ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 130-2 จูเหล่ยตาแหลม
นางหวงพูดอ้อมๆ จนหมดแล้ว ก็ไปที่ห้องพักฟื้นของเจียงเจิง เอ่ยคำทักทายทั่วๆ ไปกับเขาผ่านฉากกั้นลม หลังจากสนทนากันเสร็จแล้วจนจวนจะกลับจึงเอ่ยออกไปประโยคหนึ่งอย่างไม่ง่ายดายว่า “คำที่ห้องเฮ่อเอ่ยไปก่อนหน้านี้ องครักษ์เจียง เจ้าก็อย่าเก็บมาใส่ใจเลย นางก็ไม่ใช่ไม่รู้ว่าเจ้าเป็นคนเช่นใด ก็เพียงแค่โมโหจึงเอ่ยไปด้วยอารมณ์เท่านั้น”
เจียงเจิงเกิดในตระกูลคุ้มภัย การหาเลี้ยงปากท้องของคนที่ทำงานคุ้มภัย แต่ไรมานั้นครึ่งหนึ่งต้องอาศัยวรยุทธอีกครึ่งหนึ่งต้องอาศัยการวางตัว เขาจึงเข้าใจและคุ้นเคยกับหลักการครองตนในสังคมดียิ่งนัก ดังนั้นเมื่อนางหวงมีท่าทีเกรงใจเขาเช่นนี้ เขาย่อมต้องยิ่งเกรงใจตอบ จึงรีบเอ่ยไปว่า “น้องหวงกล่าวถูกต้องแล้ว ภายหลังข้าก็ไตร่ตรองชัดเจนแล้ว และเพราะหลายวันมานี้ข้าบาดเจ็บ จิตใจจึงยากจะไม่หุนหันพลันแล่นไปบ้าง จนทำให้เข้าใจความหวังดีของน้องเฮ่อผิดไป”
นางหวงคิดในใจว่าที่แท้แล้วเจียงเจิงมีใจให้แก่นางเฮ่อจริงดังว่า เห็นหรือไม่ ทั้งๆ ที่นางเฮ่อทำไม่ถูก แต่เจียงเจิงกลับบอกปฏิเสธมาเสียเอง จึงว่า “สองวันมานี้น้องเฮ่อรู้สึกผิดยิ่งนัก บอกว่าวันนั้นใจร้อนเกินไปจึงพูดไปดังนั้น”
จากนั้นก็ไม่เอ่ยเรื่องนี้อีก แล้วสอบถามอาการไปสองสามคำ และวางของว่างเอาไว้ให้และอำลาจากไป
เมื่อนางไปแล้ว จูเหล่ยก็รีบหอบชายเสื้อปรี่เข้ามานั่งคุกเข่าที่หน้าตั่ง มีท่าทีคล้ายจะร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา กล่าวว่า “อาจารย์ ศิษย์ขอโทษท่าน!”
เจียงเจิงเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “มีเรื่องใด?”
