ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 141 เพราะเหตุใด
กลับเห็นว่าคนผู้นั้นยังตัวเตี้ยกว่าเว่ยฉางเจวียนอีกเล็กน้อยด้วย ดวงตาใสฟันสวยใบหน้างดงาม สวมเสื้อผ้าสีสันงดงามพัดปลิวไปตามลม สวมเครื่องประดับน้อยชิ้น ซึ่งก็คือองค์หญิงอันจี๋นั่นเอง
เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกประหลาดในใจ องค์หญิงอันจี๋ผู้นี้เป็นคนที่สตรีชั้นสูงในเมืองหลวงต้องปวดเศียรเวียนเกล้ากับนาง ทุกคนต่างพากันแสดงท่าทีเคารพยำเกรงและพยายามอยู่ให้ห่างจากนาง หากนับรวมครั้งนี้แล้ว ตนเองเพิ่งจะเคยพบกับนางสามครั้งเท่านั้น เหตุใดวันนี้จึงมาช่วยตน ตอนที่ถูกองค์หญิงชิงซินมาหาเรื่อง แล้วยังตามมาลงมือกับเว่ยฉางเจวียนด้วย?
นางใคร่ครวญไป ก้มตัวลงคำนับไป ยังไม่เอ่ยถามถึงสาเหตุ แล้วเอ่ยทักทายไปว่า “หม่อมฉัน…”
เห็นชัดว่าองค์หญิงอันจี๋ทนถือพิธีรีตองอยู่ไม่ไหว สะบัดมือบอกให้นางหยุดคำเสีย แล้วเอียงตาไปมองเว่ยฉางเจวียนที่ล้มอยู่บนพื้น เมื่อเว่ยฉางเจวียนมองเห็นคนที่ถีบตนได้ถนัดตาแล้วก็รีบกุมสาบเสื้อแน่น ตกใจจนแม้จะคลานขึ้นมาก็ยังไม่กล้าคลาน ว่าแล้วองค์หญิงอันจี๋ก็พูดเข้าประเด็นว่า “วันนี้เจ้าถูกชิงซินหาเรื่อง ก็เพราะเว่ยฉางเจวียนผู้นี้ไปฟ้อง คนเช่นนี้เมื่อเอาเจ้าไปฟ้องได้หนหนึ่ง ก็จะเอาเจ้าไปฟ้องเป็นหนที่สอง เจ้าแน่ใจว่าจะปล่อยนางไปทั้งเช่นนี้?”
เว่ยฉางอิ๋งไม่แน่ใจว่าองค์หญิงอันจี้หมายความว่าอย่างไร แต่ฟังดูแล้วองค์หญิงพระองค์นี้จะต้องฟังที่นางพูดมาสักพักแล้ว ไม่แน่ว่าจะฟังตั้งแต่ต้นจนจบแล้วด้วย … ยิ่งไปกว่านั้นพอองค์หญิงอันจี๋ออกมาก็ถีบเว่ยฉางเจวียน เห็นชัดว่าไม่ได้รู้สึกดีกับเว่ยฉางเจวียนเท่าใดนัก จึงว่า “วันนี้เป็นวันออกเรือนของพระธิดาเฉิงเสียน หม่อมฉันคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ก็รบกวนจวนท่านอ๋องรุ่นมากพอแล้ว ยามนี้น่าจะสงบลงสักหน่อยเป็นดีเพคะ”
“พูดไปก็จริง” องค์หญิงอันจี๋พยักหน้า กล่าวว่า “แม้ข้ามิใช่คนที่เห็นเรื่องเป็นตายอยู่ในสายตา แต่บางครั้งก็ต้องรู้จักดูกาลเทศะบ้าง คล้ายว่าลูกผู้น้องเจ้าผู้นี้เป็นคนที่ไม่รู้จักกาลเทศะ สตรีชั้นสูงที่ข้าเคยพบในวังก็ไม่มากมายเลยจริงๆ ก็มินาเล่าชิงซินจึงสนิทกับนางไม่เลวเลย คนเราแบ่งแยกกันตามชนิดของคนจริงๆ”
เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกว่าคำพูดนี้ฟังเข้าหูเสียจริงๆ แต่เพราะนางไม่สนิทกับองค์หญิงอันจี๋ จึงเพียงพูดไปว่า “องค์หญิงทรงปราดเปรื่องนัก”
องค์หญิงอันจี๋สาวเท้าเข้ามาข้างตัวเว่ยฉางเจวียนอีก องค์หญิงผู้นี้ขึ้นชื่อเรื่องความดุร้ายมาเนิ่นนาน พลังข่มขู่คุกคามของนางมีมากกว่าเว่ยฉางอิ๋งที่แสดงพลังวรยุทธเมื่อครู่นี้เสียอีก เว่ยฉางเจวียนเห็นนางเดินเข้ามาใกล้ ก็ไม่ได้สนใจกริยามารยาทใดๆ แล้ว นางพลันกลิ้งตัวออกไปอย่างทนรอไม่ไหว …จนใจเหลือที่องค์หญิงอันจี๋เตรียมกันนางเอาไว้นานแล้ว พลันยกเท้าขึ้นแล้วเหยียบชายกระโปรงนางเอาไว้ ไม่ให้นางกึ่งกลิ้งกึ่งคลานหนีไปได้ แล้วเอ่ยว่า “เจ้าน่ะหรือ? เจ้าโง่เพียงนี้ หรือพวกพี่หลิวพี่หมิ่นจะไม่มีสักคนมองออกและบอกกับเจ้า?”
เว่ยฉางเจวียนไม่กล้าไม่ตอบทั้งไม่กล้าตอบ นางร้องไห้ออกมาก่อน แต่แล้ว องค์หญิงอันจี๋ก็หมดความอดทนจะร่ำไรกับนาง จึงเตือนไปอย่างราบเรียบว่า “เวลาข้ามีจำกัด เจ้าแน่ใจหรือว่าจะทำให้ข้าเสียเวลาต่อไป?”
เพียงคำพูดที่มีน้ำเสียงข่มขู่ประโยคเดียว และยังไม่ทันมีท่าทีข่มขู่ที่ชัดเจนด้วยซ้ำ เว่ยฉางเจวียนก็หวาดกลัวจนถึงขีดสุด แล้วสะอึกสะอื้นอธิบายไปว่า “พี่หมิ่นบอกให้หม่อมฉันมาขอขมาพี่สาม และไม่ให้ไปหาเรื่องพี่สามอีกเพคะ หม่อมฉันไม่ยอมใจจึงไปถามพี่หลิว พี่หลิวบอกว่าพี่หมิ่นพูดมีเหตุผลเพคะ”
เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกเกิดคาดเล็กน้อย ฉากหน้านั้นหลิวรั่วเหยียมาทำดีกับเว่ยฉางเจวียน แต่ว่าความจริงแล้วกำลังทำร้ายเว่ยฉางเจวียนและช่วยตนเองโดยอ้อม ประเด็นนี้ เมื่อจบงานเลี้ยงมงคลของซูอวี๋ลี่และกลับไปที่จวนแล้ว นางหวงซึ่งเข้าใจเว่ยฉางเจวียนดีก็คาดเดาออกแล้ว แต่หมิ่นอีนั่ว? เว่ยฉางอิ๋งคิดไปคิดมาก็คิดไม่ออกว่านางมีความเกี่ยวพันใดกับคุณหนูตระกูลหมิ่นผู้นี้?
ไม่เพียงไม่เกี่ยวพันกัน หากว่ากันให้ละเอียดแล้ว ก็ยังนับว่ามีความแค้นกันโดยทางอ้อมด้วย มิใช่ว่าเหนียนเซิงย้าวที่ปรึกษาของเสิ่นจั้งเฟิงเคยแต่งกลอนที่เป็นการเสียมารยาทกับหมิ่นอีนั่วหรอกหรือ?
นางกำลังใคร่ครวญไปดังนี้ ทางฝั่งองค์หญิงอันจี๋กลับหัวเราะหยันแล้วว่า “ข้าจะให้โอกาสเจ้าเป็นหนสุดท้าย หากเจ้ายังไม่พูดความจริง….”
