ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 142-1 เว่ยฉางหว่าน
เมื่อออกมาจากหลังภูเขาเทียม เว่ยฉางเจวียนหันหน้ากลับไปดูอย่างกังวลและหวาดผวา เมื่อแน่ใจว่าองค์หญิงอันจี๋ไม่ได้เกิดเสียใจและไล่ตามมาจึงได้โล่งออก นางสะอึกสะอื้นไปหาพุ่มไม้ดูแลจัดแจงตนเองสักหน่อย เพราะกระจกและหวีล้วนอยู่ที่สาวใช้ เวลานี้นอกจากดึงจัดกระโปรงให้เข้าที่ ปัดฝุ่นดินบนหัวออกแล้วก็ไม่อาจจัดแจงตนเองได้มากกว่านี้
นางตั้งสติอยู่เป็นนาน จึงกล้าเดินออกมาจากพุ่มไม้ พยายามวางท่าอย่างสุดกำลังประหนึ่งว่าไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นและกลับขึ้นไปบนระเบียบทางเดินที่ไปยังศาลา สาวใช้ของพวกนางทั้งสองคนที่ถูกทิ้งให้อยู่ที่นี่กำลังยืนประจันหน้ากัน เมื่อเห็นว่านางมา สาวใช้ที่ดูแลนางก็รีบพุ่งตัวเข้าไปหา “คุณหนูเจ็ด ท่านกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ? เมื่อครู่นี้คุณหนูใหญ่ส่งคนมาเรียกท่าน เมื่อทราบว่าท่านออกไปกับคุณหนูสามก็เป็นห่วงเสียยิ่งนักเจ้าค่ะ!”
“แม่นางผิงลวี่พูดจาให้ระวังสักหน่อย!” ยังไม่ทันสิ้นเสียงของสาวใช้ผู้นี้ ฉินเกอที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งกลับทนไม่ไหวและเอ่ยเสียงแข็งขึ้นมา “ฮูหยินน้อยของพวกเราและคุณหนูเจ็ดบอกว่าจะออกไปด้วยกัน เหตุใดจึงมีแต่คุณหนูเจ็ดท่านกลับมาผู้เดียว? ฮูหยินน้อยของพวกเราอยู่ที่ใดเล่า?”
สัญชาตญาณของเว่ยฉางเจวียนคิดอยากหันไปต่อว่าฉินเกอ… ทว่าเมื่อคำพูดมาถึงริมฝีปาก ก็นึกถึงคำขององค์หญิงอันจี๋ที่บอกว่า ‘อย่าลืมว่าวันนี้เป็นดีของลูกผู้พี่เฉิงเสียนของข้า หากกลับไปแล้วยังเกิดเรื่องอีก วันนี้ข้าก็จะเปลื้องเสื้อผ้าเจ้าออกจนหมดและเอาเจ้าไปโยนไว้บนถนน’ นางก็ตัวสั่นงันงกขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว คำพูดนี้หากเป็นเว่ยฉางอิ๋งพูด นางก็ยังกล้าสาบานพอให้รอดไปได้ แต่องค์หญิงอันจี๋นั้นเคยเปลื้องผ้าสตรีชั้นสูงผู้หนึ่งมาแล้วจริงๆ!
นางจึงตื่นกลัวขึ้นมา หลังจากข่มความโกรธลงแล้ว กล่าวว่า “เมื่อครู่นี้ข้าเผลอหกล้มอยู่ในสวน พี่สามได้พบกับองค์หญิงอันจี๋ ข้าจึงกลับออกมาเอง”
“คุณหนูเจ็ดท่านหกล้มหรือเจ้าคะ?” ผิงลวี่รู้ว่าเว่ยฉางเจวียนคอยพยายามหาเรื่องเว่ยฉางอิ๋งมาโดยตลอด จึงนึกคิดไปเองว่านี่จะเป็นโอกาสต่อขั้นบันไดให้แก่เจ้านาย นางจึงร้องเอะอะเสียงดังขึ้นมา “เช่นนั้น เหตุใดคุณหนูสามถึงได้ให้ท่านกลับมาตามลำพังเล่าเจ้าคะ? ก่อนหน้านี้คุณหนูสามก็ให้พวกเข้าน้อยรออยู่ที่นี่! หรือเป็นเพราะว่าคุณหนูสามได้พบกับองค์หญิงอันจี๋ จึงทิ้งท่านเอาไว้ไม่สนใจแล้วเจ้าคะ?”
