ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 142-2 เว่ยฉางหว่าน
“องค์หญิงอันจี๋ก็ถึงวันที่ต้องอภิเษกแล้ว” เพราะเว่ยฉางหว่านโตแล้ว เพียงนางกรอกตาหนหนึ่ง ก็นึกถึงความเป็นไปได้หนึ่งขึ้นมาทันใด “เว่ยฉางเฟิง… มิใช่ว่ามีอายุไล่เลี่ยกับองค์หญิงอันจี๋ ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังไม่ได้หมั้นหมาย?”
เว่ยฉางเจวียนเอ่ยว่า “พี่ใหญ่ แต่ว่าองค์หญิงอันจี๋ไม่ได้เป็นที่โปรดปรานของ ฮ่องเต้นะเจ้าคะ! หากเป็นองค์หญิงหลินชวนก็ยังว่าไปอย่าง”
เว่ยฉางหว่านส่ายหน้ากล่าวว่า “เจ้าไม่อาจมองแค่ว่าเป็นที่โปรดปรานหรือไม่ องค์หญิงหลินชวนและองค์หญิงชิงซินย่อมเป็นที่พอพระทัยของฮ่องเต้มากกว่าแน่นอน แต่เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ว่า ทั่วเมืองหลวงล้วนบอกว่า องค์หญิงหลินชวนเปี่ยมด้วยความสามารถเป็นกุลสตรีเพียบพร้อมดีงาม องค์หญิงชิงซินงดงามหาใดเปรียบทั้งยังไร้เดียงสาน่ารัก คล้ายไม่มีสักคนที่ชมเชยองค์หญิงอันจี๋ซึ่งอยู่ระหว่างกลางเลย แต่ในบรรดาองค์หญิงทั้งสาม ผู้ที่ทำให้ทุกคนไม่กล้าเพิกเฉยต่อนางเป็นที่สุดกลับคือ องค์หญิงอันจี๋!”
นางเอ่ยช้าๆ ว่า “เล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิงขององค์หญิงอันจี๋ มิใช่องค์หญิงหลินชวนหรือองค์หญิงชิงซินจะเทียบเทียมได้! ทั่วเมืองหลวงล้วนรู้ว่าทั้งนางและท่านหญิงเจิ้นอี้ไม่เป็นที่รักของฮ่องเต้ แต่นางก็ยังมีชีวิตอยู่อย่างไม่เลวเลย …ทำให้คนทั้งนอกวังในวังล้วนไม่กล้าดูแคลนตำหนักโต่วจิ่นที่พวกนางแม่ลูกพำนักอยู่! เจ้าลองดูสิ องค์หญิงหลิงเซียนก็ไม่เป็นที่รักของฮ่องเต้เช่นกัน นางอายุมากว่าองค์หญิงอันจี๋เกือบหนึ่งปี มิใช่ว่านางกลับมีชีวิตที่เงียบเหงาไร้ข่าวคราวเพียงใด? ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่ามีสนมกำนัลในวังที่ไม่เป็นที่โปรดปรานแล้วอีกมากมายเพียงใดที่ต้องเข้าไปอยู่ในตำหนักเย็น! แต่ไรมาก็เห็นว่าท่านย่าแท้ๆ ของพวกเราผู้นั้นดูจะมีอายุยืนยาวนัก แม้การเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ย่อมเป็นเรื่องที่สำคัญไม่เบา ทว่า พูดคำแสลงใจสักคำ ฮ่องเต้ก็ทรงพระชันษามากแล้ว…”
“อีกประการ เวลานี้เว่ยฉางเฟิงจะกล้ามาที่เมืองหลวงหรือไม่ก็ยังไม่แน่ หรือต่อให้มาก็ไม่แน่ว่าจะอยู่ที่เมืองหลวงไปชั่วชีวิต หากวันใดต้องถูกส่งไปทำงานในที่ที่ห่างไกลจากเมืองหลวงมาก ว่ากันว่าฟ้าอยู่สูงฮ่องเต้อยู่ไกล[1] ..หากต้องพึ่งพาผู้อื่น อย่างไรก็ไม่น่าเชื่อถือเท่ากับตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ท่านลุงใหญ่มีทายาทแค่เพียงเว่ยฉางอิ๋งสองพี่น้อง เว่ยฉางอิ๋งแต่งงานแล้ว ยามนี้เว่ยฉางเฟิงก็อายุสิบหกแล้ว แต่กลับยังไม่ได้หมั้นหมาย นี่ต้องเป็นเพราะท่านย่ามีหลายชายแท้ๆ เพียงคนเดียว จึงต้องพยายามจัดการเรื่องแต่งงานที่ยิ่งใหญ่และดีงามให้แก่เขาอย่างเต็มกำลัง ปรากฏว่าเอาไปเอามากลับทำให้ล่วงเลยเวลามาจนบัดนี้!”
