ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 140-1 หลังภูเขาเทียม
เว่ยฉางเจวียนและซ่งซีเยวี่ยล้วนไม่คุ้นเคยกัน ซ่งหรูเซวียนจึงหันหน้าไปพูดกับเติ้งวานวานเบาๆ …ดังนั้นยังไม่ทันทักทายได้เท่าใด ซ่งซีเยวี่ยจึงอ้างว่านี่เป็นครั้งแรกที่ได้มาที่จวนท่านอ๋อง จึงดึงตัวน้องสาวอำลาเว่ยฉางเจวียน เติ้งวานวานกำลังคุยกับซ่งหรูเซวียนอย่างออกรสออกชาติ จึงว่า “ข้าเคยมาจวนท่านอ๋องรุ่นสองครั้ง ข้าจะพาพวกเจ้าไปดูในสวนกัน”
แล้วเอ่ยถามเว่ยฉางอิ๋งและเว่ยฉางเจวียนว่า “พี่เว่ยสามและพี่เว่ยเจ็ดจะไปด้วยกันหรือไม่เจ้าคะ?”
เติ้งวานวานจะพาซ่งซีเยวี่ยสองพี่น้องไป ตรงกับความต้องการของเว่ยฉางอิ๋งพอดี นางจึงส่ายหัว กล่าวว่า “ข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับน้องเจ็ดพอดี ตอนนี้ยังไม่ออกไปหรอก รบกวนน้องเติ้งด้วย” แล้วกำชับซ่งซีเยวี่ยและซ่งหรูเซวียนว่า “อย่าอยู่กลางแดดนานนักเล่า ยามนี้ยังคงร้อนอยู่มาก แล้วรีบๆ กลับมา”
เมื่อได้ยินว่านางจะคุยกับตนเว่ยฉางเจวียนก็รีบระมัดระวังตัวขึ้นมา รีบบอกว่า “พี่สาม ข้าจะไปหาพี่หญิงใหญ่แล้ว คงไม่ว่างแล้ว”
“เจ้าจะไปหาพี่หญิงใหญ่? ช่างบังเอิญดีจริง” เว่ยฉางอิ๋งยิ้มน้อยๆ พลางเอื้อมมือไปคล้องแขนนาง กล่าวว่า “สองสามวันมานี้ข้าเองก็คิดถึงพี่หญิงใหญ่นัก พวกเราไปด้วยกันเถิด!”
เว่ยฉางเจวียนรู้ดีว่าเมื่อถูกนางคล้องแขนเอาไว้ก็จะไม่มีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นแน่ แต่อยากจะหลบเลี่ยงก็หลบไม่พ้น และรู้สึกว่านางถูกยึดจับเอาไว้แน่นนักจนไม่อาจสะบัดออกได้ …เมื่อนึกถึงบทลงเอยของเว่ยลิ่งจือ เว่ยฉางเจวียนก็ทั้งกลัวทั้งโกรธ แล้วรีบหันหน้าไปร้องเรียกหมิ่นอีนั่วว่า “พี่หมิ่น!”
หมิ่นอีนั่วกำลังกระซิบกระซาบอยู่กับองค์หญิงหลินชวน ได้ยินคำก็หันมามองด้วยความสงสัยแล้วเอ่ยว่า “อ๊ะ น้องเว่ยเจ็ด เป็นอันใด?”
เว่ยฉางเจวียนจึงว่า “ข้าและพี่สามจะไปหาพี่หญิงใหญ่ เมื่อครู่นี้พี่หมิ่นมิใช่บอกว่ามีเรื่องจะไปหาพี่หญิงใหญ่ของข้าหรอกหรือ? พวกเราไปด้วยกันเถิด!”
