ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 133-1 ซูอวี๋ลี่ออกเรือน
เมื่อบั้นปลายชีวิตของนางเฮ่อมีที่พักพิงแล้ว เว่ยฉางอิ๋งก็อารมณ์ดีนัก จึงกำชับนางหวงว่าให้คอยจับตาดูอย่างใกล้ชิด ในเวลาสำคัญเช่นนี้ต้องคอยเติมเชื้อไฟเข้าไปอีก นางหวงจึงคอยสั่งให้นางเฮ่อไปส่งนั่นส่งนี่ที่คฤหาสน์จี้บ่อยครั้ง …นางเฮ่อเชื่อฟังคำนางมาแต่ไหนแต่ไร แต่เล็กมาก็คือไม่ว่านางหวงจะว่าอย่างไรนางก็ทำตาม ส่วนเหตุใดต้องทำเช่นนี้ นางเฮ่อล้วนคร้านจะสอบถาม อย่างไรเสียนางก็เชื่อมั่นหนักหนาว่านางหวงจะไม่มีวันทำร้ายตน
นางเดินทางไปมาหลายหน แม้ทุกครั้งที่ไปนางเฮ่อล้วนบอกว่า “ของสิ่งนี้เป็นฮูหยินน้อยให้นำมาส่ง” “ฮูหยินน้อยเพิ่งนึกถึงของนั่นได้” “ฮูหยินน้อยถามว่าอาการบาดเจ็บของเจ้าหายดีขึ้นแล้วหรือไม่” แต่เมื่อเจียงเจิงและจูเหล่ยได้ฟังจากนางหวงว่านางมีใจให้เจียงเจิงก็ย่อมต้องเชื่อตามนั้น และคิดไปว่านางเฮ่อก็เพียงอ้างชื่อของเว่ยฉางอิ๋งเท่านั้น แต่ความจริงกลับเป็นเพราะตนเองเป็นห่วงเจียงเจิง…
หากว่าตามคำของจูเหล่ย ที่นางเฮ่อทำเช่นนี้ ก็เพราะหลังจากนางเกิดรักแรกพบกับเจียงเจิงแล้ว นางก็พยายามด่าทอเจียงเจิงมาสิบกว่าปีเพื่อรอเขาให้ความสนใจ ระหว่างนั้นล้วนไม่ยอมเปิดเผยความรู้สึกแท้จริงในใจนั่นเอง!
ยามนี้แม้จะเป็นห่วงอาการบาดเจ็บของเจียงเจิงเพียงใด แต่จะสามารถแสดงท่าทีออกมาได้อย่างไรกัน? ยิ่งไปกว่านั้นข้ออ้างนี้ของนางเฮ่อก็ใช้บ่อยเสียจนไม่สมจริง ยังไม่ต้องบอกว่าเวลานี้เว่ยฉางอิ๋งรับหน้าที่ดูแลบ้านเรือนแล้ว ทั้งยังต้องต่อกรกับพวกสะใภ้ด้วยกันอีก ต้องยุ่งวุ่นวายอยู่ทั้งวัน แล้วจะมีเวลามาเป็นห่วงเจียงเจิงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันได้อย่างไร? ว่ากันแต่เพียงว่าเว่ยฉางอิ๋งเป็นฮูหยินน้อยในบ้านตระกูลใหญ่โต ต่อให้เป็นห่วงเป็นไยครูฝึก ทว่าชายหญิงแตกต่างกัน จึงเป็นไปไม่ได้ว่าจะส่งคนเอาของนั่นของนี่มาให้แทบทุกวันกระมัง?
ดังนั้นไม่ต้องสงสัยอีกแล้ว นี่ต้องเป็นนางเฮ่อหาข้ออ้างไปส่งเดชแน่นอน!