พวกของเฉินเกอพากันขมวดคิ้ว ตามที่พวกนางรู้จักเว่ยฉางอิ๋ง ต่อให้ไปสั่งสอน เว่ยฉางเจวียนก็จะไม่มีทางทำเรื่องให้ตกเป็นขี้ปากเช่นนี้ อีกประการเว่ยฉางเจวียนก็มีท่าทีเหมือนอยากพูดอะไรบางอย่างก่อนหน้านี้… ไม่แน่ว่านางจะถูกองค์หญิงอันจี๋ตีเอาเสียแล้ว แต่เพราะต้องการรักษาหน้าตาจึงพูดออกมาเช่นนี้ นางจึงเอ่ยไปอย่างเย็นชาว่า “ใช่แล้วเจ้าค่ะ คุณหนูเจ็ด ต้องขอให้ท่านพูดออกมาให้ชัดเจน เดิมทีเป็นท่านออกไปกับ ฮูหยินน้อยของพวกเรา แต่ยามนี้ท่านกลับมาผู้เดียว แต่กลับทิ้งให้ ฮูหยินน้อยของพวกเราให้อยู่กับสนทนากับ องค์หญิงอันจี๋ นี่เป็นเรื่องใดกันเจ้าคะ?”
เดิมทีก็มีสาวใช้ของคนอื่นๆ อยู่บนระเบียงทางเดินด้วย เมื่อได้ยินคำต่างพากันมีสีหน้าเห็นใจพวกของฉินเกอ นั่นเพราะหากไปพบกับองค์หญิงพระองค์อื่น ก็อาจเดาได้ว่าเว่ยฉางอิ๋งอยากสนทนากับคนชั้นกิ่งทองใบหยกตามลำพัง จึงจงใจให้น้องสาวกลับไป แต่องค์หญิงอันจี๋นั้น…. ผู้ใดจะไม่รู้ว่านางเป็นคนประเภทที่เพียงมองเห็นอยู่ไกลๆ ก็ยังต้องรีบเดินอ้อมไปในทันทีทันใด?
ดังนั้นพี่น้องตระกูลเว่ยออกไปด้วยกัน แต่เวลานี้ เว่ยฉางเจวียนกลับออกมาคนเดียว และบอกว่าก่อนหน้านั้นนางได้พบกับองค์หญิงอันจี๋ ไม่แน่ว่าสองพี่น้องไปทำสิ่งใดให้องค์หญิงอันจี๋ไม่พอใจเข้า แต่แล้วเมื่อเว่ยฉางเจวียนถูกจัดการ นางก็หนีรอดออกมาได้ น่าสงสารคุณหนูสามบ้านเว่ย ซึ่งเป็นฮูหยินน้อยสามบ้านเสิ่นที่เวลานี้ตกอยู่ในเงื้อมือขององค์หญิงอันจี๋ ไม่รู้ว่าจะลงเอยเช่นใด!
เว่ยฉางเจวียนมองเห็นสีหน้าของทุกคน เพียงแค่คิดดูก็เข้าใจแล้ว นางรู้สึกอับอายและเคืองโกรธผสมปนเปอยู่ในใจ แล้วขบริมฝีปากแรงๆ กล่าวว่า “พวกเราไปเจอกับองค์หญิงอันจี๋ก่อน จากนั้น… เมื่อเห็นว่าพี่สามและองค์หญิงอันจี๋สนทนากันออกรสออกชาตินัก ข้าจึงได้กลับมาก่อน ปรากฏว่าระหว่างทางไม่ระวังจึงได้หกล้ม เกรงว่าพี่สามก็ยังไม่รู้เรื่องนี้เลย”
คำพูดเช่นนี้พอถูไถไปได้ แต่จะมีคนเชื่อสักกี่คนก็ไม่รู้ …สรุปก็คือพอพวกฉินเกอทั้งสี่คนสบตากันแล้วก็ยังบอกว่า “พวกเราไปดูหน่อยเถิด”
แม้จะพูดได้ว่าต่อให้องค์หญิงอันจี๋ดุร้ายเพียงใด ก็ไม่มีทางเอาชนะเว่ยฉางอิ๋งไปได้ แต่ผู้ใดใช้ให้นางมีฐานะเป็นถึงกิ่งทองใบหยกเล่า?
