ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 140-2 หลังภูเขาเทียม
เว่ยฉางเจวียนกำลังฉงนว่าคำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร ทันใดนั้นเอง เว่ยฉางอิ๋งก็ยกมือขึ้นมาช่วยจับปอยผมนางไปทัดหู …แต่นี่คือสิ่งที่ทุกคนมองเห็น ทว่ากับตัวเว่ยฉางเจวียนเองแล้วกลับเป็นเรื่องที่น่าสะพรึงกลัวเป็นหมื่นเท่า… ปลายนิ้วของเว่ยฉางอิ๋งไปแตะโดนที่ข้างแก้มนางอย่างไม่หนักไม่เบาหนหนึ่ง นางพลันพบว่าคอของตนชาขึ้นมาในทันใด!
ตามสัญชาตญาณแล้วเว่ยฉางเจวียนอยากจะกรีดร้อง เพียงแต่ไม่ว่านางจะพยายามเพียงใดก็กลับส่งเสียงออกมาไม่ได้!
แต่นางก็ยังได้ยินเสียง จึงได้ยินว่าเว่ยฉางอิ๋งหัวเราะเบิกบาน และเอ่ยเสียงไม่ดังไม่เบาว่า “ถ้าเช่นนั้น พวกเราสองคนก็ไปกันก่อนเถิด”
เว่ยฉางเจวียนคิดอยากดิ้นรนขัดขืน แต่ยังไม่ทันสิ้นเสียงของเว่ยฉางอิ๋ง เว่ยฉางอิ๋งก็เอื้อมมือมาจับข้อมือนางเอาไว้ พอดีกดลงไปที่ประตูชีพจร เพียงกดลงไปเบาๆ เว่ยฉางเจวียนก็รู้สึกอ่อนแรงและชาไปหมดแทบทั่วทั้งตัว จู่ๆ ก็ไร้เรี่ยวแรงจะขัดขืนใดๆ เว่ยฉางอิ๋งยิ้มอ่อนๆ กล่าวว่า “ตรงนี้คงไม่เจ็บกระมัง? มา พวกเราออกไปคุยกัน” ทั้งยังไม่ลืมหันมาบอกกับหมิ่นอีนั่วแทนเว่ยฉางเจวียนคำหนึ่งว่า “คุณหนูหมิ่น พวกเราพี่น้องมีเรื่องต้องออกไปคุยกันก่อน ต้องขอโทษท่านจริงๆ”
หมิ่นอีนั่วเงยหน้าขึ้นมาเห็น เว่ยฉางเจวียนหน้าแดงไปทั้งหน้า แต่กลับไม่ได้เชิญตนออกไปอีก เมื่อคิดว่าเมื่อครู่นี้เว่ยฉางอิ๋งขยับเข้าไปกระซิบข้างหูนาง คิดว่าเว่ยฉางเจวียนเห็นด้วยแล้ว นางจึงพยักหน้าและบอกว่าไม่เป็นไร
เมื่อลากตัวเว่ยฉางเจวียนออกมาจากศาลาในสวนได้แล้ว ก็หาข้ออ้างไปเรื่อยเปื่อยเพื่อให้สาวใช้ทั้งสองออกไป …เพราะเว่ยฉางอิ๋งไม่คุ้นเคยกับที่นี่ เดินหลงไปหลงมาอยู่พักใหญ่จึงไปเจอมุมลับตามุมหนึ่งที่หลังภูเขาเทียม เมื่อคลายจุดใบ้ให้เว่ยฉางเจวียนแล้ว เว่ยฉางเจวียนก็รู้สึกว่าคอของนางผ่อนคลายลง นางจึงรีบจับที่ลำคอตน แล้วลองพูดว่า “จะ…เจ้าคิดทำสิ่งใด?”