เจียงเจิงรู้สึกว่ามีเหตุผลยิ่งนัก ครั้งหนึ่งนางเฮ่อนำของว่างมาส่ง เขาก็แสร้งบอกไปว่าตนเองอยากกินน้ำแกงไก่สักหน่อย ซึ่งก็มาจากการส่งเสริมคะยั้นคะยอนักหนาของจูเหล่ยว่า “อาจารย์เป็นชาย แล้วท่านอาเฮ่อก็เป็นคนที่ปากไม่ตรงกับใจ หากอาจารย์ไม่แสดงท่าทีใดไปก่อนสักหน่อย ก็มิใช่ว่าท่านอาเฮ่อจะยังคงทำเหมือนก่อนนี้? เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะยิ่งทำให้ทั้งสองฝ่ายเสียเวลา และยิ่งทำให้ท่านอาเฮ่อเจ็บช้ำน้ำใจ เป็นสิ่งที่ชายชาตรีควรทำที่ใดกัน!”
เจียงเจิงซึ่งเชื่อว่าตนเป็นชายชาตรีที่เป็นหนึ่งในแผ่นดินจึงลองเอ่ยปากทดสอบไปว่า “ได้ยินว่าเจ้าต้มน้ำแกงไก่เก่งนัก คราหน้านำมาให้ข้าสักหน่อยได้หรือไม่?”
คนที่ค่อนข้างเถรตรงเช่นนางเฮ่อจึงไม่ได้คิดมาก …โดยมากแล้วคนป่วยล้วนต้องดื่มน้ำแกงไก่บำรุงร่างก่ายอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นแม้นางเฮ่อจะเป็นแม่นม แต่ก็มักไปปรุงอาหารให้เว่ยฉางอิ๋งอยู่บ่อยๆ ทุกครั้งที่ไปทำอาหารพ่อครัวก็จะชมว่า “ฝีมือปรุงอาหารของท่านอาเฮ่อเป็นเลิศจริงๆ” “เห็นท่านอาปรุงอาหารแล้ว วันหน้าหากข้าไม่ขอคำชี้แนะจากท่านอา ก็จะไม่มีหน้าทำงานนี้ต่อไปแล้ว” ได้ยินบ่อยครั้งเข้านางเฮ่อก็รู้สึกว่าฝีมือปรุงอาหารของตนเก่งกาจไม่เบา
อีกประการหนึ่ง การที่ฮูหยินน้อยให้ตนมาที่คฤหาสน์จี้วันละหลายหน ก็มิใช่ด้วยหวังว่าเจียงเจิงจะหายไวๆ?
ดังนั้น นางเฮ่อจึงรับปากไปเสีย “จะให้ใส่โสมลงไปสักน้อยหรือไม่? เช่นนั้นจะยิ่งหายได้ไว”
ที่สุดสตรีปากไม่ตรงกับใจผู้นี้ก็เผยท่าทีออกมาแล้ว! เจียงเจิงได้ฟังก็ปลื้มใจยกใหญ่…ปลื้มใจเสียจนแม้แต่ตนเองจะตอบไปอย่างไรก็ยังลืมเสียแล้ว สรุปก็คือ วันนี้จูเหล่ยรอจนนางเฮ่อกลับไปแล้ว ก็รีบโผล่หัวเขามาสอบถามผลการทดสอบ เขาให้จูเหล่ยเอาหีบเล็กๆ ที่นำมาด้วยจากเฟิ่งโจวมาตรงหน้า “เอาห่อผ้าเล็กๆ ที่อยู่ล่างสุดออกมาเปิด”
ห่อผ้าเล็กๆ นั้นพอเปิดออกมาก็คือกำไลหยกมันแพะอันหนึ่ง จูเหล่ยเกิดมาในครอบครัวยากจน เมื่อเห็นว่ากำไลอันนี้ไร้ตำหนิใดๆ ทั้งยังสดใสแวววาว ก็อดจะอุทานชมไม่ขาดปากไม่ได้ว่า “อาจารย์มีของดีเช่นนี้เก็บเอาไว้ด้วยหรือขอรับ? เตรียมเอาไว้ให้ท่านอาเฮ่อหรือขอรับ?”