เมื่อฉินเกอทั้งสี่คนจากไปดังนั้นแล้ว คนที่เหลือก็ยิ่งเชื่อเป็นจริงเป็นจังว่า เมื่อเว่ยฉางเจวียนได้พบองค์หญิงอันจี๋ก็ทิ้งพี่สาวเอาไว้และหนีออกมา เว่ยฉางเจวียนรู้สึกสับสนว้าวุ่นใจนัก นางยืนงุนงงอยู่บนระเบียงทางเดินไปชั่วขณะ ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรจึงจะดี ดีที่เว่ยฉางหว่านยังเฝ้านึกถึงน้องสาวที่ถูกเว่ยฉางอิ๋งพาออกไปเพียงลำพัง จึงนั่งคอยอยู่ที่ศาลา ยามนี้ได้ยินข่าวจึงรีบมาดู นางเห็นว่าเสื้อผ้าของน้องสาวไม่เรียบร้อย เครื่องประดับก็บิดเบี้ยวไปหมด บนหน้าตาในส่วนที่ไม่เป็นที่สังเกตนักก็มีฝุ่นดินติดอยู่เล็กน้อย… ทั้งยังได้ยินสาวใช้ที่อยู่บนระเบียบทางเดินพากันแอบพูดบางสิ่งเกี่ยวกับ ‘องค์หญิงอันจี๋’ นางก็พลันใจหายวาบ แล้วรีบเข้าไปดึงตัวเว่ยฉางเจวียนมา กล่าวว่า “เหตุใดจึงหกล้ม? พวกเรารีบไปแต่งเนื้อแต่งตัวให้เรียบร้อยในห้องทางด้านหลังสักหน่อยเถิด อย่าทำให้เสียเวลาไปร่วมงานเลี้ยงในช่วงต่อไปเลย”
นางดึงตัวเว่ยฉางเจวียนเข้าไปในห้อง แล้วให้สาวใช้ตรวจสอบดูว่าทั้งในและนอกห้องไม่มีคนแล้ว จึงปิดประตูลงกลอน แล้วค่อยเอ่ยถามเสียงเบาๆ ว่า “เป็นเรื่องใดกันแน่? เว่ยฉางอิ๋งตีเจ้าหรือ?”
ยามนี้เว่ยฉางเจวียนจึงน้ำตาร่วง สะอื้นบอกว่า “ยังมี องค์หญิงอันจี๋
ด้วย”
เว่ยฉางหว่านสะดุ้งตกใจ “องค์หญิงอันจี๋? เว่ยฉางอิ๋งไม่น่าเคยพบกับองค์หญิงอันจี๋สักกี่หน เหตุใดนางจึงไปเป็นพวกกับองค์หญิงอันจี๋ได้?”
“ข้าจะไปรู้ได้ที่ใด?” เว่ยฉางเจวียนร่ำไห้พลางว่า “เว่ยฉางอิ๋งลากข้าไปที่หลังภูเขาเทียมทั้งตีทั้งขู่ข้า แล้วก็ปล่อยข้ากลับมา ปรากฏว่าข้าเพิ่งจะเดินไปข้างหน้าได้สองก้าว ก็ไปพบกับองค์หญิงอันจี๋เข้า ยังไม่ทันคารวะนางเลย องค์หญิงอันจี๋ก็ยกข้าขึ้นมาถีบขาจนล้มลงกับพื้น แล้วนางยังเอาเท้าเหยียบชายกระโปรงข้าไว้ไม่ให้ข้าลุกขึ้นด้วย… เมื่อคิดว่าตนถูกบิดามารดาพี่ชายพี่สาวเอาอกเอาใจรักใคร่เป็นหมื่นเท่ายามอยู่ในบ้าน พอเข้าวังไป ยามอยู่ต่อหน้าองค์หญิงหลินชวนและองค์หญิงชิงซินก็มีหน้ามีหน้ายิ่งนัก วันนี้กลับถูกองค์หญิงอันจี๋เตะถีบตามอำเภอใจ เว่ยฉางเจวียนก็รู้สึกเคียดแค้นในใจเป็นที่สุด
สีหน้าของเว่ยฉางหว่านกลับเคร่งเครียดขึ้นมา กล่าวว่า “เจ้ารู้หรือไม่? วันนี้เจ้าไปยุยงให้องค์หญิงชิงซินไปหาเรื่องเว่ยฉางอิ๋ง เจ้าว่านางเอาตัวรอดมาได้อย่างไร?”