เว่ยฉางอิ๋งเอื้อมมือไปไล้ข้างแก้มนาง ปลายเล็บแหลมขวนไปบนแก้มของเว่ยฉางเจวียนจนรู้สึกเจ็บแปลบๆ นางอดจะหันหน้าหลบไปไม่ได้
“ข้าสงสัยนักว่า จะว่าไปแล้ว ความแค้นเคืองระหว่างเราก็เพราะการต่อสู้ของท่านอารองและฉางเฟิง เจ้าเป็นบุตรสาวของท่านอารอง ก็ควรจะช่วยท่านอารอง แต่ดูเจ้ายามนี้ตีโพยตีพายไปทั่ว หากเจ้าไม่ได้มีความแค้นกับท่านอารองเสียเอง เจ้าก็คงมีความแค้นกับตระกูลเว่ยทั้งหมดของพวกเรา ถ้าไม่ทำให้ตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจวหรือชื่อเสียงดีงามของสตรีแห่งรุ่ยอวี่ถังต้องเสื่อมเสียไปจนหมด เจ้าก็จะไม่ยินดีกระมัง?” เว่ยฉางอิ๋งขึ้นเสียง ดวงตาเย็นยะเยือก พลางใช้มือบีบที่ใต้คางนาง บังคับให้นางเงยหน้าขึ้นมา!
เว่ยฉางเจวียนตกตะลึง พยายามออกแรงดิ้นรนดึงมือนางออก ทั้งเอ่ยอย่างมีน้ำโหว่า “ข้าขัดหูขัดตาเจ้านัก!”
“ข้าก็ขัดหูขัดตาเจ้าเช่นกัน!” เว่ยฉางอิ๋งยิ้มเยาะ พลางว่า “ข้าเองก็ไม่เคยเห็นพี่น้องในบ้านที่โง่ไปกว่าเจ้า! แต่เจ้ากลับไปบอกใครต่อใครว่าเป็นพี่น้องกับข้า ข้าจึงทิ้งเจ้าไม่ลงจริงๆ! วันที่ลูกผู้พี่หญิงใหญ่ออกเรือน เจ้าก็มาหาเรื่องข้า ยามนี้พระธิดาเฉิงเสียนออกเรือนเจ้าก็ยังมาหาเรื่องข้าอีก! ท่านอาหญิงรองและพระชายาท่านอ๋องรุ่นซึ่งเป็นท่านอาร่วมตระกูลเคยไปติดค้างเจ้ามาแต่ชาติใด? เหตุใดยามบุตรสาวของพวกนางแต่งงานจึงต้องมาเจอกับตัวซวยเช่นเจ้า!”
“เจ้า!” เว่ยฉางเจวียนพูดอย่างโมโหโกรธาว่า “เจ้าน่ะสิตัวซวย! พี่น้องของตนแท้ๆ เจ้ากลับไม่เป็นห่วงเป็นไย แต่กลับไปเป็นห่วงองครักษ์ผู้หนึ่ง! แล้วยังจะมาโอดครวญว่าข้าขัดตาเจ้านัก? จนยามนี้พี่หญิงใหญ่ก็ยังไม่มีบุตร ต้องถูกทั้งพ่อแม่สามีและสะใภ้ด้วยกันดูแคลนเอา เจ้ารู้หรือไม่? แล้วเจ้าเคยเป็นห่วงพี่หญิงใหญ่บ้างหรือไม่?”
เว่ยฉางอิ๋งฟังแล้วรู้สึกประหลาดใจนัก แต่ก็คร้านจะไปสอบถามกับลูกผู้น้องผู้นี้ให้กระจ่าง เพียงแต่เตือนเอาไว้ว่า “ข้าจะบอกเจ้าให้ เห็นแก่ที่นี่เป็นจวนท่านอ๋องรุ่น และข้ามาที่นี่ก็ด้วยพระชายาท่านอ๋องรุ่นเชิญข้ามาเป็นพิเศษ ในจวนเขามีงานมงคล ข้าไม่อยากทำให้เกิดเรื่องราวใดขึ้น ครานี้จะปล่อยเจ้าไป แต่หากมีคราหน้า ต่อให้เจ้าหลบอยู่แต่ในจวนเจ้า ก็ลองดูซิว่าข้าจะเข้าไปลากเจ้าออกมาหักขาได้หรือไม่! เจ้าตัวไร้สมอง คนที่ตาสว่างสักหน่อยต่างก็มองออกว่านี้เป็นเรื่องโง่เง่าที่พี่น้องคอยเล่นงานกันเอง! และไม่รู้ว่าท่านอาสะใภ้รองอบรบเจ้ามาเช่นใด ผู้อื่นยุยงมาคำสองคำ ก็มุดหัวลงไปตกหลุมพรางเขาแล้ว! หากเจ้ายังไปเชื่อคนเหล่านั้น ภายหลังแม้กระดูกก็จะไม่เหลือ!”