“คล้ายว่าศิษย์จะทำเรื่องโง่เขลาเรื่องหนึ่ง” จูเหล่ยเอ่ยไปช้าๆ
เจียงเจิงเป็นโสดมาชั่วชีวิต นับแต่รับจูเหล่ยมาเป็นศิษย์ เขาจึงให้ความสำคัญและรักใคร่ผู้สืบทอดเพียงคนเดียวของตนประหนึ่งเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ๆ เงินสะสมที่เขาทำงานในตระกูลเว่ยอย่างลำบากมาหลายปีล้วนเอามาทุ่มที่ตัวศิษย์ผู้นี้ ด้วยกลัวว่าเขาจะน้อยเนื้อต่ำใจ เขาจึงให้อภัยและใจกว้างกับจูเหล่ยเป็นอย่างมากตลอดมา ไม่บ่อยครั้งนักที่จะเห็นจูเหล่ยมีท่าทีร้อนรนเช่นนี้ ทั้งยังรู้สึกประหลาดใจด้วย แต่เมื่อย้อนนึกว่าศิษย์ผู้นี้เกิดในครอบครัวที่ยากจนข้นแค้น เขาจึงรู้จักเรื่องควรไม่ควรมาโดยตลอด ยิ่งไปกว่านั้นหลายวันมานี้จูเหล่ยคอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายเขาตลอดเวลา แล้วจะยังมีเวลาออกไปก่อเรื่องใด? อย่างมากที่สุดก็เพียงไม่เคารพต่อคนในคฤหาสน์จี้ หรือไม่ก็กับนางหวงหรือนางเฮ่อที่มาเยี่ยม จึงคิดจะมาระบายกับตนสักคำเท่านั้น “มีคนหนุ่มคนใดไม่เคยทำผิดเล่า? ลุกขึ้นมาก่อนแล้วค่อยพูด เข่าของชายชาตรีมีค่าดุจทองคำ ต่อให้อยู่ต่อหน้าอาจารย์ ก็หาใช่ว่าไม่มีเรื่องใดก็ต้องมาคุกเข่าให้”
ตอนแรกนั้น จูเหล่ยก็ยังไม่ค่อยกล้า เมื่อถูกเขาพูดเตือนหนแล้วหนเล่า จึงค่อยๆ ลุกขึ้นมาอย่างระมัดระวัง แล้วเล่าเรื่องทั้งหมดไปแต่ต้นจนจบว่า “ก่อนหน้านี้ นางเฮ่อแม่นมของฮูหยินเว่ยมาหา และนางก็ไม่ให้เกียรติอาจารย์เสียอย่างยิ่ง และเพราะอาจารย์เห็นว่านางเป็นหญิงจึงไม่ได้ไปถือสาหาความกับนาง แต่นางก็กลับยิ่งได้ใจ! หญิงที่ร้ายกาจปานนี้ ศิษย์มองเห็นที่ตาเคียดแค้นอยู่ในใจ เพียงแต่คิดว่าครานี้อาจารย์ได้รับบาดเจ็บ ทั้งยังต้องการบารมีของฮูหยินเว่ย จึงจะสามารถอยู่รักษาตัวที่เรือนของท่านหมอเทวดาจี้ต่อไปได้ แล้วนางเฮ่อนั่นก็ยังเป็นถึงคนดูแลใกล้ชิดของฮูหยินเว่ยด้วย หากไปล่วงเกินนาง เกรงว่าจะไม่เป็นผลดีต่อการพักรักษาตัวของอาจารย์ ศิษย์คิดไปคิดมาก็คิดวิธีหนึ่งออกมาได้ คิดว่านอกจากจะไม่เป็นการล่วงเกิน ฮูหยินเว่ยแล้ว ก็ยังทำให้วันหน้านางเฮ่อผู้นั้นจะไม่มาลบหลู่อาจารย์อีกต่อไปด้วย…”
เจียงเจิงได้ยินชื่อนางเฮ่อก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันใด แค่นเสียงเอ่ยไปว่า “เจ้าพูดถูกนัก หญิงร้ายกาจนั่นไม่สนับสนุนให้ฮูหยินน้อยฝึกวรยุทธ์ แต่ก็ไม่กล้าไปตำหนิฮูหยินน้อย ทั้งไม่กล้าไปบอกกับฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยิน จึงได้มาพาลเอากับข้า! หลายปีมานี้ก็ไม่เคยมีท่าทีว่าจะหยุดเลย หากไม่คิดว่านางเป็นหญิง ทั้งยังเป็นแม่นมของฮูหยินน้อย อาจารย์ก็จะจัดการนางไปนานแล้ว!”