“เฮ่อ… นี่เป็นของที่อาจารย์ย่าของเจ้าทิ้งเอาไว้ให้” เจียงเจิงระบายออกมาว่า “เดิมทีคิดอยากให้ อาจารย์มอบให้ลูกหลานรุ่นต่อไป ทว่าปีนั้นเมื่ออาจารย์ไม่คิดจะแต่งภรรยา จึงเก็บเอาไว้เป็นที่ระลึก ไม่ได้เห็นมาหลายปีแล้ว”
จูเหล่ยขมวดคิ้วแน่น กล่าวว่า “ที่แท้เป็นของที่สืบทอดมาในตระกูลของ อาจารย์! กำไลที่มีค่ามหาศาลเช่นนี้ คาดว่าพอท่านอาเฮ่อได้เห็นก็จะต้องซาบซึ้งใจในน้ำใจของอาจารย์เป็นแน่…”
“เจ้านี่มันเป็นเด็กที่ไม่เคยเปิดหูเปิดตาจริงๆ!” เจียงเจิงส่ายหัว เอ่ยอย่างกลัดกลุ้มว่า “กำไลอันนี้เมื่ออยู่ในบ้านคนธรรมดาเช่นพวกเราก็นับว่าเป็นของดีแล้ว ทว่า นางเฮ่ออยู่กับฮูหยินน้อยมาโดยตลอด มีเครื่องทองไข่มุกหรือหยกใดที่ไม่เคยเห็นมาก่อน? อาจารย์เคยเห็นสาวใช้ที่อยู่ใกล้ชิดกับฮูหยินน้อย นางยังเคยปักปิ่นที่เนื้อหยกดีไม่แพ้หยกนี้ เมื่อถามไปคำหนึ่งนางบอกว่าเป็นฮูหยินน้อยใส่จนเบื่อแล้วจึงนำมากำนัลให้นาง นางเฮ่อมีฐานะสูงกว่าสาวใช้ เกรงว่าเครื่องประดับดีๆ ในมือนาง…”
จูเหล่ยจึงว่า “ไยอาจารย์ต้องเป็นกังวล? หากท่านอาเฮ่อหลงใหลความร่ำรวย แล้วจะมารักอาจารย์อยู่หลายปีได้อย่างไร? เหล่าองครักษ์ตระกูลเว่ยล้วนรู้ดีว่าในแขนเสื้อทั้งสองข้างของอาจารย์ว่างเปล่า เงินทองทั้งหมดล้วนเอามาใช้ที่ตัวศิษย์จนหมด!”
เจียงเจิงรู้สึกว่าเรื่องนี้มีเหตุผลนัก จึงให้ศิษย์เก็บกำไลเก็บไว้ให้ดีๆ “รออาจารย์หายดีแล้ว…”
คำพูดต่อไปเขาไม่ได้พูด แต่จูเหล่ยก็เข้าใจ ‘ศิษย์แสนดี’ แอบโล่งใจ เมื่อออกมาจากตรงหน้าอาจารย์แล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะวิงวอนต่อฟ้าอีกครั้งว่าเรื่องนี้อย่าได้เกิดเหตุเหนือคาดอันใด …อย่างน้อยก่อนเขาจะหลบไปยิวเยี่ยนก็อย่าได้เกิดเรื่องผิดคาดอันใดเลย…
ในสายตายของเว่ยฉางอิ๋งแล้ว เรื่องของแม่นมและครูฝึกทุกสิ่งล้วนราบรื่นดีนางคำนึงถึงว่าอาการบาดเจ็บของเจียงเจิงยังไม่หายดี ยิ่งไปกว่านั้นสามีของตนก็ไปซีเหลียง เรื่องโค่นล่มเบื้องสูงของทางพ่อสามีก็ไม่รู้ว่าจัดการไปถึงที่ใดแล้ว การยกแม่นมคนสนิทให้แต่งงานกับเจียงเจิงจะทำให้ทางฮองเฮาคิดมากหรือไม่ และจะสร้างความเดือดร้อนให้พ่อสามีหรือไม่ เรื่องนี้นางล้วนไม่แน่ใจ