เว่ยฉางเจวียนผวาหนัก รีบร้องไปว่า “หม่อมฉันล้วนพูดความจริงเพคะ!”
“เจ้าผู้นี้โง่นัก แต่ก็ยังมีเรื่องฉลาดอยู่เรื่องหนึ่ง ก็คือรู้จักฟังคำคนที่ฉลาดกว่าเจ้า” องค์หญิงอันจี๋หัวเราะเยาะหยันไปหนหนึ่ง กล่าวว่า “ในเมื่อหมิ่นอีนั่วและหลิวรั่วเหยียล้วนเตือนเจ้าว่าอย่าได้มาหาเรื่องกับเว่ยฉางอิ๋งอีกต่อไปแล้ว เหตุใดเจ้ายังไปฟ้องชิงซินอีก? เว่ยฉางอิ๋งไม่เข้าใจว่าเจ้าเป็นคนเช่นใด แต่เจ้าจะปิดบังข้าได้รึ?!”
ด้วยเหตุที่องค์หญิงอันจี๋ไม่เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ ท่านหญิงเจินอี้พระมารดาของนางก็ไม่เป็นที่รักใคร่มาหลายปีแล้ว แม้นางจะเป็นกิ่งทองใบหยกโดยแท้ ทว่าฐานะที่แท้จริงกับไม่ได้สูงส่ง ยิ่งเพราะความร้ายกาจและดุร้ายของนาง ทำให้บรรดาสตรีชั้นสูงไม่ชอบคบค้ากับนาง ก็เหมือนกับในศาลาเมื่อครู่นี้ที่สตรีชั้นสูงโดยมากจะไปห้อมล้อมองค์หญิงหลินชวน แต่กลับไม่มีคนกล้าไปสนทนากับองค์หญิงอันจี๋เช่นนั้น
ทุกคนล้วนนึกคิดกันไปว่าองค์หญิงอันจี๋ต้องไม่สนิทสนมกับบรรดาสตรีชั้นสูงมากนัก ไม่คิดว่าองค์หญิงอันจี๋กลับเข้าใจเว่ยฉางเจวียนเป็นอย่างมาก? เว่ยฉางอิ๋งมองพวกนางด้วยความประหลาดใจหนหนึ่ง แล้วเอ่ยเตือนว่า “องค์หญิงเพคะ คราก่อนในวันออกเรือนของลูกผู้พี่ซูของหม่อมฉัน ฉางเจวียนนางนั่งอยู่กับหลิวรั่วเหยียเพคะ”
“ดูท่าว่าเป็นหลิวรั่วเหยียให้เจ้าทำเช่นนี้?” องค์หญิงอันจี๋ได้ยินคำพลันขมวดคิ้ว คล้ายไม่ใคร่พอใจนัก และไม่รู้ว่าที่ไม่พอใจนี้เป็นเพราะหลิวรั่วเหยียหรือเป็นเพราะเรื่องเรื่องนี้ …นางนิ่งคิดพักหนึ่ง แล้วยกเท้าขึ้นเตะเว่ยฉางเจวียน พลางตวาดไปว่า “ยังไม่รีบพูดอีก?!”
เว่ยฉางเจวียนหันไปมองลูกผู้พี่ด้วยสายตาวิงวอน ครานี้นางกลับหวังว่าเว่ยฉางอิ๋งจะเผื่อแผ่ความเมตตามาช่วยนางพูดเสียแล้ว ทว่าเว่ยฉางอิ๋งกลับไม่มีเหตุผลใดต้องไปสนใจเรื่องที่นางขอความช่วยเหลือ เว่ยฉางเจวียนพลันหมดหวังลงทันใด จึงได้แต่พูดว่า “พี่หลิวและพี่หมิ่นล้วนให้หม่อมฉันมาก้มหัวให้ลูกผู้พี่ แต่หม่อมฉันไม่ยินยอม จึงไปรบเร้าถามวิธีจัดการลูกผู้พี่เอากับพวกนาง พี่หมิ่นไม่ยอมบอก แต่พี่หลิวทนหม่อมฉันรบเร้าไม่ไหวจึงปรามหม่อมฉันว่า แม้แต่บรรดาองค์หญิงก็จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ นอกเสียจากองค์หญิงชิงซินซึ่งพระชันษาน้อยที่สุด แต่ก็ไม่แนะนำให้หม่อมฉันทำเช่นนี้ หม่อมฉันจึง….”
