ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 131 ศิษย์แสนดี (1)
เมื่อตีศิษย์ที่ไว้ใจไม่ได้เพื่อระบายความแค้นเสร็จแล้ว ศิษย์อาจารย์ทั้งสองก็ไม่อาจไม่มาหารือด้วยกันอีกหนว่าจะจัดการเรื่องนี้กันอย่างไร…
เพื่อทำคุณไถ่โทษ จูเหล่ยเอ่ยออกมาตามตรงว่า “ศิษย์จะไปพูดกับฮูหยินน้อยให้ชัดเจน ไม่ว่าฮูหยินน้อยจะลงโทษศิษย์อย่างไร ก็จะไม่ให้อาจารย์ต้องมารับเคราะห์เรื่องนี้เด็ดขาด!”
พูดจบก็จะเดินออกไปทันที ทำเอาเจียงเจิงโกรธเสียจนต้องรีบร้องเรียกเขาเอาไว้ “เจ้าไสหัวกลับมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
เมื่อเรียกจูเหล่ยกลับมาข้างตั่งแล้ว พอเงยหน้าขึ้นมาก็ด่าเขาไปยกใหญ่ “เจ้าโง่! เจ้าคิดว่า ฮูหยินน้อยเป็นอาจารย์หรือไร? ที่เจ้าจะพูดอย่างไรก็เป็นดังนั้น? ที่อย่างมากก็แค่ฟาดเจ้าสักยก แล้วก็จะเลิกแล้วกันไป? นางเฮ่อนั่นเป็นถึงแม่นมของฮูหยินน้อย เจ้าว่าที่หลายปีมานี้นางร้ายกาจจองหองไม่เห็นอาจารย์อยู่ในสายตาก็เพราะว่านางถือดีเรื่องใด? ก็เพราะถือดีที่ฮูหยินน้อยเชื่อใจนางนักหนา! นางเฮ่อผู้นี้ครองตัวเป็นม่ายมาหลายปี แม้แต่ฮูหยินซ่งแห่งตระกูลเว่ยก็ยังเคยเป็นแม่สื่อให้นาง นางก็ยังปฏิเสธเลย! ยามนี้เจ้าไอ้ศิษย์โง่เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา แล้วค่อยไปบอกความจริง… ฮูหยินน้อยจะไม่คิดว่าเจ้าจงใจกลั่นแกล้งนาง จงใจทำลายชื่อเสียงของนางเฮ่อรึ? เจ้านึกว่าเจ้าจะมีจุดจบที่ดีรึ?!”
จูเหล่ยยิ้มสู้ กล่าวว่า “แต่อาจารย์กลัวนางเฮ่อนั่น หากศิษย์ไม่ทำเช่นนี้…”
ยังไม่ทันสิ้นคำ หัวเขาก็ถูกเจียงเจิงทุบไปทีหนึ่ง เจียงเจิงโมโหโกรธายกใหญ่ กล่าวว่า “อาจารย์จะกลัวนางเฮ่อนั่นรึ?!” ศิษย์ผู้นี้พูดจาเป็นหรือไม่กันแน่? แม้เพราะว่าตนไม่ทันระวัง เมื่อครู่นี้ยามเอ่ยถึงนางเฮ่อจึงแสดงความหวั่นกลัวและปวดเศียรเวียนเกล้าออกมาในคำพูดจริงดังว่า ทว่าคนเป็นศิษย์เช่นเจ้าก็ไม่ต้องพูดออกมาตรงๆ นี่!
เจ้าอยากช่วยข้าแก้แค้น จึงจงใจบิดเบือนสาเหตุที่นางเฮ่อคอยจ้องด่าข้าในทุกๆ เรื่อง ทีเรื่องเช่นนี้เหตุใดจึงฉลาดปราดเปรื่องนัก? แต่ยามนี้ไยจึงโง่เล่าเลอะเลือนเสียแล้ว!?
