ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 134-1ข้าคิดถึงท่านปู่ท่านย่าเหลือเกิน
เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกขึ้นมาทันใดว่านี่ต้องเป็นแผนการที่เว่ยฉางหว่านและเว่ยฉางเจวียนสองพี่น้องรวมหัวกันมาให้ร้ายตนแน่ นางพลันโกรธแค้นขึ้นมาในใจ เอ่ยเสียงเย็นเฉียบไปว่า “คำของพี่หญิงใหญ่ ข้ามิกล้ารับหรอก แต่ข้ากลับรู้สึกแปลกใจว่าน้องเจ็ดซึ่งเป็นเด็กสาวที่ยังไม่ได้ออกเรือน จู่ๆ ก็วิ่งเข้ามาพูดเรื่องบ้านสามีบ้านฝั่งมารดาอันใดกับข้า ข้ายังไม่ทันว่านางอย่างใด เหตุใดนางจึงร้องไห้ขึ้นมาเสียแล้ว? ที่แท้ก็เพื่อรอให้พี่หญิงใหญ่มาไล่เรียงเอาผิดกับข้าโดยเฉพาะหรอกหรือ? เพียงแต่เรื่องนี้มีความผิดอันใด ต้องขอคำชี้แนะจากพี่หญิงใหญ่ด้วย?”
เมื่อฟังนางว่ามาดังนี้ ทุกคนพลันมีสีหน้าประหลาดนัก มีบางคนที่ปากไว้หน่อยกระเซ้าเว่ยฉางเจวียนว่า “คงมิใช่ว่าน้องเว่ยเจ็ดมองเห็นพี่หญิงใหญ่บ้านซูออกเรือง แล้วตนเองก็คิดอยากมีบ้านสามีบ้างหรอกนะ? จึงมาคุยกับพี่เว่ยสาม ไม่คิดว่าจะถูกพี่เว่ยสามล้อเล่นเอาจึงรู้สึกไม่ยอมใจ?” พวกสตรีชั้นสูงล้วนคิดกันเช่นนี้ จึงพากันหัวเราะขึ้นมาทันใด
เว่ยฉางเจวียนพลันหน้าบวมแดงขึ้นมา กล่าวว่า “ไม่มีเรื่องเช่นนี้! ข้านั้นมา…”
“เจ้ามันคนขี้งก!” เสิ่นจั้งหนิงเท้าสะเอวและแย่งพูดในทันใด กล่าวเสียงดังว่า “ก็มิใช่ว่าคราก่อนที่เล่นซ่อนหากันอยู่ในอุทยานในวัง แล้วข้าไม่ระวังไปชนเจ้าหนหนึ่ง จนเจ้าไปเข้าไปชนในกอดอกกุหลาบ? ภายหลังข้าก็ลากเจ้าออกมาแล้วนี่ เพียงแต่กระโปรงเจ้าถูกเกี่ยวขาดไปตัวหนึ่ง ตอนนั้นข้าบอกว่าจะชดใช้เจ้าก็ไม่เอา แล้วครานี้กลับมาใช้ไม้นี้กับข้า?”
เสิ่นจั้งหนิงเป็นคนร่าเริง …นี่เป็นการพูดให้น่าฟัง เพราะความจริงแล้วนางบุตรสาวตระกูลบู๊ ทั้งยังเป็นคนที่เสิ่นเซวียนบิดาของนางรักใคร่เอาใจที่สุดในบรรดาพี่น้องทั้งหมด และยามนี้นางก็กำลังรอหาเรื่องและเกิดเกรี้ยวกราดขึ้นมาแล้ว โดยเฉพาะบรรดาคุณหนูที่อ่อนโยนเรียบร้อยไม่มีผู้ใดสามารถทานนางได้ไหว เว่ยฉางหว่านและเว่ยฉางเจวียนอยากจะออกมาพูดก็ล้วนถูกนางสกัดกลับไป ได้ยินเพียงเสียงแจ่มชัดของนางร้องออกมาว่า “เจ้ามาบอกกับพี่สะใภ้สามของข้าว่าคนบ้านสามีของนางล้วนดีนักหนา ชมไปจนหมดทุกคน แต่กลับไม่เอ่ยถึงข้า พี่สะใภ้สามไม่รู้เรื่องที่เกิดในอุทยาน ไม่เข้าใจความหมายของเจ้า แต่ข้ากลับรู้ชัดแจ้งยิ่งนัก! มิใช่เจ้าจะบอกว่าทุกคนในบ้านข้าล้วนดีทั้งนั้น มีเพียงข้าเท่านั้นที่ไม่ดี?”