เว่ยฉางอิ๋งตัดสินใจว่าจะรอให้อาการบาดเจ็บของเจียงเจิงหายดีเสียก่อน แม้เป็นเพียงการหารือเรื่องแต่งงาน แต่ก็ต้องให้พวกเขาไปจากเมืองหลวงสักระยะหนึ่ง รอจนฮองเฮาและเซินสวินสิ้นฐานันดรศักดิ์แล้วค่อยเรียกกลับมาก็ยังไม่สาย …เว่ยฉางอิ๋งพิจารณาเรื่องนี้ถึงตรงนี้ก็พักวางเอาไว้ก่อน เพราะยามนี้นางกำลังยุ่งมากจริงๆ…
ครึ่งปีหลังของปีนี้มีงานแต่งงานมากมายก่ายกอง
เดือนนี้เป็นซูอวี๋ลี่ออกเรือน เดือนหน้าวันถัดมาจากงานสมรสของกู้อี้หราน ซูอวี๋หลีก็จะแต่งงาน แล้วต้นเดือนสิบเอ็ดก็เป็นงานอภิเษกขององค์รัชทายาทอีก
แม้เว่ยฉางอิ๋งไม่จำเป็นต้องไปดูแลงานเหล่านี้ ทว่านางก็ต้องไปร่วมงาน …ฉะนั้นนางจึงต้องตระเตรียมของกำนัล เตรียมเสื้อผ้าเครื่องประดับที่เหมาะไปร่วมงาน ซึ่งต้องให้ความสำคัญกับงานเฉลิมฉลอง แต่ต้องไม่ไปข่มราศีของแม่สามีและพวกพี่สะใภ้ เว้นสามวันบ้างห้าวันบ้างก็ยังต้องคอยรับมือพี่สะใภ้สองคนทั้งต่อหน้าและลับหลัง …นางวุ่นวายไปจนถึงในวันที่ซูอวี๋ลี่ออกเรือนจึงได้มีเวลานั่งลงค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ
แม้บุตรสาวเช่นซูอวี๋ลี่จะทำให้รู้สึกวางใจ บ้านสามีที่แต่งออกไปก็อยู่ในเมืองหลวงเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นยังนับว่าเป็นการแต่งกับตระกูลที่ต่ำศักดิ์กว่า ไม่ต้องกลัวแม่สามีจะข่มเหงรังแก ทว่าเพียงชั่วข้ามคืนก็ต้องยกมุกงามที่ฟูมฟักอยู่ในฝ่ามือมาสิบกว่าปีให้ผู้อื่น เว่ยเจิ้งอินก็ยังถึงกับร้องห่มร้องไห้จนใจจะขาด เมื่อนางแสดงความรู้สึกในใจออกมาดังนี้ ทำให้เว่ยฉางอิ๋งและคนอื่นๆ ที่อยู่ด้วยยามซูอวี๋ลี่แต่งตัวพากันหลั่งน้ำตาไม่หยุด เว่ยฉางอิ๋งหวนคิดถึงท่าทีอาลัยอาวรณ์เหลือแสนของฮูหยินซ่งมารดาของนางในวันที่นางออกเรือน เสียงร้องเรียกของแม่เฒ่าซ่งท่านย่าของนางที่ถูกกลืนหายไปท่ามกลางเสียงดนตรีงานมงคลยามนางนั่งเกี้ยวออกจากเรือน… ชาตินี้ตนเองก็ไม่รู้ว่าจะยังมีโอกาสได้รับความอบอุ่นจากตักของมารดาและท่านย่าอีกหรือไม่ นางจึงยิ่งร้องไห้อย่างหนัก
จนกระทั่งซูอวี๋ลี่ออกจากประตูไปขึ้นเกี้ยว และเริ่มงานเลี้ยงวันมงคลที่บ้านซูแล้ว เว่ยฉางอิ๋งจึงสงบจิตสงบใจได้ และอดรู้สึกไม่ได้ว่าลูกผู้พี่ออกเรือน แต่ตนเองกลับร้องไห้หนักหนาสาหัสเสียยิ่งกว่าท่านอาและลูกผู้พี่เสียอีก ว่าแล้วก็รู้สึกขัดเขินขึ้นมาเล็กน้อย
____________________________________