จนยามนี้เว่ยฉางเจวียนก็ยังไม่รู้เรื่องที่องค์หญิงอันจี๋ไปตีองค์หญิงชิงซิน จึงบอกว่า “ได้ยินว่าพระมารดาท่านอ๋องรุ่นและพระชายาท่านอ๋องรุ่นพากันรีบไป คงเพราะพวกนางไปไกล่เกลี่ยรอมชอมกระมัง”
“ระหว่างนั้นเป็นองค์หญิงอันจี๋ไปด่าว่าองค์หญิงชิงซิน แล้วองค์หญิงทั้งสองพระองค์ยังลงไม้ลงมือวิวาทกันต่อหน้าธารกำนัล” เว่ยฉางหว่านถอนหายใจ กล่าวว่า “สู้กันไปสู้กันมา องค์หญิงชิงซินก็ลืมเรื่องของเว่ยฉางอิ๋งไปเสียแล้ว และถูกพระชายาท่านอ๋องรุ่นปะเหลาะให้เข้าไปใส่ยา ฉะนั้นนางจึงไม่ได้มาที่ศาลาแห่งนี้”
เว่ยฉางเจวียนกล่าวอย่างตกใจว่า “เหตุใดจึงเป็นองค์หญิงอันจี๋อีกแล้ว?”
“ดูไปแล้วคล้ายว่าองค์หญิงอันจี๋เป็นคนร้ายกาจดุร้าย ทั้งทำการโดยไม่คิด แต่ความจริงแล้วนางปราดเปรื่องนัก” เว่ยฉางหว่านหัวเราะเยาะหนหนึ่ง กล่าวว่า “หาไม่แล้ว ลำพังแค่เรื่องที่ฮ่องเต้โปรดนางเพียงเล็กน้อย อีกทั้งฐานะของท่านหญิงเจินอี้ที่ไม่เป็นที่รักของฮ่องเต้มานานแล้ว แล้วนางยังจะคิดหวังให้สตรีชั้นสูงทั่วเมืองหลวงพากันเกรงกลัวนางจนถึงขั้นนี้หรือ? นางไม่สนิทสนมกับเว่ยฉางอิ๋ง ไม่สิ องค์หญิงพระองค์นี้ไม่มีสตรีชั้นสูงที่นางสนิทสนมด้วยเลย และไม่ว่านางไปที่ใดก็ไม่ได้ทำตัวน่าคบหาด้วย! แต่จู่ๆ นางก็มาช่วยเว่ยฉางอิ๋ง ที่ทำเช่นนี้ต้องเป็นเพราะมีผลประโยชน์ใดแน่ๆ”
เว่ยฉางหว่านเอ่ยเสียงเย็นเฉียบว่า “ยิ่งไปกว่านั้นต้องไม่ใช่ผลประโยชน์ธรรมดาทั่วไปแน่ ต้องเป็นผลประโยชน์ที่คุ้มค่าให้นางไปตีองค์หญิงชิงซิน ซึ่งถือว่าเป็นการล่วงเกินฮองเฮาไปพร้อมกันด้วย!”
เว่ยฉางเจวียนตื่นตกใจหนักหนา โพล่งถามออกไปว่า “หรือท่านปู่ตัดสินใจยกรุ่ยอวี่ถัง…” นี่เป็นเรื่องที่นางเป็นห่วงมากที่สุด ว่าเว่ยเซิ่งอี๋บิดาของนางจะได้รับสืบทอดรุ่ยอวี่ถังหรือไม่… ทว่าเพียงพูดไปได้ครึ่งหนึ่งก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง แล้วพึมพำไปว่า “แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ แล้วจะมีผลประโยชน์อันใดกับองค์หญิงอันจี๋?”
————————————–