นางคิดว่าวันนี้หลิวรั่วเหยียไม่อยู่ เห็นว่าเว่ยฉางเจวียนและหมิ่นอีนั่วสนิทสนมกันเป็นพิเศษ และไม่รู้ว่าหมิ่นอีนั่วผู้นี้จะเป็นคนประเภทเดียวกับหลิวรั่วเหยียหรือไม่? จึงพูดข่มขู่เว่ยฉางเจวียนไปดังนี้
แต่ปรากฏว่าเว่ยฉางเจวียนกลับขบริมฝีปาก กล่าวว่า “เชื่อผู้อื่นแม้แต่กระดูกก็จะไม่เหลือ แล้วเชื่อเจ้าจะลงเอยด้วยดีหรือ? ไม่ว่าเจ้าจะพูดน่าฟังอีกเพียงใด อย่างไรก็ยังคิดจะใช้ประโยชน์จากท่านพ่อ เมื่อหมดประโยชน์แล้วก็จะกำจัดทิ้งมิใช่หรือ? ท่านย่าเป็นคนเช่นนี้มาแต่ไร เจ้าเป็นพี่สาวแท้ๆ ของเว่ยฉางเฟิง ยังจะคิดเห็นเป็นอื่นหรือ? เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้รึ?”
เว่ยฉางอิ๋งยิ้มเยาะพลางว่า “การต่อสู้ของท่านอารองและฉางเฟิง สุดท้ายผู้ตัดสินก็คือท่านปู่ แต่เจ้ากลับคอยมาหาเรื่องเช่นนี้ หากเรื่องไปถึงเฟิ่งโจวและให้ท่านปู่ทราบเรื่องเข้า มีแต่จะรู้สึกผิดหวังกับทางสายของท่านอารอง เจ้าเข้าใจหรือไม่? เรื่องในวันออกเรือนของลูกผู้พี่หญิงใหญ่ตระกูลซู ท่านอาสะใภ้รองช่วยเจ้าปิดบังกับท่านอารองกระมัง? หาไม่แล้ว ท่านอารองต้องมาจัดการเจ้าตั้งนานแล้ว ยังจะให้เจ้ามาก่อเรื่องในวันนี้ได้อีกหรือ? เจ้านึกว่าไปฟ้องกับองค์หญิงให้มาหาเรื่องข้าเพื่อเจ้าระบายความแค้นรึ? ข้าจะบอกเจ้าให้ อย่าว่าแต่เป็นองค์หญิงเลย ต่อให้เป็นองค์ฮองเฮาก็จะไม่อาจมาทำอันใดกับข้าเพราะเรื่องหยุมหยิมเช่นนี้! หากเจ้ายังทำเรื่องชั่วอีก ข้าก็จะทำให้เจ้าเสียใจไปชั่วชีวิตที่คิดเป็นปรปักษ์กับข้า!”