…เว่ยฉางอิ๋งและองค์หญิงอันจี๋ต่างพากันหมดคำพูด แม้หลิวรั่วเหยียจะมีเจตนาไม่ดี แต่คำพูดนี้ก็บอกว่านางยอมเข้าไปติดเบ็ดเสียเอง เว่ยฉางเจวียนกลับยังคงมองไม่ออก เด็กสาวผู้นี้คงจะไม่ได้ไม่มีสมองจริงๆ หรอกนะ?
องค์หญิงอันจี๋คิดสักพัก กล่าวว่า “ที่เจ้าบอกว่าไม่ยินยอม ที่แท้แล้วเพราะไม่ยอมแพ้ และที่ไม่ยอมแพ้เช่นนี้ก็เพราะพี่หลิวผู้นั้นคอยยุยงเจ้าอยู่เรื่อยๆ กระมัง? เป็นพวกโง่โดยแท้ เช่นเดียวกับชิงซิน โดยคนจูงจมูกเดินไปทั่วก็ยังไม่รู้ตัว เจ้าก็โตกว่านางหลายปี จึงสามารถจูงจมูกชิงซินไปได้ ทว่าเจ้าก็อย่าลืมว่าชิงซินเป็นคนที่มีเสด็จแม่หนุนหลังอยู่ วันนี้เจ้าทำร้ายนางหนักหนาเพียงนั้น รอเสด็จแม่ไปคิดบัญชีกับเจ้าเถิด!”
เว่ยฉางเจวียนอยากบอกว่า องค์หญิงชิงซินไม่ใช่องค์หญิงท่านเป็นคนตีจนบาดเจ็บหรอกหรือ? แต่หากจะให้พูดคำเช่นนี้ต่อหน้าองค์หญิงอันจี๋ ให้นางหยิบยืมความกล้ามาอีกสักสิบเท่านางก็ยังไม่กล้าพูดเลย จึงได้แต่งึมงำไปว่า “หม่อมฉัน…หม่อมฉันรู้ผิดแล้วเพคะ”
องค์หญิงอันจี๋กล่าวว่า “ความจริงแล้วข้าไม่ได้สนใจเลยสักนิดว่าเจ้าจะรู้ผิดหรือไม่รู้ผิด เพราะไม่ว่าเจ้าจะรู้ผิดหรือไม่ ข้าอยากจะลงโทษเจ้าก็จะลงโทษอยู่ดี”
“…พี่สาม ช่วยข้าด้วย!” เว่ยฉางเจวียนได้ยินก็ร้อนรนหนัก และไม่ได้สนหน้าตาอันใดอีกแล้ว หันไปร้องเรียกเว่ยฉางอิ๋งขึ้นมาทันใด
เว่ยฉางอิ๋งยิ้มแล้วว่า “องค์หญิงก็ยังมิได้ทำอันใดเจ้า ยามนี้เจ้ามาร้องขอให้ช่วยไม่รู้สึกว่าเร็วไปหน่อยรึ?”
องค์หญิงอันจี๋ได้ยินคำก็หันไปมองนางหนหนึ่ง พยักหน้าอย่างพึงพอใจแล้วว่า “เช่นนี้ค่อยเหมือนภรรยาเสิ่นจั้งเฟิงขึ้นสักหน่อย ไม่เหมือนกับพวกฮูหยินสูงศักดิ์ที่เอาแต่แสร้งวางท่าพยายามทำตัวว่าเพียบพร้อมดีงามทำให้คนคลื่นไส้”
เว่ยฉางอิ๋งได้ยินคำนี้ก็คิดว่า หรือที่องค์หญิงพระองค์นี้ช่วยข้าเพราะมีสาเหตุจากท่านพี่? แต่ท่านพี่ก็ไม่เคยเอ่ยถึงองค์หญิงอันจี๋มาก่อนเลยนี่!
ในขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น องค์หญิงอันจี๋กลับคล้ายว่าหมดสนุกจะเอาเรื่อง เว่ยฉางเจวียนต่อไปแล้ว จึงคลายเท้าออก แล้วว่า “เจ้าจัดแจงตนเอง แล้วกลับไปที่นั่งเจ้าเสีย! อย่าลืมว่าวันนี้เป็นดีของลูกผู้พี่เฉิงเสียนของข้า หากกลับไปแล้วยังเกิดเรื่องอีก วันนี้ข้าก็จะเปลื้องเสื้อผ้าเจ้าออกจนหมด แล้วเอาเจ้าไปโยนไว้บนถนน!”
เว่ยฉางเจวียนทั้งคลานทั้งเดินอย่างตื่นตกใจ พูดย้ำแล้วย้ำอีกว่า “หม่อมฉันมิกล้า! หม่อมฉันมิกล้าเพคะ! หม่อมฉันจะบอกว่าตนเองเดินไม่ระวังจนหกล้มเอา ไม่เกี่ยวกับผู้ใดเลยเพคะ!”
รอจนนางเดินไปไกลแล้ว เว่ยฉางอิ๋งจึงเก็บสายตากลับมา แล้วหันไปมององค์หญิงอันจี๋ที่ดูมีท่าทีเจ้าเล่ห์… ทั้งสองคนสบตากันอยู่นาน แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน องค์หญิงอันจี๋ก็ไม่วางท่าอย่างองค์หญิงแล้ว กล่าวว่า “คิดว่าเจ้าคงมองออกแล้ว ว่าที่ข้าตามมาก็เพื่อจะมาหาเจ้า”
เว่ยฉางอิ๋งพยักหน้า ยิ้มแล้วว่า “ความจริงแล้ว เมื่อครู่นี้ข้าก็รู้สึกแปลกใจนัก เพราะแม้จะไม่อาจบอกได้ว่าข้าและองค์หญิงมองกันไม่ออก ทว่าต่างฝ่ายต่างก็มิเคยคบค้ากันมาก่อน แล้วเหตุใดองค์หญิงจึงมาช่วยข้า กระทั่งทรงมาลงไม้ลงมือกับองค์หญิงชิงซินด้วย? เพราะสามีของข้าหรือเพคะ?”
“เสิ่นจั้งเฟิงน่ะหรือ ข้าเคยพบเขาที่หน้าพระที่นั่งเสด็จพ่อสองครั้ง” องค์หญิงอันจี๋เอ่ยเรียบๆ “ผู้ถวายงานต่อหน้าพระพักตร์ล้วนรู้จักเรื่องควรไม่ควรดี มิได้มีท่าทีไม่เคารพ ด้วยเสด็จแม่ข้าไม่เป็นที่ทรงโปรดและข้าเองก็มิได้รับความสำคัญจากเสด็จพ่อ ทว่าแค่รู้จักกันเพียงน้อยนิดเท่านี้ แล้วจะให้ข้าไปช่วยจ้า เรื่องนั้นก็ห่างไกลกันลิบลับแล้ว”
องค์หญิงอันจี๋บอกว่าตนไม่ใช่คนที่เสียสละตนเองเพื่อผู้อื่น เว่ยฉางอิ๋งก็ไม่ได้รู้สึกคาดไม่ถึงใดๆ แต่กลับยิ่งสงสัยว่าเหตุใดนางจึงมาช่วยตน “เช่นนั้นเมื่อครู่นี้ องค์หญิง?”
