ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 136-1 หมิ่นอีนั่ว หลิวรั่วอวี้
หลังจากหลิวรั่วเหยียจากไปไม่นาน เว่ยฉางเจวียนก็กำลังว้าวุ่นใจ พลันสัมผัสว่าข้างกายมีคนเดินเข้ามานั่ง นางนึกว่าเป็นหลิวรั่วเหยียกลับมาแล้ว จึงหันหน้าไปแล้วว่า “พี่หลิว…”
แต่กลับเห็นว่า เมื่อผ้าคล้องไหล่สีเหลืองขมิ้นปักลายกิ่งก้านดอกมู่ตานสะบัดออกและทิ้งตัวลงมา สิ่งที่เผยให้เห็นกลับเป็นเพียงใบหน้าที่สดใสธรรมดาๆ หมิ่นอีนั่วยิ้มอ่อนๆ กล่าวว่า “น้องเว่ยเจ็ด เจ้ากำลังรอน้องรั่วเหยียหรือ?”
“พี่หมิ่น” เมื่อเว่ยฉางเจวียนเห็นว่าเป็นนางจึงรีบลุกขึ้นพูด “พี่มาหาข้าหรือเจ้าคะ? ขออภัยจริงๆ เมื่อครู่นี้ข้ามองไม่ถนัด ยังนึกว่าเป็นพี่หลิวกลับมาแล้วเสียอีกเจ้าค่ะ”
หมิ่นอีนั่วยิ้มอ่อนๆ กล่าว่า “เมื่อครู่นี้น้องรั่วอวี้ไม่ระวังทำสุราหกรดตัว ให้น้องรั่วเหยียไปเปลี่ยนเสื้อเป็นเพื่อนนางทางด้านหลัง เกรงว่าครานี้ทั้งไปทั้งกลับ หากใช้เวลาเพียงประเดี๋ยวก็คงจะไม่ทันหรอก น้องรั่วเหยียคงไม่อาจกลับมาหาเจ้าได้พอดิบพอดี เหมือนตอนที่นางไปเตือนน้องรั่วอวี้ไม่ให้ดื่มเครื่องดื่มเย็นเมื่อครู่นี้ ฉะนั้นหากน้องเจ้าจะรอนางก็เกรงว่าคงต้องรออีกสักพัก”
เว่ยฉางเจวียนตกตะลึง ฟังออกว่ามีความนัยซ่อนอยู่ในคำพูดของหมิ่นอีนั่ว จึงเอ่ยเสียงเบาไปว่า “พี่หมิ่น ท่านหมายความว่า?”
“ที่นั่งของข้าไม่ได้อยู่ที่นี่ เมื่อครู่นี้พอเห็นว่ามีการเคลื่อนไหวจึงส่งสาวใช้มาดูสักหน่อย” หมิ่นอีนั่วเองก็มิได้อ้อมค้อมไปกับนางด้วย เอ่ยออกไปเองว่า “เรื่องราวโดยคร่าวๆ ข้าก็พอจะรู้มาบ้างว่า… แรกเริ่มเป็นเจ้าอยู่กับน้องรั่วเหยีย ภายหลังยามน้องรั่วเหยียไปเตือนน้องรั่วอวี้ เจ้าก็ไปสนทนากับลูกผู้พี่สามของเจ้า …จากนั้นก็เกิดเรื่องขึ้น ใช่หรือไม่?”
แต่ไรมาเว่ยฉางเจวียนก็คุ้นเคยกับนางจึงไม่ได้ปิดบัง กล่าวว่า “เป็นดังนั้นเจ้าค่ะ ลูกผู้พี่สามของข้า นาง…”
หมิ่นอีนั่วขัดคำนาง กล่าวว่า “หากข้าคิดไม่ผิด ที่เจ้าไปสนทนากับลูกผู้พี่สามของเจ้า ก็คงจะเกี่ยวกับน้องรั่วเหยียอยู่บ้างกระมัง?”