หมิ่นอีนั่วตะลึง จากนั้นก็เข้าใจขึ้นมา ร้องโอ๊ะไปคำหนึ่งแล้วก็ลุกขึ้นยืน ไม่คิดว่าองค์หญิงหลินชวนกลับพูดขึ้นมาทันใดว่า “อีกประเดี๋ยวเจ้าค่อยไป มาพูดเรื่องความงามของอักษรลายมือเมื่อครู่นี้กับข้าให้จบก่อน”
เมื่อได้ยินคำ หมิ่นอีนั่วพลันมีสีหน้าลำบากใจขึ้นมา เว่ยฉางเจวียนรีบบอกว่า “พี่สาม พวกเรารอพี่หมิ่นสักประเดี๋ยวเถิด?” นางคิดว่าหากไม่อาจดึง หมิ่นอีนั่วไปด้วย ก็ต้องหาข้ออ้างรออยู่ที่นี่ เพราะไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่อยากจะไปอยู่เพียงลำพังกับลูกผู้พี่ที่อันตรายผู้นี้!
“เจ้าพาข้าไปพบพี่หญิงใหญ่ก่อน ภายหลังค่อยไปกับคุณหนูหมิ่นก็มิใช่ว่าเหมือนกันหรอกหรือ?” เว่ยฉางอิ๋งมองออกจากท่าทีตกตะลึงของหมิ่นอีนั่ว ว่าเว่ยฉางเจวียนอาศัยที่ตนสนิทสนมกับหมิ่นอีนั่ว จึงจงใจดึงตัวหมิ่นอีนั่วไปเป็นโล่บังธนู แล้วนางจะยอมได้อย่างไร? จึงยิ้มเรียบๆ แล้วว่า “น้องสาวคนดี ข้าไม่ได้พบกับพี่หญิงใหญ่มาหลายวันนักแล้ว รู้สึกคิดถึงเหลือเกิน! ทั้งไม่คุ้นเคยกับจวนท่านอ๋องรุ่นแห่งนี้ อย่างไรเจ้าก็ไปกับข้าเถิด!”
เว่ยฉางเจวียนขบริมฝีปาก คิดในใจว่า ‘ไม่ได้! ข้าไม่อาจออกไปกับเว่ยฉางอิ๋ง ในวังคราก่อน นางก็บีบแขนเว่ยลิ่งจือจนเป็นเช่นนั้นแล้ว…เพียงเพราะเว่ยลิ่งจือเยาะหยันนางคำหนึ่งเท่านั้น วันนี้นางก็ถูกองค์หญิงชิงซินหาความเอาอีก ยังไม่รู้ว่าจะจัดการข้าเช่นใด!’ จึงยืนกรานว่า “ข้าอยากรอให้พี่หมิ่นไปด้วยกัน”
เว่ยฉางอิ๋งหรี่ตา ยิ้มน้อยๆ พลางว่า “เอาล่ะ เช่นนั้นข้าจะไปหาพี่หญิงใหญ่ก่อน”
“ไม่เอา!” เว่ยฉางเจวียนฟังออกในทันทีว่า เมื่อเว่ยฉางอิ๋งจัดการตนไม่ได้ จึงจะไปหาเรื่องกับเว่ยฉางหว่านแทน นางจึงร้องออกมาอย่างตื่นตระหนก!
เว่ยฉางอิ๋งมองนางหนหนึ่งอย่างประหลาดใจ กล่าวว่า “เช่นนั้น น้องเจ็ดเจ้าจะไปกับข้าหรือ?”
“ข้า…” เว่ยฉางเจวียนอ้าปากค้าง แล้วเฉไฉไปว่า “พี่สาม อย่างไรท่านก็ไปกับข้าเถิด!” นางคิดในใจว่าที่นี่มีคนตั้งมากมาย บรรดาองค์หญิงก็อยู่ด้วย ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะกล้าทำอันใดข้า
ทว่ายังไม่ทันสิ้นเสียง กลับรู้สึกเจ็บที่ข้อศอกขึ้นมา เจ็บเสียจนนางเผลอร้องออกมา!
คนในโถงที่ได้ยินเสียวล้วนหันหน้ามามอง…. นางโจวสะใภ้ท่านอ๋องรุ่นซึ่งเป็นเจ้าภาพที่คอยดูแลอยู่บริเวณนี้แอบขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่อาจไม่ไปสอบถามว่า “คุณหนูเว่ยเจ็ดเป็นอันใดเจ้าคะ?”