จูเหล่ยรู้ว่าตนเองพลั้งปาก รีบบอกว่า “เป็นศิษย์พูดผิดแล้วขอรับ ศิษย์หมายความว่า อาจารย์เป็นชายอกสามศอก แล้วจะไปถือสาผู้หญิงธรรมดาๆ เช่นนางเฮ่อได้อย่างไร? แล้วนางเฮ่อก็ร้ายกาจทั้งดุร้าย ดังนี้แล้วหากทำตามความต้องการของฮูหยินน้อย เมื่ออาจารย์แต่งนางเฮ่อผู้นั้น ก็มิใช่ว่าบ้านจะไม่มีวันสงบสุขหรือขอรับ? เพื่อวันข้างหน้าของอาจารย์ หากยามนี้ศิษย์ไม่ไปสารภาพผิดกับฮูหยินน้อย ถ้าเกิดทางฮูหยินน้อยพูดจาชัดเจนกับนางเฮ่อไปตรงๆ แล้ว คราวนี้จะทำอย่างไรดีเล่าขอรับ?”
เวลานี้เจียงเจิงเพิ่งระงับความโกรธลงได้ แค่นเสียงหึๆ กล่าวว่า “เจ้าพูดถูกต้องนัก เจ้าก็ไม่รู้จักคิดเสียบ้างว่าต่อให้นางเฮ่อจะดุร้ายเพียงใด แต่นางก็เป็นเพียงหญิงธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น หากอาจารย์จะจัดการนางจริงๆ เพียงแค่นิ้วมือเดียวก็สามารถซัดนางจนหน้าหงายล้มพับไปแล้ว! อาจารย์ก็แค่ทะนงในศักดิ์ของตนจึงไม่ไปถือสานางเท่านั้น!”
จูเหล่ยคิดในใจว่า อาจารย์หากท่านดุดันเช่นนั้นจริงๆ แล้วเหตุใดยามได้ยินว่าอาจต้องแต่งงานกับนางเฮ่อก็ตื่นตระหนกเหมือนนั่งบนพรมตะปูเล่า?
แต่เพราะกลัวจะถูกตีอีกจึงไม่กล้าพูดตรงๆ แต่บอกว่า “ฉะนั้น หากศิษย์ไม่ไปอธิบายกับฮูหยินน้อย…”
“อย่างไรก็เป็นอาจารย์ไปพูดเองดีกว่า” เจียงเจิงลังเลอยู่พักใหญ่แล้วกลับบอกมาดังนั้น “เจ้าไม่มีน้ำใจไมตรีใดกับฮูหยินน้อย ดีชั่วอย่างไรอาจารย์ก็เคยสอนสั่งฮูหยินน้อยมาสิบกว่าปี”
จูเหล่ยบอกว่า “แต่อาจารย์ บาดแผลของท่าน…”
“…” เจียงเจิงนิ่งเงียบอยู่พักใหญ่ กล่าวว่า “เรื่องนี้ ตกลงเช่นนี้ก่อนเถิด มิใช่นางหวงมาบอกว่าฮูหยินน้อยบอกให้อาจารย์แสดงท่าทีออกมาสักหน่อยหรือ? อาจารย์ไม่ไปสนใจนางเฮ่อนั่น คิดว่าเรื่องนี้ก็คงจะยุติลงเพียงเท่านี้แล้ว”
จูเหล่ยเอ่ยไปอย่างระมัดระวังว่า “แต่ฟังความหมายจากคำพูดของท่านอาหวงแล้ว เพราะนางเฮ่อเป็นม่ายมาหลายปี สงสารที่วันหน้านางจะต้องอยู่ตัวคนเดียวและจะโดดเดี่ยวเกินไป นับแต่ฮูหยินน้อยออกเรือนมาก็สนับสนุนให้นางแต่งงานใหม่ ฉะนั้น…”
เจียงเจิงพลันเอ่ยออกมาอย่างดึงเครียดว่า “อะไรนะ?! ว่ามาดังนี้ ฮูหยินน้อยก็มิใช่ว่าทนรอให้นางรีบแต่งงานไม่ไหวหรอกรึ? แล้วข้าจะทำเยี่ยงใด!”