“พี่หมิ่น?” เว่ยฉางเจวียนตกตะลึง
หมิ่นอีนั่วเอ่ยอย่างราบเรียบ “เรื่องของรุ่ยอวี่ถังหาใช่ความลับใดไม่ ตามหลักแล้วนี้เป็นเรื่องภายในบ้านของน้องเว่ยเจ็ด ข้าไม่ควรมาพูดมากจริงๆ แต่พวกเราสนิทสนมกัน ข้าคิดว่าวันนี้แม้ข้าจะถูกเจ้าตำหนิ ข้าก็ยังต้องพูดสักหน่อย บิดาของเจ้าและท่านย่าของเจ้ามีความคิดเห็นแตกต่างกัน แต่ก็เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ ข้าเห็นว่านับแต่ลูกผู้พี่สามของน้องแต่งงานมาอยู่ที่เมืองหลวง แม้มิได้ไปมาหาสู่กับน้องมากมาย แต่ก็มิได้ถือดีว่าตนเป็นที่รักของท่านย่าของน้องแล้วมาระรานน้อง เห็นได้ว่านางหาใช่คนที่ไปหาเรื่องผู้อื่นไม่ เช่นนี้แล้ว น้องยังไม่พอใจแต่ไปหาเรื่องนางก่อน ถือเป็นเรื่องไม่สมควรเลย เหตุผลนี้ น้องรั่วเหยียที่แสนเฉลียวฉลาดจักไม่เข้าใจได้อย่างไร? น้องหญิง เจ้าอย่าถูกนางชี้นำไปผิดทาง!”
เว่ยฉางเจวียนขมวดคิ้ว เอ่ยเสียงต่ำว่า “ท่านพี่ ในเมื่อท่านเอ่ยคำนี้ เช่นนั้นข้าก็ต้องเอ่ยสักคำ ว่าข้าไม่อยากฟัง! ท่านลุงใหญ่ของข้าผู้นั้นไม่แข็งแรงมาแต่กำเนิด รับภาระสำคัญในบ้านไม่ไหว เรื่องนี้หาเป็นบิดาข้าทำไม่ แต่ท่านย่าก็ยังใช้งานท่านพ่อ ป้องกันท่านพ่อและพวกเราบ้านสองทั้งบ้านเหมือนป้องกันโจร เรียกได้ว่าไม่เคยมีบุญคุณใดต่อกัน! ลูกผู้พี่ฉางเฟิงของข้าผู้นั้น แม้ไม่เคยพบกันมาก่อน แต่ยามนี้เขาเพิ่งจะอายุเท่าใดกัน? ลำพังแค่เป็นผู้มีพรสวรรค์ แต่ก็ยังไม่เคยมีประสบการณ์ขัดเกลา แล้วจักแบกรับทั้งความรุ่งเรืองและเสื่อมโทรมของตระกูลได้อย่างไร? ท่านย่าเล่นเล่ห์เพทุบายด้วยเห็นว่าเขาเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ๆ เห็นพวกเราบ้านสองเป็นดังศัตรู แล้วพวกเราบ้านสองทำผิดอันใด?”
“น้องหญิง คำพูดนี้ของเจ้ามาเอ่ยกับพี่มิเป็นไร แต่หากถูกร่ำลือออกไป ก็จักถูกผู้คนต่อว่าเอาได้” หมิ่นอีนั่วยื่นนิ้วไปแตะริมฝีปากนาง เอ่ยด้วยหน้าตาจริงจังว่า “ลำพังแค่ว่าบิดาของน้องต้องเรียกขานท่านย่าของน้องว่าท่านแม่ คำว่า ‘ไม่มีบุญคุณใดต่อกัน’ นี้ก็ไม่อาจเอ่ยได้แล้ว! ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าใจน้องจักคิดสิ่งใด ยามนี้ท่านย่าของน้องก็ยังอยู่ อย่างไรก็เป็นญาติผู้ใหญ่! น้องเอ่ยความคับแค้นในใจออกมา หากให้นางได้ยินเข้า ท่านย่าของน้องจะคิดว่าน้องคิดเห็นเช่นนี้เพียงคนเดียวหรือ? ย่อมต้องคิดว่าน้องถูกพูดกรอกหูมา ถึงยามนั้นจะคิดเห็นเช่นใดกับบ้านน้องทั้งบ้าน? แล้วเรื่องนี้เป็นผลดีต่อท่านพ่อของน้องหรือ?”