เว่ยฉางเจวียนรีบถามว่า “พี่ใหญ่ องค์หญิงอันจี๋ดุร้ายเพียงนั้น หากฉางเฟิงแต่งกับนาง แล้วจะไหวหรือเจ้าคะ? ต้องหาทางยับยั้งเรื่องนี้!” ล้อเล่นอันใดกัน เวลานี้ องค์หญิงอันจี๋ยังไม่ทันมีความสัมพันธ์ใดกับนางก็ลงไม้ลงมือกับนางแล้ว หากกลายมาเป็นพี่สะใภ้บ้านลุงขึ้นมาจริงๆ และวันหน้าก็ยังจะกลายมาเป็นฮูหยินประมุขตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจว เว่ยฉางเจวียนไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าชีวิตของตนในภายภาคหน้าจะต้องตกน้ำลุยไฟเพียงใด!
เว่ยฉางหว่านพยักหน้า “เรื่องนี้ต้องทำอยู่แล้ว”
“แล้วจะทำเช่นใดเจ้าคะ?” เว่ยฉางเจวียนถามอีก
เว่ยฉางหว่านมองนางหนหนึ่ง แล้วเอาผ้าเช็ดหน้าเช็ดดินบนใบหน้านางออก เอ่ยตำหนิไปว่า “จะทำเช่นใด ข้ากลับไปก็จะไปหารือกับท่านแม่ เจ้าเป็นบุตรสาวคนเล็ก เรื่องเหล่านี้ปล่อยให้พวกเราจัดการเถิด เจ้าอย่ามายุ่งเลย!” แล้วต่อว่านางว่า “ครานี้เจ้าเอาแต่คอยหาเรื่องฉางอิ๋งหนแล้วหนเล่า ทั้งยังลากองค์หญิงชิงซินลงน้ำไปด้วย ไม่จำเป็นเลยจริงๆ!”
เว่ยฉางเจวียนไม่ยอมใจ กล่าวว่า “ทุกครั้งที่พวกท่านหารือกันว่าจะจัดการท่านย่าและบ้านใหญ่เช่นใดล้วนไม่ยอมบอกข้า ความจริงแล้วข้าก็มิได้เป็นคนพูดจาส่งเดชเช่นพี่ชายรองสักหน่อย!”
คำพูดนี้ทำเอาเว่ยฉางหว่านต้องขมวดคิ้วน้อยๆ นางเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า “ความนี้ วันหน้าเจ้าอย่าได้พูดอีก! เจ้าไม่รู้ว่าพี่ชายรองต้องเสียใจด้วยเรื่องนี้มากี่ปี! จนถึงตอนนี้ก็ยังคงรู้สึกผิดต่อท่านพ่อและพี่ชายสามอยู่เลย!”
เว่ยฉางเจวียนเอ่ยคำออกไปก็รู้สึกว่าตนพลั้งปากเช่นกัน พลันขบริมฝีปาก กล่าวว่า “เจ้าค่ะ” แล้วบอกว่า “ความจริงแล้วก็เป็นเพราะท่านย่าไม่ดี สุขภาพของท่านลุงใหญ่ไม่ดีมาแต่ไร ครั้งนั้นผู้ใดจักคิดว่าเขายังจะมีบุตรชายบุตรสาวได้? ท่านพ่อจึงคิดจะยกพี่ชายสามให้ไปเป็นบุตรบุญธรรมของท่านลุงใหญ่ ซึ่งนั่นก็เพราะความหวังดี! ท่านย่าไม่เพียงไม่รับไมตรี กลับหันมาระแวงท่านพ่อ ไร้เหตุผลสิ้นดี!”