แล้วเห็นว่าเว่ยฉางเจวียนชี้ไปทางเว่ยฉางอิ๋งลูกผู้พี่ของนางด้วยท่าทีทั้งกลัวทั้งโกรธ บอกว่า “พี่สาม! จะ…เจ้า….!”
เว่ยฉางอิ๋งทำหน้าประหลาดใจ กล่าวว่า “น้องเจ็ด เป็นอันใด?”
ทันใดนั้น เว่ยฉางเจวียนก็นึกหาสาเหตุของตนขึ้นมาได้ ทางหนึ่งหลั่งน้ำตา อีกทางหนึ่งก็ถลกแขนเสื้อขึ้นมาให้ทุกคนดู บอกว่า “ข้าก็แค่อยากจะรอให้พี่หมิ่นไปพบพี่หญิงใหญ่ด้วยกัน เหตุใดพี่สามท่านต้องมาหยิก…” คำสุดท้ายยังไม่ทันพูดจบ แขนเสื้อนางก็ม้วนถลกขึ้นมาแล้ว เมื่อทุกคนที่เข้ามาดูด้วยความสงสัย ก็กลับเห็นว่าแขนงามดังท่อนหยกของนางไม่ได้มีร่องรอยผิดปกติอันใดแม้แต่น้อย จึงพากันสงสัยนัก นางโจวเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงว่า “คุณหนูเว่ยเจ็ด แขนท่านเป็นอันใดหรือ?”
“นั่นน่ะสิน้องเจ็ด เจ้าเป็นอันใด?” เว่ยฉางอิ๋งอาศัยแขนเสื้อที่ทั้งกว้างและใหญ่ ค่อยๆ เอาเข็มเงินที่บางเท่าขนวัวเก็บเข้าไปข้างในอย่างระมัดระวัง พลางเอ่ยถามไปด้วยท่าทีฉงนสนเท่
เว่ยฉางเจวียนอ้าปากติดอ่างพูดไม่ออก สักพักจึงบอกว่า “เมื่อครู่นี้พี่สามท่านมาโดนข้าตรงนี้ ข้าก็รู้สึกว่าเจ็บยิ่งนัก”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยด้วยท่าทีประหลาดใจว่า “คงไม่ถึงเพียงนั้นกระมัง? ข้าไม่ได้ออกแรงนี่! หาไม่แล้วเสื้อผ้าบางเพียงนี้ จะไม่มีร่องรอยใดได้อย่างไร?”
“…” เว่ยฉางเจวียนยังคงรู้สึกเจ็บแปลบๆ ที่ข้อศอกอยู่ แต่ก็ไม่มีร่องรอยใดจริงๆ หากยังคงพูดต่อไปว่าลูกผู้พี่ทำตนเจ็บก็คิดว่าคงไม่มีคนเชื่อ กลับจะพากันคิดว่าเรื่องที่ตนพูดไม่น่าเชื่อถือแล้ว
โชคยังดีที่แม้วันนี้หลิวรั่วเหยียจะไม่อยู่แต่ก็ยังมีหมิ่นอีนั่ว หมิ่นอีนั่วจึงลุกขึ้นพูดว่า “น้องเว่ยเจ็ด ใช่ตรงที่เจ้าเคยไปชนเมื่อคราก่อนหรือไม่ แม้บนผิวจะมองไม่เห็น แต่ตรงบริเวณนั้นก็ไม่ควรไปโดนอีก ดังนั้นพอน้องเว่ยสามไปถูกเขาจึงได้เจ็บ?”