เว่ยฉางเจวียนตกตะลึง พลันโพล่งออกไปว่า “ปีก่อนก็เรียกพี่ชายสามของข้ากลับไป หรือปีนี้ยังคิดจะเรียกพี่น้องของพวกเรากลับไปทั้งหมดกัน?”
หมิ่นอีนั่วกล่าวว่า “เรื่องนี้ข้าไม่รู้ เพียงแต่ข้าเห็นว่าทั้งบิดา ท่านแม่และพี่ชายของน้องล้วนให้ความเคารพกับทางเฟิ่งโจวเสมอมา ได้ยินว่าของกำนัลยามเทศกาลก็มีไม่เคยขาด บิดา ท่านแม่และพี่ชายของน้องยังเป็นเช่นนี้ แต่ยามนี้ ในที่นี้ น้องกลับมาทำการไม่เคารพต่อหลานสาวแท้ๆ เพียงคนเดียวของท่านย่าของน้อง ทั้งยังเป็นลูกผู้พี่ของน้อง ทำเช่นนี้ไม่ฉลาดปานใด?”
เว่ยฉางเจวียนขบริมฝีปาก กล่าวว่า “เรื่องในวันนี้มีสาเหตุ พี่ท่านไม่ทราบ ปีนั้นหลังพี่หญิงใหญ่ของข้าออกเรือนแล้วสองปีแต่ไร้บุตรชาย ท่านหมอที่มาตรวจก็บอกไม่ได้ว่าเป็นเพราะเหตุใด บ้านฝั่งสามีบอกว่าอยากให้นางหวง…ซึ่งก็คือหนึ่งในท่านอาบ่าวติดตามคนหนึ่งของลูกผู้พี่สามของข้า เพราะนางเคยร่ำเรียนวิชาแพทย์กับ จี้ชวี่ปิ้งมาจึงคิดอยากเชิญนางมาตรวจดูสักหน่อยว่าเป็นเรื่องใดกันแน่ ปรากฏว่านางหวงนั่นแค้นเคืองที่ก่อนหน้านี้พี่หญิงใหญ่ของข้าเคยตำหนินาง จึงบอกปัดไปว่าวิชาของตนไม่เก่งกล้า ไม่กล้าทำให้พี่หญิงใหญ่ต้องเสียเวลา จนท่านแม่ข้าแอบมอบเครื่องประดับหัวทองคำแท้ให้นาง นางจึงฝืนใจรับปาก”
นางยิ้มหยันแล้วว่า “นี่ยังแล้วไป เมื่อนางหวงตรวจชีพจรแล้ว ก็บอกอย่างตื่นตระหนกว่าพี่หญิงใหญ่ของข้ามีบุตรยาก เกรงว่าชั่วชีวิตนี้คงไร้ความหวังเรื่องผู้สืบสกุล… ภายหลังความนี้แพร่ไปถึงหูบ้านสามีของพี่หญิงใหญ่ของข้า แม่สามีของพี่หญิงใหญ่จึงกำนัลอนุสี่คนให้แก่พี่เขยใหญ่ข้าในทันใด! จากนั้นเมื่อพี่เขยใหญ่ข้ารับอนุแล้ว นางหวงจึงค่อยไปบอกกับท่านแม่ข้าว่าผลการวินิจฉัยของนางในวันนั้นอาจจะผิดพลาด ภายหลังจึงไปขอคำชี้แนะจากท่านหมอเทวดาจี้ และคิดว่าพี่หญิงใหญ่ของข้าก็ไม่แน่ว่าจะมีบุตรยาก เพียงแต่ต้องปรับธาตุในร่างกายให้ดีๆ แต่ท่านพี่ ท่านก็รู้ว่าท่านแม่ข้าหรือจะวางใจให้คนผู้นี้จัดยาปรับธาตุให้พี่หญิงใหญ่ของข้า? ภายหลังจึงไปเชิญแพทย์หลวงจากสำนักแพทย์หลวงมา หลังจากช่วยจัดยาบำรุงอยู่เป็นนานไม่เห็นผล ท่านแม่จึงนำทองจำนวนมากไปเชิญคุณหนูตวนมู่แปดมา …ไม่คิดว่าทางคุณหนูตวนมู่แปดกลับปฏิเสธของกำนัลที่ท่านแม่มอบให้และวางไว้นอกประตู เพียงให้คนออกมาบอกว่า ในเมื่อท่านแม่และพี่หญิงใหญ่ดูแคลนวิชาแพทย์ทางสายของจี้ชวี่ปิ้ง แล้วนางซึ่งเป็นศิษย์เพียงคนเดียวของจี้ชวี่ปิ้งจะกล้าไปรักษาพี่หญิงใหญ่ของข้าได้อย่างไร? ท่านพี่ ท่านว่านี่มิใช่เห็นชัดว่าเป็นนางหวงนั่นยุยงหรอกหรือ?!”