…เรื่องเว่ยฉางอวิ๋นพลั้งปากที่พวกนางบอกเอ่ยถึงนี้ ก็คือเรื่องในสมัยนั้นที่เว่ยเซิ่งอี๋คิดปกปิดแม่เฒ่าซ่งแล้วไปบอกกล่าวกับเว่ยฮ่วน ว่าจะยกเว่ยฉางซุ่ยบุตรชายคนรองของตนให้เป็นบุตรบุญธรรมของเว่ยเจิ้งหง ซึ่งสาเหตุที่แม่เฒ่าซ่งไปรู้เรื่องนี้เข้าในเวลาจวนตัว ความจริงแล้วก็ออกจะบังเอิญนัก ครั้งนั้นเว่ยฉางอวิ๋นบุตรชายคนโตเว่ยเซิ่งอี๋อายุยังน้อยนัก ยังไม่ทันรู้ความ แต่ก็เดินได้วิ่งได้แล้ว วันๆ เอาแต่วิ่งวุ่นไปทั่วคฤหาสน์
และก็ไม่รู้ว่าเขาบังเอิญไปได้ยินมาจากที่ใดสองสามคำว่าบิดาจะยกน้องชายให้ไปเป็นลูกของท่านลุงใหญ่ เพราะเว่ยเจิ้งหงนอนป่วยอยู่นานปี ที่ที่เขาอยู่จึงมักมีกลิ่นยา เด็กๆ ย่อมกลัวการกินยา เว่ยฉางอวิ๋นจึงรู้สึกว่าถ้ายกน้องชายให้ท่านลุงใหญ่แล้ว ไม่แน่ว่าวันๆ ก็ต้องกินแต่ยา ช่างน่าสงสารยิ่งนัก จึงรู้สึกกลัดกลุ้มขึ้นมาและไปบอกเรื่องที่ตนเองเป็นกังวลกับคนใกล้ๆ ตัว
ปรากฏว่าระหว่างนั้นก็ถูกหูตาของแม่เฒ่าซ่งนำความนี้รายงานขึ้นไป พอแม่เฒ่าซ่งได้ยินก็บันดาลโทสะยกใหญ่…
นับแต่นั้นมา ทุกครั้งที่เว่ยเซิ่งอี๋จะหารือการใหญ่ใดๆ ก็ล้วนต้องตรวจสอบทั้งในห้องนอกห้อง ข้างหน้าข้างหลัง รวมทั้งเครื่องเรือนทุกชิ้นที่สามารถมีคนไปหลบซ่อนอยู่ได้ให้เรียบร้อยเสียก่อน จึงจะวางใจได้ ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่อนุญาตให้ลูกๆ ที่อายุยังน้อยเข้ามาฟังด้วยอีกเลย …เว่ยฉางเจวียนเป็นคนที่ทุกคนในบ้านรักใคร่เอาใจเป็นอย่างยิ่ง แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ไม่ได้รับการยกเว้น
แล้วเว่ยฉางเจวียนก็ดันมีจิตใจกตัญญูรู้คุณนัก นับแต่นางรู้ว่าอนาคตของบิดามีอุปสรรค และทั้งหมดก็เป็นเพราะความลำเอียงของแม่เฒ่าซ่ง นางจึงคอยคิดหาทางบรรเทาความทุกข์ของบิดา แต่เว่ยเซิ่งอี๋ก็กลับไม่ได้สนใจว่านางจะมีท่าทีเช่นใด แต่ไรมาจึงไม่ยอมให้นางมายุ่งเรื่องนี้ ด้วยเหตุผลว่านางยังเล็กอยู่ …ยิ่งเป็นดังนี้นางก็ยิ่งไม่ยอมและยิ่งอยากเข้ามายุ่ง ซึ่งนี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่นางคอยจับผิดเว่ยฉางอิ๋งเสมอมา
เว่ยฉางหว่านเองก็เข้าใจประเด็นนี้ดี เพียงมองดูเว่ยฉางเจวียนหาเรื่องเว่ยฉางอิ๋งสองครั้งมานี้ก็รู้แล้วว่าน้องสาวมีความกระตือรือร้นมากมากนัก แต่ไหวพริบปัญญากลับไม่เพียงพอ …ว่ากันว่าดูนางมิสู้ดูแม่ เว่ยฉางเจวียนเป็นบุตรสาวคนเล็กที่เว่ยเซิ่งอี๋สองสามีภรรยาดูนางเติบโตมาแต่เล็กจนโต มีหรือจะไม่รู้ว่านางมีเพียงความฉลาดเล็กๆ น้อยๆ แต่ไม่มีความสามารถใคร่ครวญได้รอบด้าน และไม่สามารถมาร่วมหารือทำการใหญ่ได้จริงๆ?