มองดูเจียงเจิงที่พลันลนลานมือเท้าปัดเป๋ไปหมดในทันใด จูเหล่ยถอนหายใจยาวๆ กล่าวว่า “อาจารย์ ศิษย์ยังมีอีกความคิดหนึ่ง”
เจียงเจิงรีบถามว่า “ความคิดใด?”
“ความหมายของท่านอาหวงก็คือ วานนี้นางกลับไปเล่าเรื่องให้ฮูหยินน้อยฟัง ฮูหยินน้อยจึงลองสอบถามกับนางเฮ่อด้วยตนเอง บอกว่านางเฮ่อมีใจให้อาจารย์ท่านจริงๆ” ความจริงแล้วคำพูดนี้ จูเหล่ยเพิ่งจะพูดไปเมื่อครู่นี้ แต่จนใจที่เจียงเจิงถูกนางเฮ่อด่าเสียจนขยาดมานานปี พอได้ยินว่าตนเองต้องมาเกี่ยวข้องกับนางเฮ่อ ก็พลันตื่นตระหนกขึ้นมายกใหญ่ จนยามนี้จึงเพิ่งสังเกตได้ แล้วเอ่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า “นางเฮ่อ หญิงร้ายกาจนั่น มีใจให้อาจารย์? เจ้าคงไม่ได้ฟังผิดไปหรอกนะ? ความจริงแล้วนางมีความแค้นกับอาจารย์ต่างหาก”
จูเหล่ยเอ่ยว่า “ตอนนั้นศิษย์ยืนพูดกับท่านอาหวงชนิดอยู่ต่อหน้า แล้วจักฟังผิดไปได้อย่างไร? อีกประการ หากเป็นดังนี้แล้ว วานนี้ท่านอาหวงก็เพิ่งจะมา วันนี้ไยจึงได้มาอีกเล่า? แน่นอนว่านางต้องมาบอกเรื่องนี้เป็นการเฉพาะ” แล้วบอกว่าของว่างที่นางหวงนำมาคือ “ขนมเปี๊ยะไส้ข้าวเหนียวกุหลาบเป็นของว่างชั้นเลิศที่ทำอย่างประณีต แต่ข้าวเหนียวย่อยยาก ยามนี้อาจารย์กำลังพักฟื้น ท่านหมอเทวดาจี้กำชับกับปากเองว่าต้องกินดื่มของอ่อนๆ อย่ากินของที่ย่อยยากเช่นนี้ ท่านอาหวงผู้นั้นเคยร่ำเรียนกับท่านหมอเทวดาจี้ แม้แต่ความรู้ทั่วไปเช่นนี้เหตุใดนางจึงไม่รู้? เห็นได้ว่านางจะต้องรับคำสั่งจากฮูหยินน้อยมา ส่วนเรื่องมาส่งของว่างก็เป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ ท่านอาหวงจึงเพียงไปเอาของว่างที่หยิบคว้าได้ในห้องครัวมาด้วยตะกร้าหนึ่ง และด้วยเกรงว่าทั้งศิษย์และอาจารย์จะไม่อาจแน่ใจในเรื่องนี้ ของว่างตะกร้านี้นางจึงจงใจเลือกเอาของว่างที่ไม่เหมาะให้ท่านอาจารย์ทานมา”
เขาพูดไปพลาง เอื้อมมือไปหยิบขนมขึ้นมาหนึ่งชิ้นไปพลาง …แล้วกินด้วยท่าทียิ่งใหญ่คับฟ้า สัมผัสถึงสีสันกลิ่นหอมและรสชาติล้ำเลิศที่มีครบพร้อม โดยเฉพาะให้ความสำคัญกับรูปร่างภายนอกที่แสนประณีต ขนมเปี๊ยะไส้ข้าวเหนียวกุหลาบนี้ทำออกมาเป็นรูปดอกกุหลาบ แต่ละดอกเบ่งบานอยู่บนใบไม้ สีเขียวแดงแซมกันไป น่ารักน่าชมยิ่งนัก