แล้วว่า “เจ้าคิดจะจัดการก็หาได้เป็นเรื่องผิดไม่ เป็นอย่างไร? หรือว่าถูกนางเฮ่อหรือนางหวงจับได้แล้ว? ไม่เป็นไร ขอเพียงไม่เกินเลยเกินไป ทางฮูหยินน้อยนั้น อาจารย์จะรับผิดแทนเจ้าเอง”
เขาคิดว่าตนเองสอนสั่งเว่ยฉางอิ๋งมาสิบกว่าปี และเว่ยฉางอิ๋งก็เรียกขานเขาเสมอมาว่า ‘ท่านลุงเจียง’ แม้ไม่ได้ใกล้ชิดเท่ากับพวกท่านอาเช่นนางเฮ่อและนางหวงที่คอยดูแลอยู่ข้างกายเว่ยฉางอิ๋ง แต่เรื่องเล็กๆ ที่เขาจะรับผิดแทนศิษย์นั้น เว่ยฉางอิ๋งก็ยังพอจะไว้หน้าเขาบ้าง
หารู้ไม่ว่าจูเหล่ยฮึดๆ ฮัดๆ อยู่เป็นนาน จึงบอกว่า “ท่านอาหวงกลับไม่ได้จับได้… แต่ …คล้ายว่านางจะเชื่อเป็นจริงเป็นจังไปแล้ว? ยิ่งไปกว่านั้นนางเฮ่อ… นางเฮ่อ… ยัง….กับอาจารย์….กับอาจารย์จริงๆ…”
เจียงเจิงฟังจนเวียนหัวไปหมด จึงว่า “ที่เจ้าพูดมาแต่ต้น คือเรื่องใดกันแน่?”
“ศิษย์รู้สึกว่านางเฮ่อนั่นคอยจับผิดอาจารย์ในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ และมาด่าทออาจารย์ไม่ยอมหยุดหย่อน มันน่าแค้นใจนัก! ติดเพียงที่นางเป็นคนข้างกายฮูหยินน้อย หากอยากให้นางหุบปาก แล้วไปพูดตรงๆ ก็เกรงว่าจะทำให้เกิดเรื่องยุ่งยาก ดังนั้นวานนี้พอท่านอาหวงมา อาศัยช่วงที่ไปส่งนาง ศิษย์จึง…” จูเหล่ยอ้ำอึ้งอยู่เป็นนาน จึงรวบรวมความกล้าและพูดออกไปจนหมดว่า “จึงจงใจถามท่านอาหวงว่านางเฮ่อนั่นแอบรักอาจารย์มานานแล้วใช่หรือไม่? ก็คือ ศิษย์บอกว่าเรื่องที่นางเฮ่อเสียมารยาทกับอาจารย์นั้นเป็นการ ‘ตีก็คือจูบ ด่าก็คือรัก’ ไปโน่น…”
“ทำเช่นนี้ก็ได้รึ?!” เจียงเจิงตะลึงงัน พลันมีความขัดเคืองและลำบากใจฉาบขึ้นมาบนสีหน้า เขาถูกนางเฮ่อหญิงร้ายกาจผู้นี้กดขี่มาตลอดหลายปี เหตุใดจึงไม่เคยนึกถึงวิธีตัดปัญหาได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเช่นนี้ออกมาได้นะ? ท่ามกลางความขัดเคืองเขากลับอดเอ่ยชมลูกศิษย์ขึ้นมาไม่ได้ “สมกับเป็นศิษย์ของอาจารย์ ฉลาดหลักแหลมจริงๆ! เรื่องนี้เจ้าทำได้ดี ทำได้ดีนัก!”
มีเรื่องใดต้องตำหนิเล่า? หากมิใช่เพราะเขาบาดเจ็บอยู่ เจียงเจิงก็คิดจะให้รางวัลเขาอย่างงามสักหน่อย!