บริเวณที่พวกนางอยู่นี้เป็นนางกู้ ฮูหยินน้อยสามบ้านซูเป็นคนคอยดูแลต้อนรับ เมื่อเห็นเวลาผู้คนต่างพากันมามุงทางนี้ก็รู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นแล้ว นางจึงมาดู ได้ยินคำก็รีบบอกว่า “โธ่เอ๊ย! น้องสาวคนดี ข้าก็นึกว่าพวกจ้ามารวมกันที่นี่ทำสิ่งใด? ที่แท้ก็เป็นเด็กเล็กๆ ทะเลาะกัน …น้องเว่ยเจ็ดก็มิได้ว่ากล่าวเจ้าเรื่องใดนี่? บางทีนางแค่ยังไม่ได้เอ่ยชมเจ้าเท่านั้น? ก็ใครใช้ให้เจ้ามีพี่ชายพี่สาวและพี่สะใภ้มากมาย ในบ้านจึงครึกครื้นนัก ใช่หรือไม่?”
สามพี่น้องแห่งรุ่ยอวี่ถังล้วนต้องตะลึงงันในคำพูดของเสิ่นจั้งหนิง จึงไม่ได้ต่อคำไปชั่วขณะ เสิ่นจั้งหนิงพลันเอ่ยอีกว่า “พี่สะใภ้สามบ้านท่านอา ท่านไม่รู้ เว่ยฉางเจวียนนางขี้ฟ้อง ทั้งยังชอบฟ้องอย่างบิดเบือน! ทำอย่างกับว่าข้านั่งอยู่ข้างพี่สะใภ้สามแล้วจะฟังไม่ได้ยินเช่นนั้น! ก็มิใช่แค่เพียงกระโปรงหลากสีตัวหนึ่ง? รอกลับไปข้าจะเอาเบี้ยเดือนซื้อใช้นาง จริงๆ เชียว มาทวงถามยามใดไม่ทวง จะต้องเลือกมาพูดนั่นพูดนี่ในวันที่ลูกผู้พี่หญิงใหญ่ออกเรือน นางเป็นลูกผู้พี่หญิงใหญ่ของข้า หรือว่านางมิใช่ลูกผู้พี่ของเจ้าด้วย? ไม่มีหัวคิด!”
เสิ่นจั้งหนิงที่จะโตก็ไม่โตเด็กก็ไม่เด็กทั้งยังไม่ได้ปักปิ่น ยังไม่นับว่าเป็นคุณหนูผู้ดีที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว และคนที่นั่งอยู่รอบๆ ก็รู้ว่าราชครูรักบุตรสาวคนเล็กผู้นี้ยิ่ง กระทั่งมากกว่าบุตรชายทั้งสามด้วย คุณหนูสี่ตระกูลเสิ่นผู้นี้เป็นคนปากตรงกับใจไม่ปิดบังอ้อมค้อมมาแต่ไร บรรดาสตรีชั้นสูงจึงค่อนข้างให้อภัยผ่อนปรนให้นางเสมอมา
…อย่างไรเสีย เสิ่นจั้งหนิงก็พูดจาขวานผ่าซากเช่นนี้อยู่แล้ว หากล่วงเกินนาง ไม่แน่ว่าอาจทำเอาตนไม่มีทางจะลง
ว่าแล้ว แม้เว่ยฉางเจวียนจะมีอายุไล่เลี่ยกับเสิ่นจั้งหนิงและนับว่าชอบซุกซนเช่นกัน แต่ปกติแล้วกลับรู้จักกาลเทศะกว่าเสิ่นจั้งหนิงมากนัก …ฉะนั้น ในบรรดาคุณหนูผู้ดีทั้งหลาย นางย่อมได้รับคำวิจารณ์ในทางที่ดีกว่า แน่นอนว่าเรื่องนี้ก็ต้องมีสิ่งที่แลกมา ซึ่งสิ่งที่ต้องแลกมาก็คือคำที่ทุกคนกำลังบอกว่า “น้องเว่ยเจ็ดก็ไม่น่าเป็นถึงเพียงนั้นกระมัง เพียงแค่กระโปรงตัวเดียว คนเช่นพวกเรายังต้องสนใจเรื่องนี้หรือ?”