แต่แล้ว จูเหล่ยกลับมีท่าทีหยาบกระด้าง ใช้สองนิ้วที่หนาเหมือนหัวผักกาดแดงบีบไปอย่างแรง บีบจนดอกกุหลาบแสนน่ารักดอกหนึ่งเปลี่ยนรูป เขาไม่ได้มีท่าทีไยดีอันใด แล้วก็โยนใส่ลงไปในปาก กินไปคำหนึ่งยังเกี่ยงว่าไม่หนำใจ จึงหยิบอีกหลายอันยัดเข้าไปในปาก ระหว่างยัดเข้าไปก็พูดออกมาอย่างไม่ชัดเจนว่า “ของว่างจากเรือนของฮูหยินน้อยนี่อร่อยจริงๆ …แต่เวลานี้อาจารย์ท่านกินไม่ได้ ให้ศิษย์ลงแรงแทนได้เท่านั้น…”
เจียงเจิงหน้าดำคร่ำเครียด ตวาดไปว่า “เจ้า ไอ้เจ้าคนไม่เอาไหน พอได้แล้วหรือไม่?” แล้วด่าเขาว่า “ไม่เห็นหรือว่าอาจารย์กำลังตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน? เจ้ายังมากินได้อย่างสบายใจเฉิบ!”
จูเหล่ยกลืนขนมลงคอ กล่าวว่า “ศิษย์บอกว่าจะไปขอขมากับฮูหยินน้อย อาจารย์ก็ไม่รับปาก นอกจากนี้แล้ว หรืออาจารย์จะไปขอนางเฮ่อนั่นแต่งงานจริงๆ? อย่างไรก็ดีศิษย์เห็นว่าแม้นางเฮ่อจะเป็นหญิงม่าย ทว่าก็เป็นแม่นมในตระกูลใหญ่โต ผิวพรรณก็ยังเต่งตึง พอจะมีความงามอยู่หลายส่วน ดูไปแล้วกลับเยาว์วัยเสียยิ่งกว่าเด็กสาวบ้านนอกอายุสิบแปดสิบเก้าเสียอีก คาดว่าหากเป็นคนที่สามารถมาปรนนิบัติ ฮูหยินน้อยได้ก็จะต้องเป็นคนที่ละเอียดอ่อนนัก… อาจารย์ก็อยู่โดดเดี่ยวมากว่าครึ่งชีวิตแล้ว หากยามนี้มีสักคนมาปรนนิบัติดูแลอาจารย์ก็ดีนะขอรับ”
ลูกตาของเจียงเจิงแทบจะถลนออกมา “ไอ้เจ้าศิษย์อกตัญญู หรือว่าเจ้าไม่เคยเห็นความร้ายกาจของนางเฮ่อในวันนั้น? หากอาจารย์แต่งกับนาง ถึงยามนั้นจะเป็นนางดูแลอาจารย์ หรือเป็นอาจารย์ดูแลนางก็ยังไม่รู้ได้?!”
“อาจารย์ ไยท่านจึงไม่มีความมั่นใจเช่นนี้?” จูเหล่ยเอ่ยอย่างมีนัยยะว่า “อาจารย์โปรดคิดดู เหตุใดนางเฮ่อจึงได้คอยจ้องจับผิดอาจารย์อยู่ทุกเรื่องไม่ละวาง?หากเป็นเมื่อก่อนที่ไม่รู้จิตใจของนางก็แล้วไป แต่ในเมื่อยามนี้รู้ว่าในใจนางมีอาจารย์ เพียงคิดก็รู้แล้วว่า… นี่ล้วนเป็นเพราะอาจารย์ไม่เข้าใจน้ำใจของนาง นางเฮ่อเป็นเพียงหญิงผู้หนึ่งจึงไม่กล้าเอ่ยปากให้ชัดเจน จึงทั้งรักทั้งชังอาจารย์ และคอยจ้องหาเรื่องท่านอาจารย์ไปเสียทุกเรื่องอย่างไรเล่า!”