แต่แล้ว จูเหล่ยกลับเอ่ยอย่างรู้สึกผิดอยู่เต็มอกว่า “อาจารย์โปรดฟังขอรับ …เดิมทีศิษย์คิดว่าหากเป็นดังนี้แล้ว เพื่อมิให้ตนเองต้องถูกมองว่าเป็นดังที่ศิษย์ว่าอีก นางเฮ่อนั่นก็จะไม่กล้ามาเสียมารยาทกับอาจารย์อีก ที่ใดจะคิดว่าท่านอาหวงกลับเก็บเรื่องนี้ไปคิดเป็นจริงเป็นจัง กลับไปแล้วยังไปบอกกับฮูหยินน้อย วันนี้ก่อนท่านอาหวงจะเข้ามาก็ดึงศิษย์ไปคุยด้วย ซึ่งใจความก็คือ…ก็คือนางเฮ่อสนใจในตัวอาจารย์จริงๆ บอกเป็นนัยว่าให้พวกเราศิษย์อาจารย์แสดงท่าทีออกมาสักหน่อย!”
เจียงเจิงตาค้างปากสั่น!
ภายในห้องนิ่งเงียบเหมือนคนตายไปเป็นนาน…
เจียงเจิงพลันระเบิดอารมณ์ออกมาทันใด! คว้าเอาขวดที่วางอยู่ใกล้ตัว มองก็ยังไม่มองแล้วเขวี่ยงใส่จูเหล่ย แล้วตบตั่งโมโหยกใหญ่ว่า “ไอ้เจ้าศิษย์อกตัญญู! เจ้าออกความคิดเน่าๆ อันใด! หญิงร้ายกาจเช่นนางเฮ่อนั่น หลายปีมานี้อาจารย์คอยเดินหลบนางยังไม่ทันเลย หากแต่งเข้าบ้านมา แล้ววันหน้าอาจารย์ยังจะมีชีวิตดีๆ อีกหรือ?!”
จูเหล่ยหลบพ้นด้วยสภาพน่าอนาถ ยิ้มสู้ กล่าวว่า “อาจารย์ขอรับ อาจารย์ ท่านโปรดระงับโทสะ! ว่ากันว่าแต่งกับไก่ก็ต้องตามไก่ แต่งกับหมาก็ต้องตามหมา วรยุทธของอาจารย์เก่งกาจเหนือคน พอนางเฮ่อนั่นแต่งเข้าบ้านมา อาจารย์ก็จะได้มีศักดิ์มีสิทธิ์ควบคุมอบรมนางอย่างเต็มที่ ฮูหยินน้อยก็จะพูดสิ่งใดไม่ได้ เช่นนี้ก็…”
“เจ้า ไอ้ศิษย์โง่!” เจียงเจิงตบตั่งเสียงดังต่อไปด้วยความโกรธเกรี้ยวอย่างหนัก “เจ้าจะไปรู้อันใด?! นางเฮ่อหญิงร้ายกาจนี่มันดุร้ายเพียงใด! สมัยนั้นอาจารย์ต้องการจะขู่ขวัญนาง จึงเอาปลายทวนแหลมไปจ่อที่คอนางอย่างน่าตื่นตระหนกยิ่งนัก แม้แต่ฮูหยินน้อยที่อยู่ข้างๆ ก็ยังตกใจไม่น้อย! หญิงร้ายกาจนั่นกลับยังกล้ามาเอาเรื่องกับอาจารย์อย่างเอาเป็นเอาตาย …หญิงร้ายกาจเช่นนี้ หญิงร้ายกาจเช่นนี้ วรยุทธจะกดนางให้ยอมได้หรือ?”
เขาแทบจะหลั่งน้ำตาออกมา “เจ้า ไอ้ศิษย์ไม่ได้ความ เจ้าคิดจะบีบให้อาจารย์ตายนี่!”
เขาไม่ได้สนใจว่าก่อนนี้ตนเองบอกกับศิษย์ว่า ‘หัวเข่าของลูกผู้ชายมีทองคำ’ อันใดอีกแล้ว เจียงเจิงเบิกตากว้างมองไปรอบทิศเพื่อหาอาวุธที่เหมาะมือ แล้วร้องตะโกนสั่งจูเหล่ยว่า “ไอ้เจ้าสารเลว! ยังไม่รีบไสหัวมาคุกเข่าลงอีก!!!”
________________________________________