หาไม่แล้วทั้งที่ทุกๆ เรื่องก็ตามใจนางหมด มีเพียงเรื่องใหญ่โตเกี่ยวกับว่าจะรับมือกับแม่เฒ่าซ่งเช่นใด จะวางแผนช่วงชิงตำแหน่งประมุขอย่างไรที่ไม่เคยเอ่ยกับนางแม้สักคำเดียว
เวลานี้ เว่ยฉางหว่านเองก็ไม่อยากจะพูดกับน้องสาวให้มากความ เพียงบอกว่า “ท่านย่ามีเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ๆ ของตน นอกเสียจากไม่มีหนทางอื่นแล้วจริงๆ ในใต้หล้านี้ จะมีผู้ใดที่ให้เลือดเนื้อเชื้อไขของตนไปทำให้บุตรที่เกิดจากผู้อื่นได้สมหวังกัน? ได้ยินมาว่าเว่ยฉางเฟิงเองก็เฉลียวฉลาดมาก ทั้งยังไหว้ครูเป็นศิษย์ของเว่ยจื้อเจี่ยวด้วย เวลานี้เขาจึงมีฐานะเป็นศิษย์ผู้ถ่ายทอดวิชาของบุรุษเรืองนามผู้หนึ่งด้วย คาดว่าผ่านไปสองปี ก็จะค่อยๆ มีชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วแล้ว ก็เหมือนกับที่ท่านลุงในตระกูลอีกสายหนึ่งพวกเราที่เสียไปเมื่อปีที่แล้วผู้นั้นเคยมีชื่อเสียงมาก่อน …เหตุที่ท่านย่ายอมให้พวกเราเป็นอิสระเสรีอยู่ในเมืองหลวงก็เพราะรุ่ยอวี่ถังค่อยๆ เสื่อมถอยลง ไม่อาจไร้คนคอยมาอยู่ประคับประคงในวัง รอจนฉางเฟิงปีกกล้าขาแข็งวันใด ท่านย่าก็จะกำจัดพวกเราแล้ว! ในเมื่อเว่ยฉางเฟิงเป็นต้นกล้าที่เหมาะมาบ่มเพาะให้แข็งแกร่ง หากเขามีภรรยาที่เก่งกาจและมีความสามารถคอยสนับสนุนเขาแล้ว ท่านพ่อก็จะต้องตกอยู่ในอันตราย! เมื่อท่านพ่ออยู่ไม่ดี พวกเราทั้งบ้านก็ล้วนไม่ดีไปด้วย ฉะนั้นเรื่องการยับยั้งไม่ให้องค์หญิงอันจี๋อภิเษกกับเว่ยฉางเฟิงนี้ต้องไม่ให้มีข้อผิดพลาดใดเกิดขึ้น! นับแต่นี้ต่อไปห้ามเจ้าคิดการใดเองเพื่อมิให้เสียเรื่อง ทุกเรื่องต้องให้ข้ากลับไปหารือกับท่านพ่อและท่านแม่ก่อนค่อยลงมือ รู้หรือไม่?”
เว่ยฉางเจวียนรีบตอบรับไปคำหนึ่ง แล้วพึมพำว่า “เอาแต่มาต่อว่าข้า ถ้าหนนี้มิใช่เพราะข้าเอาแต่ใจหนหนึ่ง พี่หญิงใหญ่มีหรือจะคิดได้ว่าองค์หญิงอันจี๋คิดอยากอภิเษกกับเว่ยฉางเฟิง?”
“นี่เป็นเรื่องจับพลัดจับผลู” เว่ยฉางหว่านขมวดคิ้วพลางว่า “หรือเจ้ายังหวังว่าเจ้าจะจับพลัดจับผูลได้ถูกต้องทุกคราไป?!” แล้วต่อว่านางว่า “เห็นชัดว่าหลิวรั่วเหยียผู้นั้นพยายามยุยงให้เจ้าเป็นศัตรูกับเว่ยฉางอิ๋ง เจ้าอย่าไปถูกนางหลอกใช้เสียทุกคราไป แล้วยังกลับหลงนึกว่านางเป็นคนดีเสียอีก!”
เว่ยฉางเจวียนกลับไม่ได้คิดดังนั้น กล่าวว่า “พี่หญิงใหญ่ท่านไม่ทราบ ก่อนหน้านี้พี่หลิวยังเคยบอกว่าที่ข้าทำเช่นนี้แม้จะได้ระบายอารมณ์ แต่ก็จะไม่ได้ประโยชน์ใดกลับมาหรอก แต่เพราะข้าขัดตาเว่ยฉางอิ๋งนัก! ต่อให้ต้องเข้าวังไปขอพระราชทานอภัยกับฮองเฮาสักหน ข้าก็ยังจะหาเรื่องนางอีกหน!”
เว่ยฉางหว่านตกตะลึงไปหนหนึ่ง ไม่คาดคิดมาก่อนว่าหลิวรั่วเหยียล่อหลอกน้องสาวตนเองเสียจนเชื่อฟังนางเพียงนี้ พลันมีท่าทีเคร่งเครียดขึ้นมา “เหตุใดเจ้าจึงเชื่อหลิวรั่วเหยีย แต่กลับไม่เชื่อข้าแล้ว?!”
___________________________________