เจียงเจิงตะลึงงัน กล่าวว่า “นี่…เป็นไปได้รึ?”
“ศิษย์ถามอาจารย์คำหนึ่ง นางเฮ่อปฏิบัติต่อฮูหยินน้อย เหมือนกับที่ปฏิบัติต่ออาจารย์หรือไม่?” จูเหล่ยถามพลางกรอกตาไปมา
เจียงเจิงตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร? แม้อาจารย์จะไม่เคยเข้าไปในเรือนชั้นใน แต่ก็รู้ว่านางเฮ่อหญิงร้ายกาจผู้นี้รักใคร่ฮูหยินน้อยเหลือแสน จนถึงขั้นที่บางคราแม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งและฮูหยินซ่งแห่งตระกูลเว่ยยังทนดูนางรักและเอาใจฮูหยินน้อยเกินไปไม่ไหวเลย”
“เช่นนั้นคำที่ท่านอาหวงพูดยิ่งน่าเชื่อถือแล้ว” จูเหล่ยยกจานขึ้นมาแทนใส่ปาก เทหมดแล้วก็กลืนลงไปอย่างตะกละตะกราม แล้วหยิบเอากาน้ำชามาจ่อที่ปากและกรอกใส่ปากไปคำใหญ่ ยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดปากจนมีหยดน้ำชากระเด็นไปโดนหน้า เจียงเจิง เจียงเจิงมองเขาด้วยสายตาโกรธเคือง … จูเหล่ยกลับไม่ได้รู้สึกรู้สาอันใด ลูบหนังท้องแล้วเรอออกมาสองสามหนอย่างพึงพอใจ จึงพูดต่อไปว่า “อาจารย์ท่านลองคิดดู ท่านอาเฮ่อเป็นหญิงม่ายที่ยังสาว ทั้งยังเป็นคนมีหน้ามีตาในสายตาของฮูหยินน้อย เมื่อมาชอบพออาจารย์แล้ว จะกล้าบอกหรือไม่? เมื่อไม่กล้าบอก แต่กลับอยากทำให้อาจารย์รู้ ก็มิใช่ว่าต้องคอยจ้องแต่อาจารย์อยู่ทุกวัน?”
ครานี้ แม้แต่วิธีเรียกนางเฮ่อ เขาก็ยังเปลี่ยนแล้ว
เจียงเจิงเห็นว่าลูกศิษย์ไม่ได้รู้สึกถึงหยดน้ำชาที่กระเด็นมาถูกเขาก่อนหน้านี้เลยแม้แต่น้อย และตนเองก็กรอกตาขาวใส่ไปเสียเปล่าเสียตั้งนาน จึงทำได้เพียงค่อยๆ ยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดออกไปเอง กล่าวว่า “นางคอยจ้องด่าอาจารย์อยู่ทั้งวันต่างหาก!”
“ก็ใช่น่ะสิ!” จูเหล่ยเอ่ย “อาจารย์คิดดูสิ ท่านอาเฮ่อเป็นม่ายสาว หากไปพูดจากับอาจารย์บ่อยครั้ง แล้วจะไม่ถูกครหานินทาได้หรือ? มีเพียงด่าท่าน ผู้อื่นจึงจะไม่รู้ว่านางคิดเช่นใด!” แล้วว่า “อย่างไรก็ตาม ศิษย์รู้สึกว่าหากท่านอาเฮ่อไม่ได้มีใจให้อาจารย์ ด้วยฐานะที่นางทำงานอยู่ใกล้ชิดกับฮูหยินน้อย จักต้องมาคอยถือสาหาความท่านด้วยหรือ?”
