรื่องนี้ต้องให้ท่านอาไปจัดการ วันพรุ่งให้นำของกินของใช้ไปให้ ท่านลุงเจียงสักหน่อย แล้วไปหาเขาสักหน ไปถ่ายทอดความเรื่องนี้ อย่าเอ่ยให้ชัดแจ้งเกินไป เพื่อมิให้ท่านอาเฮ่อเสียหน้า”
นางหวงยิ้มกล่าวว่า “ฮูหยินน้อยวางใจเถิดเจ้าค่ะ ข้าน้อยเห็นน้องเฮ่อเหมือนน้องสาวแท้ๆ ย่อมไม่ให้นางเสียเปรียบอยู่แล้วเจ้าค่ะ” แล้วว่า “จูเหล่ย เจ้าเด็กคนนี้ไม่เลวเลย แม้จะเป็นเพียงศิษย์ ทว่าก็กตัญญูกับท่านองครักษ์เจียงประหนึ่งเป็นบิดา หากวันหน้าก็สามารถเป็นดังนี้กับน้องเฮ่อด้วย เช่นนั้นก็จะดีมากเจ้าค่ะ”
“หากเขาพูดได้ทำได้จริงดังว่า ข้าจะมอบอนาคตที่งดงามสดใสให้เขา!” เว่ยฉางอิ๋งออกปากรับประกันเป็นมั่นเหมาะ “ท่านอาเฮ่อและท่านลุงเจียงล้วนเป็นคนที่อยู่กับข้ามาจนโต คนรุ่นหลังของพวกเขา ขอเพียงเป็นคนเอาใจใส่กตัญญู ไม่ทำเรื่องหลงลืมบุญคุณ ต่อให้ไม่ได้เป็นบ่าวในบ้านเรา ข้าก็จะไม่ละเลยพวกเขาแน่นอน วรยุทธที่เขามีไม่มีทางเสียเปล่า!”
นางหวงเอ่ยยิ้มๆ “เมื่อฮูหยินน้อยพูดเช่นนี้ ขอเพียง จูเหล่ยผู้นั้นไม่ใช่คนที่ไม่มีสมอง เขาจะต้องปฏิบัติต่อท่านองครักษ์เจียงและน้องเฮ่อเช่นบิดามารดาแท้ๆ เป็นแน่นอนเจ้าค่ะ!”
ความคิดจะให้นางเฮ่อแต่งงานอีกครั้ง เพื่อวันหน้าเมื่อนางอายุมากแล้วจะได้ไม่ต้องมีชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวนี้ ทั้งเว่ยฉางอิ๋งและนางหวงหารือกันมาไม่ใช่วันสองวันแล้ว เพียงแต่ตลอดมาก็ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้สักที ที่สุดหนนี้ก็มีตัวเลือกแล้ว ทั้งยังไม่เคยแต่งงานมาก่อน ฐานะการงานที่ทำกับเว่ยฉางอิ๋งก็ไม่ได้ต่ำต้อย ทั้งยังมีศิษย์ที่ให้คำมั่นว่าจะกตัญญูต่อนางเฮ่อเหมือนมารดาแท้ๆ …นายและบ่าวทั้งสองคนล้วนรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ควรประวิงเวลาเอาไว้อีกแล้ว
วันรุ่งขึ้นนางหวงเข้าไปในห้องครัวแล้วหยิบของว่างส่งเดชมาตะกร้าหนึ่ง แล้วเร่งไปที่คฤหาสน์จี้ในนามของเว่ยฉางอิ๋งที่เป็นห่วงครูฝึก นางไปคารวะจี้ชวี่ปิ้ง แล้วบอกบุตรชายสะใภ้และหลานสาวที่รีบมาหาตนให้ออกไปก่อน จากนั้นก็เข้าไปหาจูเหล่ย …เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่จูเหล่ยเอ่ยขึ้นมาก่อน ยามนางหวงคุยกับเขาจึงไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อมมากมายแล้ว “เจ้าเด็กคนนี้ เรื่องที่เจ้าบอกวานนี้ ข้ากลับไปบอกกับฮูหยินน้อยแล้ว ฮูหยินน้อยประหลาดใจเป็นอันมาก”
จูเหล่ยรีบบอกว่า “อาจารย์ก็มักบอกว่าเขาไม่คู่ควรกับท่านอาเฮ่อ…”
“มิใช่เรื่องนี้” นางหวงยิ้มน้อยๆ พลางว่า “เจ้าก็รู้ แม้ฮูหยินน้อยจะเรียกท่านองครักษ์เจียงว่า ‘ท่านลุงเจียง’ แต่ความจริงแล้วก็มองท่านองครักษ์เจียงเป็นดังอาจารย์ น้องเฮ่อเป็นแม่นมของฮูหยินน้อย ในสายตาของฮูหยินน้อยแล้ว ฐานของท่านองครักษ์เจียงหาได้ต่ำต้อยกว่าน้องเฮ่อ เพียงแต่เมื่อหลายปีก่อน น้องเฮ่อเอาแต่…ท่านองครักษ์เจียงมาโดยตลอด ฮูหยินน้อยจึงนึกแต่ว่าน้องเฮ่อชังท่านองครักษ์เจียง จึงทำให้ประหลาดใจต่างหาก”
จูเหล่ยหัวไว ฟังความหมายของนางหวงออกว่า นางเฮ่อมีใจต่อเจียงเจิงจริงๆ เขาพลันสะท้านขึ้นมา นิ่งอึ้งไปครึ่งค่อนชั่วยามจึงว่า “อาจารย์สูงวัยกว่าท่านอาเฮ่อมากนัก จึงไม่กล้าแสดงท่าทีตลอดมา…”
“นิสัยเช่นนั้นของน้องเฮ่อ ก็มิน่าเล่าท่านองครักษ์เจียงจึงได้กลัว” นางหวงพยักหน้าอย่างเข้าใจ กล่าวว่า “ทว่านางก็เพียงเป็นคนปากมีดคมใจเต้าหู้ แต่แท้จริงแล้วเป็นคนเอาใส่ใจดูแลนัก หาไม่แล้วด้วยความรักที่ฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินมีต่อฮูหยินน้อย ก็จะไม่ให้นางอยู่กับฮูหยินน้อยมาตลอดหลายปีนี้ เจ้าว่าใช่หรือไม่?”
จูเหล่ยฝืนปั้นหน้า พยายามเอ่ยออกไปว่า “ท่านอากล่าวถูกต้องขอรับ”