แม้จะพูดมาดังนั้น เว่ยฉางเจวียนที่หัวไวปานนั้นมีหรือจะฟังไม่ออกวาทุกคนค่อนข้างเชื่อในคำพูดนี้แล้ว? อย่างไรเสีย เสิ่นจั้งหนิงก็ทำให้คนรู้สึกว่านางเป็นคนร้ายกาจชอบตีโพยตีพายเสมอมา แต่กลับไม่เคยถูกเล่าลือว่านางชอบพูดโกหก สาเหตุที่ทุกคนยังไม่แสดงท่าทีเคลือบแคลงในยามนี้ ก็เพียงหาทางช่วยแก้สถานการณ์ให้นางเท่านั้น ทุกคนจึงพูดอีกว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ น้องเสิ่นสี่เจ้าก็อย่าให้มีเรื่องเลย เพียงกระโปรงตัวเดียว จะนับเป็นสิ่งใดได้? วันนี้เป็นวันดีของลูกผู้พี่หญิงของเจ้า อย่าได้เป็นขับไล่สิริมงคลออกไปเลย! น้องเว่ยเจ็ดเจ้าเป็นคนจิตใจดีมาตลอด เพียงแต่มาทวงถามความผิดกับน้องเสิ่นสี่เท่านั้น เรื่องนี้ก็ให้เลิกแล้วกันไปเถิดดีหรือไม่? อย่าให้เสียบรรยากาศงานมงคลเลย”
เว่ยฉางเจวียนฟังออกว่านี่เป็นเพราะทุกคนรู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ทว่าต่างคร้านจะไปไล่เรียงหารายละเอียด เพียงต้องการให้ตนยอมลดโทสะลงและปลอบเสิ่นจั้งหนิงเพื่อไกล่เกลี่ยให้เรื่องนี้สงบไปเลีย นางพลันมีไฟสุมอยู่ในใจ เพียงแต่พยายามรักษาภาพลักษณ์ที่ตนเป็นคนรู้จักกาลเทศเสมอมา จึงไม่ระเบิดอารมณ์ออกมาเท่านั้น และทำได้เพียงปรายหาตาไปมองเว่ยฉางหว่านหนหนหนึ่ง
แต่น่าเสียดายที่เว่ยฉางหว่านก็เป็นคนสำรวมเรียบร้อยเช่นกัน จึงบอกให้เว่ยฉางอิ๋งพูดก่อน เว่ยฉางอิ๋งจึงปลอบเสิ่นจั้งหนิงด้วยท่าทีราบเรียบว่า “ใช่แล้วน้องสี่ เจ้าก็เห็นแก่หน้าพี่สะใภ้เถิด พี่สะใภ้เองก็โง่นัก ฟังน้องเจ็ดพูดตั้งครึ่งค่อนวันก็ยังไม่รู้ว่าที่น้องเจ็ดพูดนั้นหมายความว่าอย่างไร? ที่แท้ก็เพื่อกระโปรงตัวหนึ่งหรอกหรือ? ภายหลังก็ไม่จำเป็นต้องให้น้องสี่ชดใช้หรอก พี่สะใภ้จะส่งเสื้อผ้าหนึ่งหีบให้น้องเจ็ดเอง รับรองว่าล้วนมีแต่เนื้อผ้าดีๆ และเป็นแบบใหม่ๆ ทั้งนั้น ส่วนเรื่องขนาดพวกเจ้าก็ยืนขึ้นด้วยกันกะประมาณเอาสักหน่อย พี่สะใภ้เองก็พอจะรู้อยู่แล้วในใจ ตามขนาดตัวน้องสี่แล้ว ให้ตรงคาดอกนั้นแคบลงสักหน่อยเป็นพอแล้ว!”
เหล่าสตรีผู้ดีที่มีความคิดอ่านละเอียดสักหน่อยล้วนฟังออกว่าที่เว่ยฉางอิ๋งบอกว่าให้ตรงอกแคบลงสักหน่อย ดูแล้วคล้ายกำลังพูดถึงขนาดของเสื้อผ้า แต่ความจริงแล้ว กลับเป็นการกระทบกระเทียบว่า เว่ยฉางเจวียนมีจิตใจคับแคบ
เพียงแต่คนที่ฟังออกล้วนสบตาแล้วยิ้มให้กัน แต่กลับไม่รู้สึกว่าเว่ยฉางอิ๋งเข้าข้างน้องสามีแต่อย่างใด เพราะต่างก็คิดว่าเว่ยฉางเจวียนมีฐานะเป็นบุตรีตระกูลสูงศักดิ์ แต่กลับมาถือสากับสหายเพียงเพราะกระโปรงตัวเดียว จนถึงขั้นต้องมาฟ้องกับลูกผู้พี่ฝั่งลุงในงานแต่งงานของลูกผู้พี่อีกคน ก็นับว่านางใจคอคับแคบเกินไปจริงๆ ซึ่งความจริงแล้วการที่จู่ๆ นางก็มาทำเรื่องไม่รู้จักกาลเทศะเช่นนี้ คนที่มองออกย่อมต้องเคลือบแคลงว่ากริยาท่าทีของนางที่เคยเป็นในยามปกตินั้น หรือจะเป็นการเสแสร้งแกล้งทำ?