เจียงเจิงไม่เคยแต่งงานมาชั่วชีวิต ยามหนุ่มก็สาละวนอยู่กับการติดตามบิดาท่องยุทธภพ ภายหลังบิดาต้องมาตายจากและตนก็ต้องมาใช้หนี้ จากนั้นเมื่ออายุมากแล้วก็ทุ่มเทจิตใจทั้งหมดไปกับการบ่มเพาะจูเหล่ย อายุปูนนี้แล้วยังไม่เคยแต่งงานมาก่อน ยิ่งไม่มีโอกาสรักหญิงคนใดแม้สักหน จึงไม่ใคร่เข้าใจเรื่องระหว่างหญิงชายเท่าใด เมื่อถูกจูเหล่ยพูดเช่นนี้ เขาก็รู้สึกสงสัยอยู่บ้าง กล่าวว่า “เช่นนั้นตอนที่นางเริ่มด่าอาจารย์ ก็คือมีใจให้อาจารย์แล้ว?”
จูเหล่ยพยักหน้าอย่างขึงขัง “ศิษย์คิดว่าจะต้องเป็นเช่นนั้น!”
“แต่นับแต่นางเฮ่อนั่นได้พบอาจารย์ครั้งแรกก็ไม่เคยมีสีหน้าดีๆ กับอาจารย์เลยนี่!” เจียงเจิงพึมพำ เขากลับรู้สึกว่ามีบางสิ่งไม่ถูกต้อง
จูเหล่ยได้ยินคำ พลันพูดหว่านล้อมว่า “อาจารย์ ไม่ต้องสงสัยแล้ว! นี่ก็บอกชัดแล้วว่าท่านอาเฮ่อผู้นี้มีรักแรกพบกับท่าน! ท่านอาเฮ่อเป็นคนสนิทของฮูหยินน้อย ฮูหยินน้อยผู้มีชาติกำเนิดเช่นนี้ คนที่อยู่ข้างกายนาง จะไม่รู้จักมารยาทแม้สักน้อยได้ที่ใด ทั้งที่ไม่ได้มีความแค้นเคืองใด แล้วกลับมาคอยชักสีหน้าใส่อาจารย์?”
เจียงเจิงกล่าวว่า “ก็มิใช่เพราะนางชิงชังที่อาจารย์สอนวรยุทธ์ให้ฮูหยินน้อย?”
“เรื่องการฝึกวรยุทธของฮูหยินน้อยนั้น หลังจากฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินอนุญาตแล้วจึงได้ฝึกสอน หากอาจารย์ไม่ได้รับคำอนุญาตจากญาติผู้ใหญ่ของฮูหยินน้อย แล้วจะได้พบกับฮูหยินน้อยหรือไม่?” จูเหล่ยย้อนถาม “แล้วเหตุใดแม้แต่เหตุผลนี้ท่านอาเฮ่อก็ไม่ไตร่ตรองให้เข้าใจ? หรือต่อให้ตอนนั้นไม่เข้าใจ ตั้งหลายปีแล้วก็ยังไม่เข้าใจอยู่อีกหรือ?”
แล้วว่า “ยิ่งไปกว่านั้น อาจารย์ลองคิดดู หากอาจารย์ไม่ชอบคนผู้หนึ่งจริงๆ ด่าเขาไปสักไม่กี่วันก็น่าจะพอแล้ว จากนั้นผู้ใดจักทนคอยจ้องจับผิดได้ตลอด? ท่านอาเฮ่อคอยจ้องด่าอาจารย์ท่านมาตลอดสิบกว่าปี ดูไปแล้วคล้ายว่าจงเกลียดจงชังอาจารย์นัก แต่ในความเป็นจริง นอกจากท่านอาเฮ่อจะด่าอาจารย์แล้ว ก็ยังสามารถวางแผนร้ายอื่นๆ ได้ด้วยนี่? แต่กลับเห็นว่าสิบกว่าปีมานี้ นางได้แต่หวังว่าอาจารย์จะสามารถเข้าใจจิตใจของนางน่ะสิ!”
เจียงเจิงอดถูกโน้มน้าวไม่ได้ กล่าวว่า “ที่แท้นางเฮ่อนี่แอบรักอาจารย์มาสิบกว่าปี…เรื่องนี้ช่าง… อาจารย์ก็เป็นเพียงองครักษ์ธรรมดาผู้หนึ่งเท่านั้น!”
__________________________________________