“ที่ตีชิงซินไปเมื่อครู่นี้ ก็เพราะนางรนหาที่เอง!” องค์หญิงอันจี๋ยื่นนิ้วไปจัดผมที่ถูกลมพัดจนยุ่งเหยิง เอ่ยเรียบๆ ว่า “ต่อหน้าข้า กล้ามาลบหลู่พระมารดา ไม่ตีนางแล้วจะให้ตีผู้ใด? เดิมทีข้าก็เพียงอยากพูดไกล่เกลี่ยให้เจ้าสักคำเท่านั้น”
เว่ยฉางอิ๋งคิดในใจ คำไกล่เกลี่ยของเจ้าก็รุนแรงเกินไปหน่อยนะ พอเปิดปากออกมาก็บอกว่าองค์หญิงน่าขายหน้า… องค์หญิงชิงซินถูกประคบประหงมจนเคยตัวออกปานนั้น เมื่อนับไปแล้วซูเนี่ยนชูก็เป็นหลานตาแท้ๆ ของฮ่องเต้ นางเป็นคนแนะนำให้องค์หญิงชิงซินเรียนวาดภาพแบบดานชิง แต่เป็นองค์หญิงที่ไม่อดทนเอง เรียนไปได้สองวันเมื่อไม่เป็นผลก็วิ่งไปฟ้องฮ่องเต้ ฮ่องเต้ไม่เพียงไม่สั่งสอนนางว่าต้องรู้จักมีความพยายาม กลับตำหนิบุตรเขยว่าไม่ดูแลอบรมบุตรสาวให้ดี ปล่อยให้ไปออกความคิดเห็นให้องค์หญิงส่งเดชจนทำให้องค์หญิงรำคาญพระทัย
องค์หญิงชิงซินที่ถูกเอาอกเอาใจจนเหลิงเช่นนี้ จะทนให้พี่สาวบุตรอนุที่ไม่เป็นที่รักใคร่มาต่อว่าตนเองว่า ‘น่าขายหน้า’ ต่อหน้าธารกำนัลได้ที่ใดกัน? มิใช่ว่านางจะกระโจนเข้าไปบีบคอองค์หญิงอันจี๋ในทันใดหรอกหรือ
เว่ยฉางอิ๋งจึงถามว่า “ข้าขอบังอาจถามองค์หญิงว่า เหตุใดจึงมาไกล่เกลี่ยให้ข้าเพคะ?”
องค์หญิงอันจี๋กลับตอบว่า “ใช่แล้ว ข้าเองก็อยากรู้เหมือนกัน เพราะเหตุใดเล่า?”
เว่ยฉางอิ๋งตกตะลึง แล้วได้ยินองค์หญิงอันจี๋เอ่ยอย่างเอ้อระเหยลอยชายว่า “แต่ว่าหลินชวนชอบว่างท่าเป็นองค์หญิงเปี่ยมความสามารถ แต่เล็กก็พยายามหนักหนาที่จะผูกมัดจิตใจพวกสตรีชั้นสูง แต่ไรมานางจึงได้รับข่าวสารต่างๆ ว่องไวนัก และไม่เคยทำเรื่องผิดๆ เลย ดังนั้น ตอนที่เดินมาเมื่อครู่นี้ ข้าเห็นว่านางก็ยังช่วยพูดให้เจ้า จึงคิดว่าเมื่อช่วยเจ้าแล้วอาจมีผลดีอันใดบ้างกระมัง?”
เมื่อเห็นเว่ยฉางอิ๋งทำหน้าว่าเรื่องนี้เกินความคาดหมายของนาง องค์หญิงอันจี๋ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย กล่าวว่า “หรือว่าไม่มีผลดีอันใดรึ? คงมิใช่ว่าหลินชวนจงใจทำร้ายข้าหรอกนะ? พี่นางของข้าผู้นี้ ชอบว่างท่าว่าฉลาด ความจริงแล้วในสายตาข้า นางก็เป็นเพียงแค่ปลอกหมอนที่ปักลายดอกไม้เท่านั้น ตามหลักแล้วก็ไม่ควรจะมีปัญญาเพียงนี้นี่? หรือว่าระยะนี้นางไปฟังความคิดลำเลิศจากผู้ใดมา กล้ามาเล่นเล่ห์กับข้าเสียแล้ว?” ว่าแล้วก็ขมวดคิ้ว กำหมัดแน่น ดูท่าทางเช่นนี้แล้วคล้ายนางกำลังคิดจะกลับไปชกองค์หญิงหลินชวนสักตั้งในทันทีทันใดโทษฐานที่ทำให้ตนเข้าใจผิด
______________________________