ฉะนั้นการที่เว่ยฉางอิ๋งไมพอใจในเวลานี้จึงเข้าใจได้ไม่ยากเย็น …เว่ยฉางอิ๋งเพิ่งแต่งเข้าตระกูลเสิ่นเพียงแค่กี่เดือน? ยามนี้สามีก็ไปสร้างผลงานที่ซีเหลียง ถัดขึ้นไปก็ยังมีแม่สามีและพี่สะใภ้อีกสองคน แม้ยามนี้ได้มาดูแลเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในบ้านเป็นการชั่วคราว แต่เรื่องของตระกูลเสิ่นก็มิใช่เรื่องที่นางจะมาเจ้ากี่เจ้าการ!
เพื่อเรื่องเล็กน้อย เว่ยฉางเจวียนกลับมาคอยตามรังควานให้นางไปจัดการน้องสามีเพื่อช่วยเอาคืนให้ตน โดยไม่คิดดูบ้างว่าในสถานการณ์ของเว่ยฉางอิ๋งในเวลานี้ต้องคอยเอาอกเอาใจน้องสามีก็ยังไม่ทันเลย แล้วจะมีข้ออ้างใดไปทำไม่ดีต่อน้องสามี?
ยิ่งไปว่านั้น ก็ไม่รู้ว่าเว่ยฉางเจวียนตั้งใจหรือไม่ที่ให้เสิ่นจั้งหนิงซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ ได้ยินคำพูดของนางพอดี นี่มิเท่ากับว่าเป็นการยั่วยุให้เว่ยฉางอิ๋งและน้องสามีผิดใจกัน และต้องการทำให้เว่ยฉางอิ๋งอยู่ในบ้านสามีอย่างไม่สงบสุขหรอกหรือ?
การแข่งขันกันระหว่างอาหลานในรุ่ยอวี่ถัง แต่ละตระกูลต่างรู้กันอยู่ในใจ
เวลานี้จึงพากันคิดว่า ‘ใช่แล้ว เว่ยฉางหว่าน เว่ยฉางอิ๋งและเว่ยฉางเจวียน สามพี่น้องนี้ แม้จะเป็นลูกพี่ลูกน้องกันแท้ๆ แต่การแย่งชิงตำแหน่งประมุขตระกูลของเว่ยเซิ่งอี๋และเว่ยฉางเฟิงยังไม่ยุติลง ต่างฝ่ายต่างมาขัดแข้งขัดขากั้นกลับเป็นเรื่องที่ไมแปลกเลย’
นางกู้เองก็คิดเช่นนี้ เพราะเรื่องนี้เป็นเว่ยฉางเจวียนเริ่มก่อน นางจึงรู้สึกไม่ใคร่พอใจเว่ยฉางเจวียนและเว่ยฉางหว่าน พลันคิดในใจว่า “สมกับที่เป็นบุตรีของบุตรชายที่เกิดจากอนุ ใช้การไม่ได้เลยจริงๆ! คนทั้งเมืองหลวงผู้ใดไม่รู้เรื่องในรุ่ยอวี่ถังของพวกเจ้า? หากจะมาชิงดีชิงเด่น มาก่อเรื่อง พวกเจ้าก็อย่าได้มาก่อเรื่องในยามที่บ้านเราเชิญเจ้ามาดื่มเหล้ามงคลสิ! พวกเจ้าพี่น้องร่วมตระกูล จะไปวิวาทกันที่ใด ไม่ว่าผู้ใดจะแพ้หรือชนะ คนที่เสียหน้าก็มิใช่เป็นรุ่ยอวี่ถัง? และก็เพราะประมุขตระกูลเว่ยไม่อาจจากเฟิ่งโจวมาได้ แม่เฒ่าซ่งก็ตามเขากลับไปแล้ว หาไม่ หากแม่เฒ่าซ่งยังคงอยู่ในเมืองหลวง แล้วรุ่ยอวี่ถังกล้ามีหลานสาวที่ไร้หัวคิดเช่นนี้ ถ้าไม่ถูกแม่เฒ่าถลก
——————————————