เว่ยฉางเจวียนเห็นว่าองค์หญิงหลินชวนมีท่าทีค่อนข้างรำคาญใจที่ตนไปขัดจังหวะการสนทางของนางกับหมิ่นอีนั่วมาสองครั้งแล้ว ห่างก็ไปไม่ไกลองค์หญิงอันจี๋ที่ทุกคนพากันเคารพยำเกรงแต่กลับถูกทิ้งให้อยู่เพียงลำพัง ก็มองมาอย่างยิ้มครึ่งไม่ยิ้มครึ่ง และมีท่าทีกระสับกระส่ายยามเย้าหยอกกับนกแก้วขึ้นมาเล็กน้อย คล้ายรำคาญว่าตนไปรบกวนนาง …พลันเย็นวาบขึ้นมาในใจ ไม่กล้าพูดสิ่งใดอีก จึงได้แต่ต้องพูดตามคำของหมิ่นอีนั่วว่า “พอพี่หมิ่นพูดข้าก็นึกขึ้นได้ คล้ายว่าสองวันก่อนไม่ระวังไปชนกับต้นเสาเข้า”
“เช่นนั้นน้องก็ต้องระวังสักหน่อย พี่ไม่กล้าไปแตะโดนน้องแล้ว” เว่ยฉางอิ๋งรีบขยับออกมาก้าวหนึ่ง แล้วยกมือขึ้นแสดงท่าทีว่านางไม่ได้ทำสิ่งใด กล่าวว่า “ประเดี๋ยวจะกลายเป็นว่าเมื่อถูกตัวเจ้าแล้ว” แล้วว่า “เจ้าก็จะต้องบาดเจ็บภายใน ตามความเห็นของพี่ก็ควรรีบหาท่านหมอมาดูสักหน่อยเป็นดี ท่านอาหวงบ่าวติดตามพี่ก็รู้จักวิชาแพทย์ คราก่อนเจ้าก็บอกว่าอยากจะไปที่เรือนจินถง น่าเสียดายที่เดือนนี้ทั้งเดือนเชิญเจ้าไปเจ้าก็ไม่ไป หรือว่าวันนี้ตอนกลับไป เจ้าก็ไปกับพี่เสียเลยดีกว่า?”
“ไม่ๆๆ!” เว่ยฉางเจวียนคิดในใจว่า ถ้าไปกับเจ้ายังไม่รู้ว่าจะตายอย่างไรเลย! เว่ยฉางเจวียนยังไม่เคยพบเห็นกลอุบายของแม่เฒ่าซ่งท่านย่าของตน แต่สำหรับนางหวงนั้น… แต่เล็กจนโตมานางก็เห็นว่าท่านแม่และพี่หญิงใหญ่ต้องขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกับนางหวงมาตลอด แต่กลับทำอะไรนางไม่ได้! จึงเข้าใจความเลวร้ายของนางหวงเป็นอย่างดี!
จวบจนวันนี้ทั้งฮูหยินตวนมู่และเว่ยฉางหว่านล้วนยังสงสัยว่า สาเหตุที่จนบัดนี้ เว่ยฉางหว่านยังไม่อาจมีบุตรได้เป็นเพราะหลายปีก่อนนางเคยช่วยมารดาตำหนินางหวงหลายครั้งหลายครา นางหวงจึงเกิดแค้นเคืองอยู่ในใจ และแอบลงมือทำเรื่องชั่วใดกับนางหรือไม่?
ด้วยสาเหตุนี้เอง ฮูหยินตวนมู่จึงคอยดูแลบุตรสาวคนเล็กอย่างดียิ่ง อาหารทุกอย่างก็ต้องให้อยู่ห่างจากที่ที่นางหวงต้องเดินผ่านไปไกลๆ จึงจะยอมให้เอาเข้าปาก เว่ยฉางเจวียนจึงกลัวนางหวงเสียยิ่งกว่าท่านย่าที่เคยได้ยินแต่ในเสียงร่ำลือผู้นั้นมากมายนัก นางเป็นคนที่รู้วิชาแพทย์และใช้ยาเป็น เมื่อเข้าไปในเรือนจินถงแล้วต่อให้ไม่แตะต้องน้ำหรืออาหารใดๆ ผู้ใดจะรู้ว่านางอาจมีวิธีอื่นที่แค่เพียงสัมผัสถูกก็จะต้องพิษแล้วหรือไม่?
เวลานี้ เมื่อได้ยินว่า เว่ยฉางอิ๋งจะเชิญตนไปที่เรือนจิงถง นางหรือจะยอมไป? กำลังส่ายหน้า เว่ยฉางอิ๋งพลันขยับเข่ามากระซิบข้างหูนางเบาๆ ว่า “เจ้าต้องเชื่อฟัง!”
———————————————–