หมิ่นอีนั่วรู้ว่าจนวันนี้เว่ยฉางหว่านก็ยังไม่มีบุตร ทว่านางกลับต้องเลี้ยงดูบุตรธิดาของอนุตั้งมากมาย แต่กลับไม่รู้ว่าที่แท้เพราะนางเคยถูกนางหวงทำร้ายมาก่อน …นางจึงนิ่งเงียบอยู่เป็นนาน พอกำลังจะพูด เว่ยฉางเจวียนก็พูดต่อว่า “แต่ครานี้ เพราะองครักษ์ที่เป็นบ่าวติดตามของลูกผู้พี่สามของข้าถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสเพราะไปเดินชนขบวนขององค์รัชทายาท ถ้าให้ข้าพูด องครักษ์ที่ชอบก่อเรื่องเดือดร้อนเช่นนี้ ตายเสียได้ก็ดี! ปรากฏว่านอกจากลูกผู้พี่สามจะให้คุณหนูตวนมู่แปดมารักษาแล้ว ยังพาเขาไปส่งรักษาที่คฤหาสน์จี้ด้วยตนเอง! เห็นองครักษ์ผู้นี้สำคัญเสียยิ่งกว่าพี่น้องในบ้านตน …หลายปีมานี้พี่หญิงใหญ่ไม่มีเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเอง และไม่เห็นลูกผู้พี่สามนางจะมาเป็นห่วงเป็นไยสักคำนี่? พี่หมิ่นท่านว่าพี่น้องที่เป็นเช่นนี้ ถือดีอันใดให้ข้ามองนางว่าเป็นพี่เล่า?”
“น้องเว่ยเจ็ด ข้าคิดว่าหากลูกผู้พี่ของน้องได้ยินความนี้เข้าก็คงรู้สึกว่านางถูกให้ร้ายแล้ว” หมิ่นอีนั่วส่ายหน้า กล่าวว่า “ลูกผู้พี่ของน้องเพิ่งมาถึงเมืองหลวง ไม่แน่ว่าจะรู้เรื่องนี้ ตามความเห็นข้า ในเมื่อลูกผู้พี่ของน้องสามารถเชิญท่านหมอเทวดาจี้ให้มาช่วยได้ ไยเจ้าจึงไม่ลองบอกเรื่องนี้กับนางดู หากทำให้ท่านหมอเทวดาจี้ยอมช่วย และทำให้พี่หญิงใหญ่เว่ยสามารถให้กำเนิดบุตรธิดาแท้ๆ ได้ ก็มิใช่เป็นเรื่องดีหรอกหรือ?”
เว่ยฉางเจวียนแค่นเสียงกล่าวว่า “นางหวงนั่นเป็นคนของท่านย่าของข้า ลูกผู้พี่สามผู้นี้ก็เป็นท่านย่าข้าเลี้ยงดูมาจนโต แล้วจะมิใช่พวกเดียวกันที่ไม่ปรารถนาดีต่อพวกข้าหรอกหรือ? หากให้นางไปเชิญจี้ชวี่ปิ้ง สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าจะเป็นการรักษาพี่หญิงใหญ่ หรือว่ายิ่งจะทำร้ายพี่หญิงใหญ่ซ้ำอีก?”
นางเอ่ยอย่างชิงชังว่า “ฉะนั้น ข้ายิ่งคิดก็ยิ่งไม่พอใจ จึงกลับลืมไปเสียสนิทว่าวันนี้ไม่เหมาะสม และเข้าไปพูดกับนาง …เป็นข้าคิดการไม่รอบคอบ แต่คราหน้านางจะไม่อาจโชคดีอย่างครานี้อีก”
_____________________