พูดไปพลางมองซ้ายขวา เห็นว่าบนหัวมีกิ่งดอกไม้ยื่นออกมากิ่งหนึ่ง จึงเอื้อมมือขึ้นไปเด็ดดอกไม้มาดอกหนึ่ง แล้วใช้นิ้วดีด ดอกไม้นุ่มๆ พลันพุ่งออกไปอย่างแรงด้วยแรงดีด! พลันมีเสียงพั่บหลายหนดังไปในกิ่งก้านต้นไม้ทั้งใกล้ไกล ชนกิ่งไม้หกเจ็ดกิ่งจนหักลงร่วงลงมา ระหว่างนั้นทั้งกิ่งก้านใบดอกพลันตกลงมาหล่นเกลื่อนกลาดเต็มพื้น
เว่ยฉางเจวียนรู้เพียงว่า เว่ยฉางอิ๋งเคยฝึกวรยุทธ คล้ายว่าวรยุทธของนางจะไม่เบาเลย แต่จะสูงส่งเพียงใด คุณหนูผู้ดีที่อยู่แต่ในเรือนหลังเช่นนางก็ไม่มีความเข้าใจใดๆ และไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องสำคัญใดด้วย …ครานี้จึงอดจะนิ่งเหม่ออ้าปากค้างไม่ได้
เว่ยฉางอิ๋งเป่าเกสรดอกไม้เล็กน้อยที่ติดบนนิ้วออก เอ่ยอย่างปรีดิ์เปรมว่า “หากคราหน้าเจ้ายังทำปากมากเช่นนี้อีก รอดูก็แล้วกัน ต่อให้ห่างไปสองสามจั้ง ข้าก็ยังซัดให้ตาเจ้าบอด ให้ปากเจ้ายับเยินได้! เข้าใจแล้วหรือไม่?”
เว่ยฉางเจวียนพยักหน้าด้วยความหวาดกลัวอยู่เต็มหัวใจ…
“เจ้าไปเสีย!” เดิมทีเว่ยฉางอิ๋งคิดจะทุบนางหนักๆ สักรอบ แต่ยามนี้เห็นว่านางถูกขู่ได้ง่ายๆ และคิดว่าลูกผู้น้องคนนี้ก็เพิ่งอายุสิบสามสิบสี่ ไร้เดียงสาไม่รู้ความเพราะถูกตามใจจนเคยตัว แต่กลับทึกทักเอาว่าตนเองฉลาดนัก เด็กสาวเล็กๆ ที่ไม่มีชั้นเชิงอันใดเช่นนี้ เพียงให้บทเรียนเล็กๆ น้อยๆ ไปก็จะสงบลงได้สักพักแล้ว อย่างไรที่นี่ก็เป็นจวนท่านอ๋องรุ่น เรื่องที่องค์หญิงชิงซินและองค์หญิงอันจี๋ลงมือตบตีกันก่อนหน้านี้ก็ทำให้คนทั้งจวนท่านอ๋องรุ่นต้องปวดหัวว่าจะไปทูลฮ่องเต้และฮองเฮาเช่นใดแล้ว หากคราวนี้นางยังก่อเรื่องก่อราวขึ้นอีก ก็นับว่าใจแคบเกินไป
ในเมื่อยามนี้บรรลุเป้าหมายในการข่มขู่นางแล้ว ก็จะไม่ไปตามรังควานเว่ยฉางเจวียนอีก
เวลานี้เว่ยฉางเจวียนถูกนางทำให้ตื่นตกใจไปหมดแล้ว ‘ลูกผู้พี่ที่ร้ายกาจดุร้ายเพียงนี้ ไม่แน่ว่าจะทำข้าตาบอดและตีหน้าข้าจนยับเยินจริงๆ’ นางอยากพูดไปเช่นนี้เหลือเกิน ไม่ชักช้าร่ำไร พลันยกชายกระโปรงแล้วก็วิ่งปรี่ไปที่ทางศาลาอย่างลนลาน …อย่างไรที่ที่มีคนมากก็จะปลอดภัยกว่า … ทว่าเพิ่งจะวิ่งไปได้สองก้าว ยังไม่ทันพ้นภูเขาเทียมเลย จู่ๆ นางก็ถูกคนถีบหนักๆ ไปหนหนึ่ง นางพลันกรีดร้องและล้มกลับไป…
เว่ยฉางอิ๋งตกตะลึง และเห็นว่ามีคนผู้หนึ่งค่อยๆ ย่างออกมาจากหลังภูเขาเทียม แล้วเอ่ยอย่างคลุมเครือว่า “ฝีมือเพียงนี้ แต่กลับใจอ่อนมืออ่อน ทำเอาผิดหวังเสียจริง!”
_________________________________________